บทที่2
บทที่2
ในฤดูร้อน แดดก็ร้อนแทบเผา ดอกไม้ทั้งสองด้านของถนน เหี่ยวเฉาล้มลงไปหมด ดอกไม้ที่สดใสในวันธรรมดา ในเวลานี้ ดูขาดน้ำแห้งเหี่ยวไปเสียหมดทำให้คนเห็นยิ่งรู้สึกไม่มีชีวิตชีวา
เดินไปตามทางถนน ทุกๆครั้งที่หายใจออก มันก็จะกลายเป็นไอร้อนภายในเสี้ยววินาที
สิ้นเดือนพฤษภาคมในเมืองดาว ในสภาพอากาศแบบนี้มันชั่งเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์จริงๆเมื่อวานอุณหภูมิยังเพียงยี่สิบองศา เดินไปตามถนน ยังมีสายลมพัดผ่านมา ให้ความรู้สึกสบายอกสบายใจไม่น้อยทีเดียว
พอวันต่อมา พระอาทิตย์นั่นก็ดูเหมือนว่าจะปล่อยความร้อนที่ต่างไปจากเมื่อวาน สายลมเย็นของเมื่อวาน กลับกลายเป็นหายไป กลับมาพบเจอกับ อากาศร้อนดังอยู่ในนรกอย่างนี้ลมร้อนๆของมันเป่าหัวจิตหัวใจให้ผู้คนแห้งเหี่ยวไปตามๆกันทีเดียว
สิ่งที่วรวรรณเกลียดที่สุด ก็คือฤดูร้อนเนี่ยแหล่ะ
แค่เหงื่อออกมันก็ไม่ได้อะไรมากหรอก แต่ที่สำคัญก็คือผิวเธอมันโดนแดดแรงๆมากไม่ได้
แล้วช่างหน้าร้อนนี้ แดดก็ดันร้อนเป็นพิเศษซะด้วย
ทุกๆครั้งที่วรวรรณจะออกจากบ้างเธอจะระวังและหลีกเลี่ยงมันเป็นพิเศษ แต่ว่า ถึงแม้ว่าจะทำขนาดนั้นแล้ว แต่ฤดูร้อนนี่ก็คาดเดาไม่ได้เลยว่าจะเริ่มเมื่อไหร่ ทำให้วรวรรณโดนแดดแรงๆไปแล้วสามครั้งได้
แล้วทุกครั้งที่เธอโดนแดดเผามันก็เป็นที่เดียวกัน
บนใบหน้ารูปไข่นั้น แก้มน้ยๆทั้งสองข้างเรื่อแดง เมื่อไปจับโดน มันก็มีบางทีที่แห้ง หรือไม่ก็ลอกไปเลยก็มี
หากว่าไม่ไปถูโดนมัน อาทิตย์นึงก็จะดีขึ้น
แล้วหลังจากนั้น อาทิตย์ต่อไปก็ไปเจอแดดมาอีกก็ลอกอีกรอบนึง
วันนี้เป็นวันที่โชคดีทีเดียว พอถึงป้าสถานี วรวรรณก็ได้ขึ้นรถเลย
ในรถเมล์ตอนนี้คนก็เต็มไปหมด แล้ววรวรรณก็ไม่ได้คิดอยากจะนั่งด้วย เธอจึงยกมือขึ้นไปจับที่ราวที่อยู่บริเวณนั้น
ตัวของเธอก็โหนไปมากับราวรถเมล์ แววตาที่สดใสในวันที่อากาศธรรมดา ดูเหมือนจะไม่มีปรากฏขึ้นเลยในวันนี้
วรวรรณเป็นนักศึกษาปริญญาตรีปีสาม คณะศิลปศาสตร์ภาษาอังกฤษ ที่ตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างทางไปทำงานเก็บเงิน
ในตอนนี้อารมณ์ของเธอไม่ค่อยจะดีนัก เธอง่วงมาก ทั้งยังมาเจออากาศที่ร้อนซ้ำเข้าไปอีก นั่นทำให้เธอขี้เกียจมากทีเดียว
เธอหล่ะอยากจะทิ้งดิ่งนอนให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย แต่ด้วยความรับผิดชอบที่ต้องทำ ก็โลกนี้มันก็ต้องใช้เงินมั้ยหล่ะ ง่ายๆแล้ว
ดวงตาเธอปรือแทบจะค้ำไว้ไม่ไหว จึงหลับตาเพื่อพักสายตาไว้ ไม่ได้งีบแต่อย่างใด วรวรรณรู้สึกว่าขมับของเธอเต้นตุบๆๆ มันไม่ได้ปวดหรืออะไร เพียงแต่มันทำให้เธอรู้สึกไม่สบายตัวเลย
แก้มน้องนางที่แดงๆบนใบหน้าสีขาวนั้น ววรรณโบกครีมกันแดดเอาไว้ แถมยังสวมหมวกกันยูวีด้วย มองด้วยตาก็ดูน่ารักไม่น้อย
เธอไม่อาจทนต่อแสงแดดได้ และยิ่งไปกว่านั้นเธอไม่อาจจะทนต่อความร้อนได้เลย!
