ตอนที่ 99 เท้าเปล่าไม่กลัวลำบาก   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 99 เท้าเปล่าไม่กลัวลำบาก
ตอนที่ 99 เท้าเปล่าไม่กลัวลำบาก และนั่นทำให้เทพวีรู้สึกขำขัน ดูท่าทางดีใจของทุกคนแล้ว จรีภรณ์นั่งลงลูบหัวหนูดีอย่างเหนื่อยล้า ตอนนี้หนูดีไม่มีไข้แล้ว ค่อยๆพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น ชนุตต์เห็นท่าทางเหนื่อยล้าของจรีภรณ์ดังนั้นก็รู้สึกเป็นห่วง จึงเอ่ยขึ้นกับเธอ "จรีภรณ์ คุณไม่ต้องห่วงนะ อาการของหนูดีค่อยๆดีขึ้นแล้ว ถ้าในประเทศรักษาไม่ได้ ผมจะส่งตัวเขาไปรักษาที่ต่างประเทศ ทางนั้นผมติดต่อไว้หมดแล้ว พวกเราจะไปตอนไหนก็ได้" "ขอบคุณนะคะคุณชนุตต์" เธอมองเขาอย่างขอบคุณ แล้วหันกลับมาที่เทพวี "แล้วก็เธอด้วยนะ เพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน" "แล้วเรื่องค่าใช้จ่าย คุณก็ไม่ต้องห่วงนะ เรื่องนี้ให้ผมจัดการเอง" ชนุตต์กล่าวด้วยความจริงใจ "ขอบคุณนะคะ ขอบคุณจริงๆ" จรีภรณ์เอ่ยขอบคุณชนุตต์อีกครั้ง รู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตา เธอรู้สึกขอบคุณพวกเขามากจริงๆ ถ้าหากไม่มีพวกเขา เธอเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าจะทำอย่างไร เทพวีมองท่าทางของจรีภณ์ จึงยื่นมือมาจับมือเธอไว้ ชนุตต์เองก็รู้สึกเช่นนั้น หากเป็นเมื่อก่อน เขามักจะรู้สึกว่าความรัก ครอบครัว มิตรภาพ ล้วนแต่เป็นเรื่องจอมปลอมด้วยกันทั้งสิ้น แต่นั่นมันเป็นเพียงแค่การแสดงในละครทีวีเท่านั้น เพราะตั้งแต่เขาได้มาคบกับจรีภรณ์ ความรู้สึกทั้งหมดเหล่านั้นเขาสัมผัสมันได้ ความรักที่อบอุ่นเช่นนั้น ครอบครัวที่คอยช่วยเหลือกันในยามลำบากและความจริงใจของมิตรภาพ ทั้งหมดนี้ทำให้เขารู้สึกซาบซึ้งมากจริงๆ เขารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้มีความมหัศจรรย์ยิ่งนัก เธอเป็นคนมีเสน่ห์ ที่ทำให้คนอื่นรู้สึกอยากจะเข้าไปค้นหา ส่วนทางด้านชญาภาก็ไม่ได้โชคดีขนาดนั้น ตอนเช้าที่เธอเห็นฉากนั้นราวกับถูกบีบเอาชีวิตของเธอไป เธอรู้สึกเจ็บปวดเหมือนกับมีเลือดกำลังไหลออกมา แต่อยู่ต่อหน้าจิรภาสนั้นเธอทำได้เพียงแสร้งทำให้ตัวเองดูน่าสงสารเท่านั้น หากมิเช่นนั้นแล้วเธออยากจะอาละวาดใส่จรีภรณ์เสียด้วยซ้ำไป แต่ที่น่าโมโหมากไปกว่านั้นคือ จิรภาสไม่แม้แต่คิดจะอธิบายให้เธอฟังเลยแม้แต่ประโยคเดียว ถามแต่เพียงว่าเธอมาได้อย่างไร อะไรที่ทำให้เธอมาอยู่ตรงนี้ ที่นี่อยู่ไม่ห่างจากบ้านเธอ ทำไมเธอจะมาไม่ได้กัน ชญาภารู้สึกโกรธจนแทบบ้า เมื่อวานเพิ่งจะอยู่ด้วยกันกับเขาประกาศเรื่องงานแต่งงานของเขาสองคน แต่วันนี้กลับพาภรรยาคนก่อนมามั่วกันอยู่ในรถเช่นนี้ แถมยังไม่อธิบายอะไรกับเธอแม้สักประโยคเดียว เห็นเธอเป็นคนโง่หรืออย่างไร? ชญาภารู้สึกเกลียดจนเข้ากระดูกดำ เมื่อกลับมาถึงบ้าน ชญาภายังไม่ทันจะเดินเข้ามาข้างในเลยเสียด้วยซ้ำกลับส่งเสียงร้องไห้ออกมาเสียงดัง จนทำให้นพนาตกใจ และแม้แต่ตรีภพเองก็ตกใจจนต้องรีบเดินออกจากห้องมาดู แล้วถามเธอกลับไปว่าเกิดอะไรขึ้น? ชญาภาไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะสามารถบอกกับบิดาของเธอได้หรือเปล่า เวลานั้นจึงได้แต่อ้ำๆอึ้งๆกลับไป จนแล้วจนรอดก็ยังไม่พูดออกมา ตามองไปยังบิดาของตัวเองที่ดูเหมือนกำลังจะหมดความอดทน นพนาเห็นดังนั้นจึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เป็นอะไรลูก เกิดอะไรขึ้น? ” “หนู....หนู....” “ไม่เป็นไรนะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แค่ลูกพูดมา พ่อกับแม่อยู่ตรงนี้ เราจะช่วยลูกเอง” นพนาเดินมาหาลูกสาวตัวเอง แล้วยื่นมือมาบีบเธอเบาๆ ให้สัญญาณกับเธอว่ามีเรื่องอะไรก็ให้เธอรีบพูดออกมา ชญาภารีบเล่าออกมาเพื่อให้ทั้งสองได้ทราบ ทั้งอยู่ในอ้อมกอดของมารดาตัวเองพูดพร้อมกับน้ำตาที่ไหลพรากออกมา “พวกเขา..พวกเขาอยู่ด้วยกัน” “ใครอยู่ด้วยกัน?” ตรีภพขมวดคิ้วพลางเอ่ยถามขึ้น “พี่กับจิรภาส วันนี้ตอนที่หนูออกไปข้างนอก เห็นพวกเขาอยู่ในรถ กำลัง.....”ชญาภาร้องไห้สะอึกสะอื้น แล้วเล่าสิ่งที่วันนี้ได้ไปเห็นมากับตาให้ทั้งสองฟัง และระหว่างที่เล่าไปเธอก็ไม่ลืมที่จะใส่ไฟเติมแต่งกับสิ่งที่ไปเห็นมาด้วย “ลูกไปเห็นมาจริงๆหรือ?” เมื่อฟังลูกสาวตัวเองเล่าจบ นพนาเองก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก จรีภรณ์นี่ใจกล้าเสียจริงๆ กลางวันแสกๆยังกล้าทำอะไรกันแบบนี้ ทำให้เธอรู้สึกทึ่งเป็นอย่างมาก แต่เธอนึกได้ว่าสิ่งที่ลูกสาวเธอเล่าให้ฟังคงมีส่วนที่เกินจริงอยู่บ้าง จึงอาจจะไม่ใช่เรื่องจริง จึงเอ่ยถามขึ้นอีก “แม่ จริงๆนะ หนูเห็นจริงๆ พวกเขายังคุยกับหนูอยู่เลย” เธอตอบกลับไปอย่างสะอึกสะอื้น และเน้นย้ำว่าเป็นเรื่องจริง “คุณคะ เรื่องนี้คุณต้องจัดการให้ลูกนะคะ” นพนามองท่าทางของลูกสาวตัวเองแล้วหันกลับไปตัดพ้อกับตรีภพ เธอจะรอดูว่าเขาจะทำอย่างไรในเมื่อรู้ว่าลูกสาวตัวดีของตัวเองไปทำเรื่องน่าอับอายเช่นนี้อยู่ข้างนอกแบบนั้น เขาจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร ตรีภพที่ได้ฟังสิ่งที่ชญาภาเล่าให้ฟังนั้นเขารู้สึกราวกับได้ฟังนิทานอาหรับอย่างไรอย่างนั้น ถึงอย่างไรเขาก็ไม่เชื่อในสิ่งที่ชญาภาพูด นิสัยจรีภรณ์เธอเป็นคนดื้อรั้นข้อนี้เขารู้ แต่ถึงอย่างไรเธอก็ไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้แน่นอน จึงกล่าวขึ้นมาอย่างจริงจังในทันที “เรื่องนี้คงจะต้องรอพิสูจน์หลักฐาน พ่อไม่เชื่อว่าจรีภรณ์จะเป็นคนแบบนั้น” “พ่อ หนูไม่ได้โกหกนะคะ ถ้าพ่อไม่เชื่อก็รอเขากลับมาแล้วพ่อก็ถามเองก็ได้”ชญาภามองตรีภพอย่างร้อนใจ เธอทั้งรู้สึกน้อยใจ ทั้งโมโห ดังนั้นอารมณ์ที่เธอแสดงออกมาในตอนนี้ล้วนเป็นความรู้สึกจริงๆของเธอทั้งสิ้น “ใช่ค่ะ คุณคะ หรือบางทีลูกอาจจะกำลังสับสน ถ้าไม่อย่างนั้นเราไปถามจรีภรณ์ให้ชัดเจนเลยดีกว่าค่ะ”นพนาก็แสดงความคิดเห็นออกมา สีหน้าท่าทางแสดงออกว่ากำลังเกลี้ยกล่อมเขา แต่สำหรับคำพูดนั้นตัดสินไปเรียบร้อยแล้วว่าจรีภรณ์ทำแบบนั้น ตรีภพอยู่ในวงการราชการมานานเช่นนี้ ทำไมจะไม่เข้าใจความหมายของนพนา เขาไม่ต้องการให้เธอมาใส่ร้ายลูกสาวของเขา จึงจ้องไปกลับไปยังนพนาในทันที แล้วกล่าวกับเธอด้วยความเย็นชา “ผมจะพูดอีกครั้ง จรีภรณ์ไม่ใช่คนแบบนั้น” “ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้นนะคะ” เมื่อเห็นว่าตรีภพเริ่มโมโหแล้ว เธอจึงรีบแก้ตัวทันที “ฉันหมายถึงว่า ถ้าเรามีปัญหาอะไรขัดแย้งกัน ทำไมไม่นั่งลงแล้วคุยกันดีๆให้ชัดเจน ดีกว่าจะมาเข้าใจผิดกันนะคะ” “เข้าใจผิดอะไร? มีอะไรให้เข้าใจผิด?” ตรีภพมองนพนากลับอย่างอารมณ์ไม่ดี “รอเขากลับมาก่อนแล้วค่อยถามแล้วกัน จะไปทำอะไรก็ไป”พูดจบก็ยังไม่ได้เดินกลับขึ้นไปด้านบน นพนาเห็นท่าทางของตรีภพเช่นนั้น จึงรู้สึกโกรธโมโหจนมือไม้สั่นเทาไปหมด เธอจึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่กดโทนต่ำลง “สรุปแล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” “แม่ ที่หนูพูดนั่นคือเรื่องจริงนะ เรื่องเมื่อสักครู่เป็นเรื่องจริง”ชญาภารีบอธิบายให้มารดาฟังอย่างร้อนใจ ขณะนั้นในใจก็รู้สึกน้อยใจ ทำไมแม้แต่มารดาของเธอก็ยังไม่เชื่อเธอกัน “นังผู้หญิงสารเลว เลวจริงๆ ” เมื่อฟังที่ลูกสาวเล่าให้ฟังแล้วนั้น นพนาจึงด่าออกมาด้วยความโมโห เมื่อสักครู่เธอยังคิดว่าที่ลูกสาวตัวเองเล่ามานั้นดูจะเกินจริงไปมากเสียนี่ ตอนแรกถ้ารู้ว่านี่คือเรื่องจริงล่ะก็ เมื่อสักครู่เธอจะไม่พูดไปแบบนั้นเลย “แม่ ทำอย่างไรดี? จิรภาสจะยกเลิกงานแต่งงานของหนูไหม? หนูไม่เอาด้วยนะ”ชญาภาร้อนใจจนน้ำตาไหลลงมาอีก เมื่อสักครู่เธอรู้สึกได้ว่าที่จิรภาสหมั้นกับเธอนั้นราวกับเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น เมื่อเห็นพวกเขาอยู่ด้วยกันแบบนั้นทำให้เธอรู้ว่าตอนนี้เธอต้องตื่นจากฝันนั่นได้แล้ว “ร้องไห้ แกจะร้องไห้ทำไม แกนี่มันโง่จริงๆ ผู้ชายของตัวเองดูแลไม่ดีเองแล้วยังจะมีหน้ามาร้องไห้อยู่แบบนี้อีก”ลูกสาวที่เอาแต่ร้องไห้เช่นนี้นั้นทำให้นพนารู้สึกรำคาญ เธอคิดไม่ถึงเลยว่าตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นจะบ้าถึงขั้นนี้ ทำเรื่องที่เธอเองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน เป็นช่วงเวลาที่เธอเองก็ยังคงไม่มีแผนการรับมือใดๆเลยเสียด้วย จึงเดินไปเดินมาด้วยความรู้สึกโมโห เมื่อชญาภาเห็นว่ามารดาไม่ได้พูดอะไร ในใจกลับยิ่งร้อนรน หากไม่มีจิรภาส