บทที่ 4
‘ตื่นได้แล้ว ท่าน........’ เสียงประหลาดแสงดังเข้าในโสตประสาทที่เหมือนจะหยุดพักงานไปนาน แสงสีขาวพุ่งเข้าในความคิดของเธอ ราวกับว่ามันกำลังส่งเสียงร้องเรียกเธอ แล้วใครกันล่ะ เสียงนั้นคือเสียงของใคร ไวเท่าความคิดแสงสว่างจ้านั้นก็ปะทะเข้ากับดวงตาของเธอทันที หญิงสาวกระพริบตาถี่ๆ ไล่เพื่อปรับสภาพดวงตาให้เข้ากับแสงสว่าง เธออยู่ที่ไหน เธอยังไม่ตาย
หญิงสาวที่พึ่งตื่นดันตัวเองลุกขึ้นมานั่งตามความเคยชิน ก่อนที่เธอจะรู้สึกเจ็บแปร๊บที่หน้าอกอีกครั้ง ตรงที่เดิม เธอเลิกผ้าห่มออกก่อนจะพบว่าร่างกายของเธอถูกพันไปด้วยผ้าพันแผลมากมายจนแทบจะเป็นมัมมี่ได้อยู่แล้ว สายตานั้นเงยจากตัวเองก่อนจะมองไปรอบ ๆ ในห้องที่เธอไม่คุ้นเคยเลยสักนิด ที่นี่ที่ไหนกัน
บ้านหลังนี้ถูกสร้างด้วยไม้เนื้อดีขัดเงาจนมันวับ รอบ ๆ ถูกตกแต่งให้ดูสบายและอบอุ่น หน้าต่างที่เปิดอยู่ถูกลมพัดจนผ้าม่านสีครีมปลิวไสว แสงแดดอ่อน ๆ ด้านนอกทำให้หญิงสาวรู้ว่านี้เป็นเวลาช่วงเช้าที่แดดยังไม่จัดมาก เธอตัดสินใจก้าวเท้าลงจากเตียงสี่เสาที่มีผ้าม่านปิดเหมือนเตียงของเจ้าหญิง เฟอร์นิเจอร์ในห้องนี้ก็ถูกทำขึ้นจากไม้เช่นกันทำให้มันดูเข้ากันได้อย่างดี หญิงสาวทรงตัวไม่ได้มากเนื่องจากร่างกายของเธออ่อนล้ามากพอสมควร มือหนึ่งช่วยจับกำแพงประคองตัวส่วนอีกมือจับลูกบิดและเปิดออกไป
บ้านหลังนี้คงเป็นบ้านชั้นเดียว เพราะเมื่อเธอเปิดออกมาข้างนอกคือห้องนั่งเล่น ที่มีของตกแต่งเล็กๆ น่ารักตามสไตลเจ้าของบ้าน เฮเรนน่าจึงคิดว่าเจ้าของบ้านคงเป็นผู้หญิงแน่นอน
“ตื่นแล้วหรอ” เสียงหวานๆ ทักเธอก่อนที่เธอจะหันไปมองหญิงสาวตัวสูงกว่าเธอนิดหน่อย ผิวของเธอเป็นสีน้ำผึ้งใบหน้าของเธอดูสวยเข้มเข้ากับผิวของเธอ เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนเป็นทรงหยักโศกถูกรวบขึ้นลวกๆ อย่างไม่เรียบร้อย เฮเรนน่ามองว่าเป็นคนที่สวยมากเลยทีเดียว
“อือ...ที่นี่ที่ไหน” หญิงสาวเจ้าของบ้านวางดอกไม้สดที่พึ่งจะเก็บมาลงบนโต๊ะกาแฟเล็กๆ ก่อนจะเดินมาช่วยประคองเฮเรนน่าไปนั่งที่โซฟาที่ทำจากไม้แต่มีเบาะนุ่ม ๆ ลองที่นั่งและพนักพิง
“บ้านฉันเองที่เมืองไอดัส” เมืองไอดัสเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่ขอบชายแดนที่ติดกับราชอาณาจักรอเล็กซานเดรีย เป็นเมืองที่ค่อนข้างชนบท และผู้คนอยู่น้อยที่สุดในราชอาณาจักรคาแซนดร้า ผู้คนที่นี่ส่วนมากจะไม่ค่อยชอบความวุ่นวาย ชีวิตประจำวันของพวกเขาจะเรียบง่าย เน้นการปลูกพืชผักหรือเลี้ยงสัตว์เพื่อกินเองมากกว่าจะเอามาค้าขาย และเนื่องจากคาแซนดร้ากับอเล็กซานเดรียเป็นพันธมิตรกันมาช้านานจึงไม่ต้องห่วงเรื่องการลุกล้ำพื้นที่
“ฉันชื่อบีทรีซ” เธอบอกพลางยิ้มให้กับหญิงสาวที่เธอช่วยเหลือมา เฮเรนน่าก้มหัวให้เธอเป็นเชิงขอบคุณก่อนที่จะพูดขึ้น
“ฉันชื่อเฮเรนน่า ขอบคุณที่ช่วยชีวิตฉัน ฉันเป็นหนี้บุญคุณเธอ” ผู้ถูกขอบคุณหัวเราะขึ้น ก่อนจะโบกมือไปมาเป็นเชิงว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรขนาดนั้น
“ไม่เป็นไร ๆ ฉันเห็นเธอบาดเจ็บขนาดนั้น จะไม่ช่วยก็ยังไงอยู่จริงไหม”
“ฉันก็ต้องขอบคุณ”
“จ้าๆ ฉันขอรับเอาไว้แล้วกัน แต่ฉันกลัวว่าเธอจะไม่รอดแทบแย่ เธอหน่ะอาการสาหัสมากเลยรู้ไหม” เฮเรนน่ามองเธอที่ดูเหมือนจะมีเรื่องพูดต่อ
“เธอหลับไปเป็นอาทิตย์เลยนะ ฉันน่ะเป็นห่วงแทบแย่” อาทิตย์หนึ่งเลยหรอ เธอรู้ว่าเธอหลับไปนานแต่ไม่นึกว่าจะนานขนาดนี้ เธอถึงได้ไม่มีเรี่ยวแรงแบบนี้สินะ
“มีคนมาตามฉันว่าเจอคนบาดเจ็บที่แม่น้ำใหญ่ข้างหมู่บ้าน ฉันก็เลยตามไปดู เธอหน่ะ น่าเป็นห่วงสุด ๆ เลือดนี้ไหลออกเหมือนกับน้ำ ตัวซีดเป็นหมีเผือกไม่รู้ว่าแช่น้ำมานานขนาดไหนแล้ว แต่โชคดีที่แผลไม่เปื่อยจนเน่าไปซ่ะก่อน ฉันเลยพาเธอมาที่นี่ไงล่ะ” บีทรีซเล่าออกมาเป็นฉากๆ โดนที่เจ้าตัวได้ฟังนิ่ง บีทรีซพูดเก่งมาก
“ฉันพยายามใช้ยาปฏิชีวนะแล้วนะ แต่เสียดายมันไม่ได้ผลกับเธอ โชคดีที่ฉันปลูกสมุนไพรไว้บ้างเลยช่วยรักษาแผลของเธอได้” มันเป็นเรื่องที่ตลกอยางหนึ่งคือ ยาปฏิชีวนะที่ออกสู่ท้องตลาดภายใต้การผลิตของมาทิลด้าล้วนแล้วมาจากเธอที่เป็นผู้วิจัย แต่ร่างกายเธอกลับต่อต้านยาปฏิชีวนะทุกชนิด ตั้งแต่รักษาแผลภายนอกจนถึงภายใน ถ้าไม่นับตัวยาที่เธอผลิตขึ้นเพื่อใช้เอง เธอไม่สามารถใช้มันได้ เพราะยิ่งใช้อาการก็ยิ่งแย่ลง
“อ่อ เธอคงหิวสินะ ไม่ได้กินอะไรเลย รอแปปนะฉันไปทำอาหารมาให้กิน”
“ขอบคุณนะ”
“สบายมาก เธอพักผ่อนให้เต็มที่ดีกว่า เดี่ยวหายช้าไม่รู้นะ” บีทรีซยิ้มให้เธอก่อนจะเดินไปอุ้มช่อดอกไม้แล้วเดินเข้าไปห้องทางด้านหลังของบ้าน
เฮเรนน่าฝันว่าสักวันหนึ่งเธอจะได้มีชีวิตที่เรียบง่ายแบบนี้บ้าง แต่เป็นไปได้ยาก เพราะตอนนี้เธอมีคดีติดหัวอยู่หลายคดี ไหนจะเรื่องที่เธอจะไปต้องสะสางให้เรียบร้อยอีก ถ้าอยากมีชีวิตแบบนี้คงต้องรออีกหลายสิบปี หรือไม่ก็ต้องไปตายแล้วเกิดใหม่เป็นคนธรรมดา ๆ ที่ไม่ต้องมารับรู้เรื่องอะไรสักอย่างเลย ถ้าเป็นไปได้เธอก็อยากให้มันเป็นแบบนั้นเหมือนกัน