ตอนแรก เธอเปลี่ยนเป็นใส่กางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดสีขาวง่ายๆธรรมดา แต่ก็นะวัยรุ่นอ่ะแต่งอะไรก็แต่งได้ทั้งนั้น
เธอย่นปากขึ้นแล้วก็เปลี่ยนเป็นกัดมัน แต่ไหนแต่ไรมาเธอเป็นคนที่เมารถ ตั้งแต่ยังเด็กที่เธอขึ้นรถครั้งแรก ก็คือเมาเลย
ตอนนี้โตขึ้นแล้วมันก็ทุเลาลงนิดหน่อย แต่ตอนนี้กลิ่นบนรถเมล์มันโคตรจะชวนอ้วก เธอก็เลยทนไม่ไหวเหมือนเคย
“อีกไม่กี่ป้ายหรอก อดทนไวๆ” เหงื่อผุดขึ้นมาเป็นเม็ดๆที่หน้าของเธอ เรี่ยวแรงของมือที่เกาะราวอยู่เริ่มโรยรา แล้วยิ่งมารถโยนไปโยนมา นั่นทำให้เธอกลัวขึ้นมาจับไวว่าจะจับมันไว้ไม่อยู่
วรวรรณกระซิบกับตัวเธอเอง สายตาเต็มไปด้วยความพยายามต่อต้าน
พอกำลังดีๆ รถเมล์ก็เกิดเลี้ยวโค้งหักมุมขึ้นมา
วรวรรณเกือบจะเสียการทรงตัวไป
“ว้าย..” เธอร้องเสียงเบา เธอเอาอยู่ แต่ก็ไม่อาจซ่อนความกลัวจากแววตาได้เลย
วรวรรณสามารถดึงตัวเองไว้ได้ แต่ว่าโค้งบ้านี่ก็กว้างเหลือเกินนั่นทำให้เธอรั้งไม่ไหว เบนตัวไปข้างหน้าทันที
วรวรรณเดินที่ที่จับราวเอาไว้ก็จับแบบขอไปที ทำให้พอโค้งใหญ่เข้าเธอจึงถลาไปทั้งตัว
จากที่มือจับราวอยู่ ตอนนี้ก็กลายเป็นหลุดไปอย่างเสียไม่ได้
ตัวทั้งตัว ถลาไปข้างหน้า
“ระวัง” ขณะที่เธอพูด เสียงของเธอไม่ไหวแล้ว ทั้งยังดังขึ้นอีก
ในตอนนั้นเธอหรี่ตาด้วยความเบลอ ดวงตากลมเรียวตกใจราวกับลูกแมว
แต่ว่า ในวินาทีที่เธอกำลังจะถลาล้ม ตัวทั้งตัวของวรวรรณไม่อาจที่จะควบคุมได้อีกต่อไป ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าของเธอขณะนั้นก็คว้าเธอเอาไว้
มันเป็นเสี้ยววินาทีจริงๆ เพียงแค่มือเดียว ในขณะที่อากาศร้อนเป็นไฟ ก็แหวกเข้ามาคว้าเอวของวรวรรณเอาไว้
“ระวัง” เสียงนั้น แหบต่ำ ซึ่งให้ความรู้สึกว่ามันเป็นความแหบพร่าที่เซ็กซี่และทรงเสน่ห์
ภายในรถเมล์คนนี้ พอผ่านจากโค้งหักศอกนั่นมาได้ ก็ขับได้อย่างสบายและราบรื่น
ตัวๆทั้งตัวของเธอตอนนี้อยู่ในอ้อมแขนของเขา
เห็นได้ชัดว่ามันเพียงชั่ววินาทีเท่านั้น แต่ว่ามันราวกับผ่านไปเป็นปีได้
วรวรรณรู้สึกว่าทั้งตัวเธอร้อนไปหมดราวกับกุ้งเผา เพียงแค่เสี้ยววินาทีนั้น มันก็ทำให้ร่างกายเธอแดงเรื่อไปหมด
