ตอนที่14
ตอนที่14
“ระวัง”การที่ทรงภพยิ้มในตาแบบนั้นทำให้คนมองรู้สึกคุ้นเคยอย่างไม่รู้ตัว
“รองเท้าส้นสูงแบบนี้หน่ะ มันไม่เหมาะกับเดินแบบนี้ และยิ่งตอนนี้ยิ่งเดินยากเข้าไปอีก มาค่อยๆนะ”
ขณะที่พูด เขาก็ใช้สองมือพยุงแขนของวรวรรณขึ้นมาอีกครั้ง การกระทำนั้นมันสมเหตุสมผลจนเธอไม่อาจกล้าที่จะปฏิเสธลง
ถึงแม้ว่าเธอจะอยู่บนส้นสูงก็ตามที แต่เมื่อเทียบกับทรงภพที่ยืนอยู่ข้างๆแล้วเธอยังดูตัวเล็ก สูงยังไม่พ้นไหล่เขาเลยด้วยซ้ำ
เธอดูตัวเล็ก ราวกับหมากระเป๋า แต่ว่าดูๆแล้วก็กำลังดี
อย่างน้อยเวลามองก็ให้ความรู้สึกกลมกลืน
วรวรรณเงยหน้าขึ้นมอง แววตานั้นอย่างมี
“ขอบคุณ” วรวรรณยิ้มมุมปาก เธอเงยมองไปที่แขนของทรงภพ ประกายตาเธอสดใส ยิ้มละไมด้วยความอบอุ่น
“ฉันไม่เป็นไรแล้วหล่ะ” วรวรรณพูดเสียงอ่อนโยน นุ่มราวกับนุ่น แตะไปเบาๆที่กลางใจของคนฟัง
สัมผัสนั้นทำให้หัวใจของเธอที่ถูกกระทำเต้นเร็ว
ฉับพลันนั้นเองระหว่างที่พูด เธอก็มุดก้มต่ำลงด้วยความกระดากเขินในสิ่งที่เธอไม่ได้ตั้งใจไปสัมผัส
ใครจะรู้หล่ะ ว่าเธอจะทำอะไรพลาดไปแบบนี้ เธอทำตัวไม่เหมือนครูเขาทำกัน นั่นทำให้เธอรู้สึกไม่เป็นตัวเองและก็เลิ่กลั่กอยู่นิดหน่อย
ส่วนด้านของทรงภพก็รู้สึกว่าฝ่ามือของเขาจักจี้เล็กน้อย ราวกับมีคนเอาขนนกมาโดนเบาๆที่หัวใจของเขา มันอ่อนโยนและนุ่ม หมุนวนที่ฝ่ามือแล้วค่อยๆไหลออก
ซึ่งก็เห็นชัดๆว่ามันก็ไม่ได้เป็นแบบที่รู้สึก
แต่ว่ามือของหญิงสาว พอได้สัมผัสก็ทำให้หัวใจของคนสัมผัสเบาสบายขึ้นมาทีเดียว
มันนุ่มละมุน
ทำให้คนต้องการที่จะสัมผัสมัน
แต่ดูท่ามือน้อยๆนั้นยังอ่อนต่อโลกอยู่มาก
เพราะพอเมื่อได้สัมผัสกับมือหนา ก็ดูเหมือนอยากจะดึงมือของตัวเองกลับ
แต่โอกาสหับเวลาไม่สัมผัสกันทำให้ได้สัมผัสเพียงผิวเผิน แต่ก็ทำให้หัวใจคนจักจี้จนแทบทนไม่ไหว
ตาของทรงภพคมเฉียบ เสี้ยววินาทีนั้น ริมฝีปากหยักกระตุกยิ้มขึ้น ท่าทีของเขาก็กลับมาเป็นดังเดิม
“เมื่อกี้ร้อนใจไปหน่อย เอางี้ไหมครับครูวรรณ เดี๋ยวผมไปส่งดีกว่า”
ทรงภพที่อยู่ภายใต้แสงไฟถนนดูเงียบสงบ
สายตาของเขาแสดงออกถึงความห่วงเป็นกังวล นอกจากความห่วงแล้วก็ยังแสดงออกมาซึ่งความอ่อนโยนโดยธรรมชาติแบบที่เขาเองก็คงไม่รู้ตัวเอง
ความอ่อนโยนนั้นเหมือนจะสามารถแทรกซึมเข้าไปในหัวใจของคนอีกผู้ที่ง่ายๆ
“โอ๋วววว” พวกคนข้างหลังส่งเสียงออกมาอย่างอดไม่ได้ เสียงนั้นออกแนวล้อเลียนหยอกล้อปนปนกันไปในหมู่พวกนั้น
“เขาไปส่งบ้านแล้วหว่ะ” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดขึ้นมา เรียวปากของเขาเหยียดยิ้มชัดเจน ใบหน้าเขาดูแฮปปี้ดี๊ด๊ามากเว่อ