เพราะร่างกายที่ยังไม่หายดี บวกกับเฮเรนน่าที่ยังไร้ซึ่งที่ไป บีทรีซจึงให้เธออยู่ที่นี่ก่อน เพื่อความแน่ใจว่าเธอหายแล้วจริง ๆ และเฮเรนน่ามารู้ทีหลังว่าบีทรีซเป็นหมอ ตอนที่มีพ่อแม่เด็กคนหนึ่งวิ่งมาหาเธอด้วยอาการไม่สบายนัก พวกเขาเรียกเธอว่าคุณหมอ
“คุณหมอ ๆ” เสียงโวยวายดังลั่นหน้าบ้าน หญิงสาวผมสีกุหลาบจึงออกไปดูให้กับเจ้าของบ้านที่หายตัวเข้าไปในสวนสมุนไพร
“คุณหมออยู่ไหมครับ”
“คุณหมอ บีทรีซหรอค่ะ” เฮเรนน่าที่ยังงง ๆ ถามกลับไปด้วยน้ำเสียงสุภาพ ชาวบ้านทั้งสองพากันพยักหน้า เธอเห็นว่าเขาอุ้มเด็กหญิงคนหนึ่งมาด้วย ท่าทางจะไม่สบาย
“เชิญเข้ามาก่อนสิค่ะ ฉันจะไปตามให้” หญิงสาวบอกพลางหลีกทางให้ชาวบ้านอุ้มลูกของเขาขึ้นมาบนบ้าน แล้ววางไว้กับโซฟาในห้องนั่งเล่น ก่อนที่เธอจะเดินออกทางหลังบ้านเพื่อไปตามคุณหมอคนสวยมารักษาคนไข้
“บีทรีซ มีคนมาหา” บีทรีซโผล่หน้าขึ้นมาจากต้นสมุนไพรที่ถูกปลูกแขวนบนราว
“ใครหรอ”
“บอกว่ามาหาคุณหมอ”
“อ่ะ แย่จริง ไปเดี่ยวนี้แหล่ะ” บีทรีซรีบวิ่งไปล้างไม้ล้างมือให้สะอาดก่อนจะวิ่งเข้าบ้าน เฮเรนน่าจึงตามเธอเข้าไป
“เป็นอะไรหรอค่ะป้า” บีทรีซที่มาพร้อมเครื่องมือการแพทย์พุ่งเข้าหาเด็กหญิงทันที เธอจับจุดที่สามารถดูอาการได้ทั้งหมด พร้อมกับวัดไข้เธอไปด้วย ชาวบ้านทั้งสองมีสีหน้าร้อนรนในตอนแรกค่อยผ่อนคลายลงเมื่อเห็นว่าหมอบีทรีซกำลังช่วยรักษาลูกสาวของพวกเขา
“ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะป้า แค่ไม่เป็นไข้หวัดเท่านั้น เดี๋ยวหมอจัดยาไปให้แล้วทานตามที่บอก ไม่เกินสามวันลุกขึ้นมาวิ่งสบายๆ แน่นอน” คุณหมอพูดพร้อมกับคลี่รอยยิ้มอันแสนอ่อนโยนออกมาให้ ซึ่งเฮเรนน่าที่มองอยู่รู้สึกชื่นชมเธอ บีทรีซเป็นคนดี และเธอก็อ่อนโยนมากสมกับที่เป็นหมอจริงๆ
“อย่าลืมนะค่ะ ดื่มน้ำเยอะ ๆ จะช่วยได้มาก ค่าใช้จ่ายไม่เอาหรอกค่ะ หมอเต็มใจค่ะ” สองชาวบ้านมองคุณหมอคนสวยอย่างเกรงใจ ทุกครั้งที่ใครสักคนวิ่งมาหาเพื่อขอความช่วยเหลือ หมอบีทรีซจะไม่เคยปฏิเสธแถมยังช่วยเหลืออย่างเต็มที่และไม่ยอมรับสิ่งตอบแทนเป็นเงินหรือของมีค่า แต่จะรับก็เพียงพวกของที่มาจากการเกษตรเท่านั้น
“แต่พวกเรามาขอความช่วยเหลือบ่อยแล้ว เราเกรงใจคุณหมอมากนะค่ะ” คุณหมอยิ้มก่อนจะจับมือคุณป้าเบาๆ
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ คนบ้านเดียวกัน มีอะไรก็ต้องช่วยเหลือกันไป”
“ขอบคุณมากนะค่ะคุณหมอ”
“^ ^ รีบไปเถอะค่ะ น้องหนูต้องการพักผ่อน”
“งั้นขอลาเลยนะค่ะ” ชาวบ้านกลับไป บีทรีซที่รอส่งจนลับสายตาหันหลังกลับเข้าบ้าน ก่อนจะยิ้มให้กับเพื่อนของเธอที่ยืนมองมาโดยตลอด