มือของคนๆนั้น ยังคงประคองอยู่ที่เอวของวรวรรณ เพื่อที่จะช่วยรักษาสมดุลการยืนให้แก่เธอ
พอได้จังหว่ะ วรวรรณก็ยกมือขึ้นมาอย่างระมัดระวัง แล้วหายใจออกอย่างโล่ง ก่อนจะไปท้าวที่ที่นั่งข้างๆ เพื่อรักษาสมดุลการยืน
“ขอโทษนะคะ ขอโทษค่ะ” วรวรรณเงยหน้าขึ้น จริงๆแล้วเธอมองไม่ออกด้วยซ้ำว่าคนตรงหน้าหน้าตารูปลักษณ์เป็นยังไง เพราะเธอเอาแต่ก้มเงยๆขอโทษซ้ำๆ วันนี้นี่มันเป็นวันที่หน้าอาของเธอจริงๆ
ในขณะเดียวกันมือที่ประคองเอวของวรวรรณอยู่นั้นก็กระชับขึ้น
การกระทำนั้นไม่ได้ทำให้รู้สึกผิดบาปหรือแย่เลยสำหรับเธอ เพราะมันดูเหมือนจะเป็นการช่วยให้เธอรักษาสมดุลตัวเองได้มากกว่า
เขาหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะนั้น มันราวกับว่าแล่นตรงมาปักอยู่ที่ใจของวรวรรณ มันชั่งเซ็กซี่อะไรแบบนี้ก็ไม่รู้
วรวรรณพอได้ยินเสียงหัวเรานั่นเข้าก็ทำอะไรไม่ถูก อยู่ดีๆหน้าก็แดงขึ้นมาอีกรอบ
“ขอโทษค่ะ” วรวรรณผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เธอเงยหน้าขึ้นและก้มหัวซะผมด้านหลังย้อยลงไปข้างหน้าอีกรอบ ทำให้ตัวเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
“ขอโทษ” เธอก็ยังคงผงกหัวเป็นการขอโทษล่กๆ ในขณะที่พูด เธอก็อยากจะถอยกลับไป แต่ก็กลับไปชนคนเข้า
“ตอนนี้ยืนนิ่งๆก่อนนะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงขำขัน
แม้จะอย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นการหยาบคายแต่อย่างใด
กระแสเสียงนี้ มันดูคุ้นๆหูแปลกๆ
“อ้า...”วรวรรณเดิมทีก็รู้สึกอับอายอยู่เป็นทุนแล้ว เหตุการณ์เมื่อกี้ก็ยิ่งทำให้เธออับอายมากขึ้นไปอีก
ผ่านไปพักหนึ่งก่อนที่เธอจะพยักหน้า
“ยืน ยืนนิ่งๆแล้ว” เธอพูดตะกุกตะกัก
ขนตายาวงอนของวรวรรณในขณะนี้สั่นกระพือ เสมอเหมือนกับเสียงเต้นของหัวใจข้างในในตอนนี้ ใบหน้ารูปงามยังไม่วายแดงระหง ดวงตาเปล่งประกาย
“เมื่อกี้นี้ ขอบคุณนะคะ” วรวรรณขยับปากพูดขึ้น ภายใต้แสงแดดส่องนี้ทำให้เห็นว่าเรียวปากของเธอช่างนุ่มนิ่มจริงๆ