เธอเองก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว เธอยอมตาย แล้วก็จะไม่ยอมให้นังผู้หญิงคนนั้นได้เขาไปด้วยเช่นกัน แต่ตอนนี้เธอยังไม่อยากตาย เธอยังอยากใช้ชีวิตอยู่ต่อนี่ ในบ้าน สองแม่ลูกไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลย จนกระทั่งผ่านไปพักใหญ่ นพนาจึงถอนหายใจออกมา แล้วกล่าวว่า “เอาแบบนี้แล้วกัน คืนนี้รอให้นังนั่นมันกลับมาก่อน แล้วดูว่าพ่อแกจะว่าอย่างไร?” “ถ้ามันไม่ยอมรับล่ะแม่”ชญาภาถามกลับไปอย่างรู้สึกกังวล “ไม่ยอมรับแล้วแกคิดจะทำอะไรได้อีก?” นพนาจ้องกลับไปยังลูกสาวตัวเอง “ไม่ยอมรับแล้วแกยังอยากจะทำให้มันวุ่นวายขึ้นอีกหรืออย่างไร? แกก็รู้นิสัยตาแก่นั่นดี” คิดถึงตรงนี้แล้วนพนาเองก็รู้สึกตกใจ ไม่น่าเชื่อว่าตั้งแต่ผู้หญิงคนนั้นกลับมาจะมาขัดขวางเธอได้ถึงเพียงนี้ ในช่วงตอนกลางคืน จรีภรณ์กลับมาถึงบ้าน ส่วนทางด้านนพนาก็กำลังยุ่งอยู่ในครัว หลังจากเห็นจรีภรณ์แล้วนั้นจึงเอ่ยทักเธออย่างดีใจ "กลับมาแล้วหรือ วันนี้เตรียมสิ่งที่เราชอบทานไว้ให้ทั้งนั้นเลยนะ" "หรือคะ?แล้วคุณรู้ได้อย่างไรคะว่าฉันชอบทานอะไร?" เธอหยุดท้ายลงแล้วมองนพนากลับด้วยสายตาดูแคลน "พ่อบอกเขาเองแหล่ะลูก" ตรีภพลุกขึ้นยืนจากตรงโซฟาที่เขานั่งอยู่ "อา...ดูแล้วภรรยาท่านคนนี้จะดูเป็นคนทุ่มเทเสียเหลือเกินนะคะ มิเช่นนั้นคงจะทำให้ท่านนายกมาอยู่ในกำมือแบบนี้ไม่ได้" จรีภรณ์มองเธออย่างเยาะเย้ย สายตาแสดงออกมาอย่างรังเกียจ แล้วจึงเอ่ยถามต่อ "ตอนนั้นคุณก็คงทำแบบนี้สินะคะถึงขึ้นมาอยู่ตรงนี้ได้?" "นี่ จรีภรณ์ มันจะมากเกินไปแล้วนะ" ชญาภาทนฟังต่อไปไม่ไหว บวกกับเรื่องวันนี้ที่เธอเจอมานั่นจึงทำให้เธอหมดความอดทน "ฮ่าๆ ฉันทำเกินไปหรือ?" จรีภรณ์หัวเราะอย่างรู้สึกขบขัน "ถ้าอย่างนั้นเธอก็บอกมาสิว่าตอนนั้นหากเขาไม่ใช่เมียน้อย แล้วจะเรียกว่าอะไร เอาเข้าจริงแล้วเธอเป็นเพียงแค่ลูกนอกสมรส แล้วยังกล้ามาบอกว่าฉันทำเกินไปอย่างหน้าไม่อายแบบนี้น่ะหรือ?จะให้ฉันบอกเรื่องนี้กับทุกคนไหม ให้พวกเขามาช่วยกันตัดสินความถูกต้องไปเลยไง?" คำพูดแทงใจของจรีภรณ์นั้น ทำให้ชญาภาตกใจเสียจนไม่กล้าพูดอะไรออกมา แน่นอนว่าฐานะของมารดาเธอจะให้ใครรู้ไม่ได้ มิเช่นนั้นต่อไปเธอจะมีหน้าไปพบปะคนอื่นได้อย่างไร ถ้าหากเรื่องถูกปล่อยออกไปให้คนอื่นรู้นั้น คงไม่ใช่แค่ตำแหน่งของบิดาเขาจะรักษาไว้ไม่ได้เท่านั้น แม้แต่งานแต่งงานของเธอกับจิรภาสก็คงจะไม่ทางเกิดขึ้นเช่นกัน ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นเธอจะต้องรับไม่ได้แน่ๆ แต่จรีภรณ์กลับไม่สนใจ ชีวิตเธอที่ผ่านช่วงเวลาลำบากยากจนมาแล้ว สองเท้าเปล่าที่ไม่กลัวเลยว่าจะได้ใส่รองเท้าหรือไม่ ตัวเธอเองเดิมทีก็ไม่มีอะไรเลยอยู่แล้ว สำหรับเธอแล้วยังจะมีอะไรแย่ไปกว่านี้อีกหรือ?
已经是最新一章了
加载中