“มองแล้วแอบคิดอะไรในใจหรือเปล่าเฮเรนน่า”
“เธอใจดี”
“คิคิ ชาวบ้านพวกนี้ส่วนใหญ่ไม่มีรายได้ เพราะส่วนมากอยู่ได้จากการพึ่งพาอาศัยกันทั้งนั้น”
“เธอเป็นหมอ”
“อืม ที่จริงเป็นหมอในโรงพยาบาลหลวงของอเล็กซานเดรียน่ะ พอดีว่าช่วงนี้พักร้อนก็เลยกลับมาบ้าน” เฮเรนน่าเข้าใจทันทีว่าทำไมเธอถึงดูมีฐานะเกินชาวบ้านทั่วไป คนเป็นหมอได้ค่าตอบแทนที่สูงมาก ยิ่งพวกที่เก่งๆ ระดับอาจารย์ค่าตอบแทนแต่ล่ะจะเดือนสูงลิ่บลิ่วเลยทีเดียว
“ค่าตอบแทนจากอเล็กซานเดรียฉันใช้คนเดียวก็ไม่หมดแล้ว จะเอาจากพวกชาวบ้านอีกทำไมจริงไหม” หญิงสาวอีกคนได้แต่พยักหน้ารับ
“ว่าแต่เธอเถอะ รู้บ้างหรือเปล่าว่าตัวเองโดนหมายหัวอยู่” บีทรีซเปลี่ยนน้ำเสียงมาเป็นเคร่งเครียดทันที เฮเรนน่าเลิกคิ้วสูงอย่างเป็นคำถามจะไปรู้เรื่องอะไรได้ยังไงในเมื่ออยู่ที่นี่ไร้การติดต่อสื่อสารทั้งหมดนี่
“......”
“ไม่รู้ล่ะสิ เฮเรนน่า เทรเวอร์ตอนนี้เธอกลายเป็นอาชญากรข้ามราชอาณาจักรไปแล้วนะ ทุกราชอาณาจักรขึ้นบัญชีดำเธอทั้งหมด” เธอไม่เคยบอกนามสกุลให้บีทรีซรู้และเธอก็ไมได้คิดจะปิดบังด้วย แสดงว่าบีทรีซรู้ว่าเธอคือใครมาตั้งแต่แรกแล้วสินะ
“ประกาศนี้ตรงมาจากมาทิลด้าว่าเธอคือบุคคลอันตราย เพราะเธอคือบุคคลทรยศองค์กร มาทิลด้าให้เงินค่าหัวถึง 10 ล้านกิลล์เลยนะ” 10 ล้านกิลล์ เงินจำนวนนี้มากพอที่ทำให้ใครคนหนึ่งสบายไปทั้งชาติ มาทิลด้ากล้าลงทุนขนาดนี้เลยหรอ แกรนด์คงต้องการตัวเธอมากสินะ
“ส่วนราชอาณาจักรอเล็กซานเดรียกับคาแซนดร้าเนี่ย เธอไปเป็นคู่กรณีอะไรด้วย สองราชอาณาจักรนี้ไม่ได้เป็นพันธมิตรกับมาทิลด้า แต่ดันประกาศว่าเธอเป็นอาชญากร ให้ค่าหัว 10 ล้านกิลล์เหมือนกัน” เจ้าตัวส่ายหน้าเธอไม่รู้จริง ๆ ว่าทำไม ถ้ากับคาแซนดร้ายังพอเข้าใจที่เธอสังหารลูกสาวของตระกูลสำคัญของราชอาณาจักร ส่วนอเล็กซานเดรียก็คงช่วยเพราะเป็นพันธมิตรกันล่ะมั้ง
“เฮเรนน่า เธอต้องระวังตัวมากเลยนะต่อไปนี้ ต้องมีพวกชอบล่าค่าหัวตามตัวเธอกันให้เพียบแน่ๆ” ถ้าไม่ใช่ระดับซินเธียที่มีพลังสูงคงไม่สามารถต่อกรเธอได้หรอก แต่นั้นอีกแหล่ะวันใดวันหนึ่งเธออาจพลาดท่าเสียทีก็ได้
“เธอไม่สนใจเงิน 10 ล้านหรอ” เฮเรนน่าจ้องหน้าบีทรีซ บีทรีซหัวเราะออกมาราวกับเป็นเรื่องตลก
“เฮเรนน่า ถ้าฉันอยากได้เงินนั้น ฉันไปไถกับอเล็กซานเดรียง่ายกว่า อีกอย่างนะ ฉันไม่ขายเพื่อนตัวเองหรอก ถ้าคิดจะส่งให้ฉันส่งเธอไปตั้งแตยังไม่ฟื้นด้วยซ้ำ”
“.......”