“ไม่เป็นไร” ไม่รู้ว่าวรวรรณคิดผิดรึว่าอะไร เธอมักจะรู้สึกว่าเสียงของคนตรงหน้ามันช่างต่างออกไป
โดยเฉพาะที่เขามองมาที่ตัวเธอ สายตานั้นมันเปลี่ยนเป็นลุ่มลึก
ท่าทีแบบนั้นทำให้วรวรรณรู้สึกประหม่าไม่เป็นตัวเอง
วรวรรณค่อยๆถอนหายใจออกอย่างแผ่วเบา ก่อนจะขยับตัวเอง
พอจิตใจเริ่มสงบได้บ้าง ก็เพิ่งเห็นคนตรงหน้าได้อย่างชัดเจน
ครั้งแรกที่ใบหน้านั้นปรากฏให้กระจ่างแก่ตาของเธอ นอกจากคำว่า ดูดี ก็ไม่รู้จะหาคำไหนมาบรรยายได้อีก
เป็นหนุ่มรูปงามดั่งหยกที่ไม่อาจหาใครเทียบเคียง
เห็นได้ชัดว่าชายที่อยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้อายุอานามไม่ได้มากเท่าไหร่
น่าจะอายุน้อยกว่าวรวรรณด้วยซ้ำ แถมยังสวมชุดนักเรียนอีกด้วย ใบหน้าคมคาย และความคมคายนั้นก็ไม่ได้น่าเกลียด
ครอบหูฟังไว้บนหัว และในมือก็ถือขวดโค้กไว้ด้วย
ใบหน้าแสดงความขำขันเล็กน้อยมองมายังวรวรรณ
ไม่รู้ว่าทำไมด้วยสายตาที่จ้องมองมาแบบนั้น ทำให้ใบหน้าที่เคยร้อนผ่าวอยู่แล้ว ยิ่งเพิ่มอุณหภูมิเข้าไปอีก
“นั่งสิ” ชายหนุ่มคนนั้นผายมือไปยังที่นั่งข้างๆเขาในขณะที่พูด
พอหลังจากนั้น วรวรรณมานั่งคิดอย่างคิดไม่ตกว่า ทำไมตอนแรกเธอถึงนั่งไปราวกับต้องมนต์แบบนั้นนะ
เขาพูดอะไร เธอก็ทำตามเขาไปซะหมด นี่มันอะไรกันเนี่ย
พอวรวรรณนั่งลงไปแล้วเธอก็นั่งพันมือไปมา ใบหน้าก็ร้อนผ่าวก็ไม่เพลาลงเสียที
หูเจ้ากรรมนั่นก็เหมือนกัน ยิ่งอยู่นานยิ่งแดงขึ้นและแดงขึ้น
“คุณเรียนอยู่ชั้นอะไรอ่ะ” เด็กหนุ่มคนนั้นหันกลับมาหา นัยน์ตาแย้มยิ้มมองมาทางวรวรรณ มันเป็นประกายสดใส มันเป็นความรู้สึกอ่อนโยนอบอุ่น แม้ว่ามันจะอบอุ่นแต่ดูเหมือนว่าจะเป็นคำถามที่ไม่อาจปฏิเสธได้
วรวรรณไม่ตอบอะไร
เธอเพียงแค่หันหน้าไปทางชายหนุ่มคนนั้น แต่ก็ไม่คิดเลยว่า เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเธอ ได้มองมาที่วรวรรณอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว แววตานั้นไม่ได้นับว่าสุกสกาวอะไรมากมาย แต่ว่า ก็สามารถทำให้ใจคนมองเต้นไม่เป็นจังหว่ะได้ทีเดียวหล่ะ
และเมื่อเขาเห็นว่าเธอหันมา ตาเขาหยี และรอยยิ้มนั้นก็เพิ่งองศามากขึ้น