แต่คำพูดนั่นก็ไม่ค่อยเหมาะสม
วรวรรณสังเกตเห็นว่าเขาเกาหัวระหว่างที่พูด
ถึงจะพูดด้วยลักษณะนั้นก็เถอะ แต่ทำไมเขาต้องพูดแบบนั้นด้วยนะ
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวฉันรอรถเมล์กลับได้” วรวรรณรู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย
“รถเมล์….”ทรงภพขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แล้วก็คลายลงหลังจากนั้น
แต่ว่าเขากลับมองมาที่วรวรรณด้วยสายตาที่่แสดงออกถึงความไม่เห็นด้วย
สีหน้าของทรงภพแสดงออกอย่างกระจ่างชัด เขายิ้มบางๆ ลักษณะนั้นไม่ใช่แค่ปฏิเสธยากเท่านั้นหรอก แต่เหมือนมันมีความรู้สึกอะไรบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิมแอบแฝงด้วย
ที่อยู่ใกล้กันแค่นี้เนี่ยวรวรรณก็ยิ่งรู้สึกว่าทรงภพตอนนี้กับเมื่อตะกี้นี้ดูเหมือนจะมีอะไรที่แปลกไปจากเดิม
แล้วด้วยที่ว่ามันแปลกไปทำให้น้ำเสียงของวรวรรณที่แข็งกร้าว ก็เปลี่ยนมาเป็นอ่อนโยนขึ้น
“อู๋ย คุณชายทรงพภของเรา ถูกสาวปฏิเสธแล้วว่ะ”
เด็กหนุ่มที่ยืนด้านหลังของทรงภพกอดอกมองมาอย่างสบายๆ
ด้วยท่าทางสบายๆแบบนั้น การพูดก็ยิ่งดูสบายขึ้นไปอีกมันทำให้สถานการณ์ตรงหน้าไม่อึดอัดจนเกินไป
“พอแล้ว กมลภุ” เสียงนั่นไม่ได้ดังมากแต่ก็ดังพอให้เวรวรรณได้ยิน เธอรู้สึกเพียงว่าหัวใจเธอเองก็หด มือเล็กๆของเธอก็ผลุดกลับมาอย่างไม่รู้ตัว
“โอเคโอเค” กมลภูโบกมือ แล้วเสียงแซวกระเซ้าข้างหลังก็เงียบไป
“ครูวรรณครับ เดี๋ยวผมไปส่งครูเอง ครูเดินเองไม่สะดวกหรอก อีกอย่างผมก็จะได้รับรู้ถึงเรื่องราวของบวรพลด้วย หวังว่าครูจะไม่ปฏิเสธนะครับ”
ทรงภพมองไปที่วรวรรณด้วยแววตานั้นทำให้คนมองใจสั่นไม่เป็นระส่ำ เขาพูดแบบช้าๆค่อยๆ แต่ว่า ยิ่งพูดช้าก็ราวกับเพื่อจะให้ผู้ฟังเข้าใจได้ง่ายและไม่อาจปฏิเสธได้ด้วย
และเอาเข้าจริง สถานการณ์แบบนี้จริงๆแล้วเธอก็ไม่รู้จริงๆว่าควรจะปฏิเสธยังไง
เธอยังยืนนิ่งอยู่กับที่ตรงนนั้น
“ก็ได้” มีเพียงคำว่า ก็ได้ ที่เล็ดลอดหลุดออกมา
พอทรงภพได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าออกทันที
มุมปากกระตุกยิ้ม มันเป็นยิ้มที่โคตรจะทรงเสน่ห์เลยหล่ะ
ในเวลานั้นเองวรวรรณก็รู้สึกว่าการที่เธอตอบตกลงไปนี่มันดีเหลือเกิน
อย่างน้อยก็ทำให้หน้างามยิ้มขึ้นมาได้บ้าง ใช่มั้ยหล่ะ?
แต่ว่าวรวรรณเองก็ยังคิดไม่ถึงว่าเรื่องแบบนี้ ถ้ามีครั้งแรกแล้วก็จะมีครั้งต่อไปเรื่อยๆนั่นแหล่ะ
ทรงภพหน่ะเดิมทีก็เป็นคนที่ใครๆก็ไม่อาจปฏิเสธได้อยู่แล้ว