“เธอน่ะ มีฝีมือแค่ไหน ฉันไม่เสี่ยงให้เธอฟื้นหรอก”
“แต่ตอนนี้ก็ยังทันนะ ส่งฉันให้พวกนั้น”
“เฮเรนน่า!!!!” จู่ๆ คุณหมอผู้แสนอ่อนโยนก็ขึ้นเสียงและทำหน้าบึ้งไม่พอใจทันที
“ฟังนะ! ฉันคือบีทรีซ่า ฮัลล์ จะไม่มีทางส่งเฮเรนน่า เทรเวอร์ให้กับทางไหนเด็ดขาด ขอเอาหัวเป็นประกันเลย ยัยโง่!!!” เฮเรนน่ามองเธอตาไม่กระพริบ ทำไมเธอถึงได้พูดจาได้อย่างมั้นใจขนาดนั้น เธอไม่กลัวว่าเฮเรนน่าที่เธอประกาศป่าว ๆ ว่าจะทำร้ายเธองั้นหรอ
“เฮเรนน่า เชื่อใจฉันไหม”
“อืม”
“ดีมาก เธอเป็นเพื่อนฉัน จำเอาไว้เฮเรนน่าเธอเป็นเพื่อนฉัน”
คำพูดของบีทรีซก้องอยู่ในหูของเฮเรนน่ามาตลอดทั้งวันนี้ ตลอดชีวิตของเธอแทบจะไม่เคยเจอใครที่ทำดีด้วยโดยไม่หวังผลตอบแทนจากเธอ ทำให้เธอรู้สึกไม่ชินและไม่รู้จะทำยังไงกับมิตรภาพที่จริงใจแบบนี้ เธอมักจะตกอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ถูกกดดันและเกลียดชังมากกว่า เธอเลยทำตัวไม่ค่อยถูกเท่าไหร่
“ไปทำกับข้าวกันเถอะเฮเรนน่า ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว” หญิงสาวที่กำลังยืนงงๆ ถูกลากเข้าไปในครัวเพื่อช่วยกันเตรียมอาหารเย็นเหมือนทุกวันที่เธออยู่ที่นี้ แต่เฮเรนน่าทำกับข้าวไม่เป็นเธอเลยได้แต่เป็นลูกมือเท่านั้น
ทั้งสองช่วยกันลำเลียงอาหารมาวางไว้บนโต๊ะที่วันนี้ถูกจัดไว้นั่งกินที่ระเบียงหน้าบ้านเพื่อชมพระอาทิตย์ตกไปด้วย
“ตกลงเธอจะอยู่ที่นี้ตลอดไปไหม” บีทรีซถามขึ้น เฮเรนน่าที่กำลังตักอาหารเข้าปากเงยหน้าขึ้นมามองเธอ อันที่จริงเธอก็คิดแผนไว้แล้วล่ะว่าต่อจากนี้จะทำอะไรต่อ
“ฉันว่าจะออกเดินทางไปเรื่อยๆ น่ะ ฉันมีเรื่องต้องค้นหานิดหน่อย”
“เรื่องอะไรหรอ” สายตาของบีทรีซเป็นประกายอย่างอยากรู้
“ก็เรื่องตราสัญลักษณ์นั้น เธอคงเป็นแล้วไม่ใช่หรอ ตราสัญลักษณ์ที่หน้าอกของฉัน” บีทรีซพยักหน้าเพราะในปากเธอเต็มไปด้วยอาหารที่พึ่งกินเข้าไป เธอที่พยายามจะรีบกลืนเพราะมีเรื่องที่จะให้พูดทำให้อาหารพวกนั้นติดคอเธอ จนคนตรงหน้าต้องรีบคว้าแก้วน้ำมาให้เธอดื่ม
“แฮ่ก ๆ เกือบแย่แหน่ะ ฉันก็จะถามเธอเหมือนกันแหล่ะว่ามันคืออะไร รอยสักนั้นมันดูน่ากลัว ฉันเห็นมันเหมือนจะเคลื่อนไหวได้เองด้วยนะ”