ตารูปท้อนี่ ค่อยๆหยีหรี่ลงมากเสียกว่าความโค้งของรอยยิ้มเสียอีก
รอยยิ้มนี้ไม่รู้ว่าทำไม มันกลับทำให้วรวรรณรู้สึกราวกับดอกไม้ที่เบ่งบานอย่างบอกไม่ถูก
วรววรณนะวรวรรณ นี่มันต้องมีอะไรผิดพลาดไม่แน่ๆ เห็นคนหล่อเข้าหน่อย เธอก็ทำตัวไม่ถูกอย่างร้ยชายแรงเลยจริงๆ
เห็นได้ชัดว่าในใจเนี่ย ยังต้องพินิจแบบถี่ถ้วน แต่ว่า ปฏิกิริยาของตัวนั่นกลับนำโด่งไปก่อนหน้าเลย
หน้าเนี่ยแดงนำมาก่อนเลย
พูดตรงๆนะ นี่มันน่าขายหน้ามาก
โอยไม่นะ ยิ่งถูกเด็กหนุ่มถามแบบนี้ และมองด้วยสายตาแบบนั้นยิ่งทำให้เธอเขินมากขึ้นไปอีก
“โอ๋ว หน้าแดงอีกแล้ว อย่างนี้น่าจะแดงเพราะเขินแหงๆ แต่ก็ไม่ได้เขินมากเท่าไหร่”
เมื่อกี้ที่ชายหนุ่มยิ้มแย้มนั่นพูดก็ดูพูดแบบจริงจัง แต่ก็ดูเหมือนจะคิดผิดไป ตอนนี้พูดปนหัวเราะของเขา ทั้งต่ำทั้งตรงใจ ราวกับบ่อยๆเข้ามาสะกิดบีบนวดใจคนฟังอย่างเบามือ
วรวรรณก้มหน้ารุดต่ำลง มือประสานกันไว้ใบหูเป็นสีแดงสด นั่นทำให้ใครที่พบเห็นก็รู้สึกว่ามันจะระเบิดในไม่ช้านี้แล้ว
จริงๆเธอก็ปีสามแล้วหล่ะ แต่ก็นะวรวรรณเองก็เป็นเหมือนสาวน้อยที่ไม่เคยออกงานเข้าสังคมมาก่อน
วรวรรณรู้สึกอึดอัด อีกทั้งเสียงหัวเราะที่ดังอยู่ข้างหูนั้นก็ราวกับมีอะไรเปียกชุ่มๆอยู่นั่นแหล่ะข้างหูเธอนั่นแหล่ะ
“ถึงสถานีสายรักแล้วจ้า” ราวกับเป็นเสียงสวรรค์ดังขึ้นมา
วรวรรณเงยหน้าขึ้นมาทันที ให้ตายเถอะอีเรื่องก่อนหน้ามันแค่เธอเองที่คิดไปเองหรอเนี่ย แต่มันก็เป็นสิ่งที่เธอรู้สึกทั้งหมด ตอนนี้ราวกับว่าหัวสมองของเธอได้หลุดล่องลอยออกไปแล้ว
นี่มันสับสนอัลเวงไปหมด เธอหันหน้าไปมองชายหนุ่มคนนั้น
ริมฝีปากสั่นเล็กน้อย
“ฉันไปก่อนนะ” พอพูดจบเธอก็ไม่ได้รอให้เด็กหนุ่มนั่นตอบกลับอะไร ก็รีบวิ่งลงจากรถไปอย่างกับจรวด พร้อมๆกับความร้อนผ่าวบนใบหน้า
แต่เด็กหนุ่มที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ยังคงสวมใบหน้าที่คาดการณ์ยากไว้ดังเดิม
ในมือกำกระป๋องโค้กเอาไว้แน่น
มองไปยังทางที่วรวรรณวิ่งออกไป ชั่วอึดใจหนึ่ง มุมปากของเขาก็กระตุกขึ้น
“น่าสนใจแฮะ” แววนัยน์ตาลูกท้อคู่นั้น สุกสกาวขึ้นมาในบัดดล