“มันเป็นเหมือนคำสาปน่ะ ฉันได้มาก่อนที่จะมาพบเธอไม่นาน”
“คำสาปงั้นหรอ ดูน่ากลัวแหะ แล้วมันจะรุนแรงไหม”
“ไม่รู้สิ แต่ฉันคิดว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่าคำสาปแน่ ๆ” หญิงสาวผมสีน้ำตาลอ่อนรู้สึกสงสารคนตรงหน้าจับใจ เฮเรนน่าโดนตราหน้าว่าเป็นคนทรยศ และอาชญากรก็มากพอแล้วที่จะทำให้ชีวิตของเธอไม่สงบสุขแต่พอเจอคำสาปนี้ไปด้วย ถ้ามันคือคำสาปจริง มันคงจะแผลงฤทธิ์ในอีกไม่ช้าแน่ๆ
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าทำไมเธอถึงกลายเป็นฆาตกรและคนทรยศ แต่ฉันมั้นใจว่าเธอทำอะไรต้องมีเหตุผลจริงไหมเฮเรนน่า” คนที่ถูกพูดด้วยไม่รู้จะตอบยังไง เธอได้แต่พยักหน้ารับเท่านั้น
“จะออกเดินทางเมื่อไหร่ล่ะ”
“ฉันคิดว่าพรุ่งนี้” เธอไปจากที่นี้เร็วที่สุดเท่าไหร่ บีทรีซจะปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น แต่คำตอบที่ไม่คาดฝันจากเจ้าบ้านก็ดังขึ้น
“ตกลง ฉันจะไปด้วย” คนฟังถึงกับทำหน้าเครียดเลยทีเดียว
“ให้ฉันไปด้วยนะเฮเรนน่า เธอน่ะไม่มีเพื่อนไปอยู่แล้วไม่ใช่หรอ”
“ไม่ มันอันตรายเกินไป”
“ฉันไม่กลัวอันตรายสักหน่อย อย่าลืมสิแผ่นดินเรายังไม่ได้สงบขนาดทุกฝ่ายเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกันนะ ฉันเคยลงสนามรบมาตั้งหลายครั้งแล้วด้วย” แม้จะอยู่ในทีมของแพทย์ก็เถอะ
“นะๆ เฮเรนน่า ให้ฉันไปเป็นเพื่อนเธอเถอะนะ รับรองไม่สร้างความวุ่นวาย”
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอก แต่ฉันเป็นห่วงความปลอดภัยของเธอ”
“ฉันคิดว่า ฉันดูแลตัวเองได้ดีพอสมควรเลยล่ะ” ทันทีที่เธอดีดนิว ดอกวาเลนก็ร่วงหล่นลงมาบนพื้นมากมายก่อนจะหายไป นั้นเกิดขึ้นได้เพราะเวทย์มนต์
“เธอเป็นซินเธีย”
“ใช่แล้ว ฉันเป็นซินเธียที่เด่นทางด้านเวทย์พฤกษาด้วยน่ะสิ” ปกติแล้วเวทย์พฤกษาจะเป็นเวทย์ที่เน้นไปทางการเยียวยามากกว่าต่อสู้ แต่ก็เป็นดั่งดาบสองคมเช่นกัน เพราะเมื่อไหร่ที่ป่าพิโรธความน่ากลัวจากป่าก็ไม่แพ้สิ่งอื่น
“ตกลงตามนี้นะ ขอฉันไปเก็บเตรียมตัวดีกว่า” บีทรีซดูร่าเริงกว่าใคร เฮเรนน่าได้แต่ถอนหายใจเท่านั้น มันก็ดีหรอกที่มีเพื่อนไปไหน แต่การพาเพื่อนไปเสี่ยงอันตรายที่ไม่รู้ต้องเจอกับอะไรนี่สิ ทำให้เธอลำบากใจมากกว่า