บทที่ 1 - ยินดีต้อนรับสู่โลกของฉัน
1/
บทที่ 1 - ยินดีต้อนรับสู่โลกของฉัน
Breekfic: Fate Return บลีกฟิก สงครามชิงอาณาจักร ภาค โชคชะตาที่ไม่อาจหลีกหนี
(
)
已经是第一章了
บทที่ 1 - ยินดีต้อนรับสู่โลกของฉัน
บทที่ 1 ยินดีต้อนรับสู่โลกของฉัน ท่ามกลางสมรภูมิอันร้อนระอุเต็มไปด้วยเสียงระเบิดและโลหิตที่เจิ่งนอง บริเวณหน้ากำแพงเมืองอันสูงชันได้มีกระโจมที่ตั้งค่ายของเหล่าทหารจำนวนมากตั้งเรียงรายอยู่ จนแทบแยกไม่ออกว่าออกเลยว่าของใครเป็นของใคร แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเหล่านี้ต่างตัดสินใจที่จะไม่กลับบ้านคนตัวเองจนกว่าสงครามจะจบลง กระโจมมากมายล้วนเป็นสีเทาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นควัน โคลนและรอยเลือด ทว่ามีอยู่กระโจมแห่งหนึ่งที่สูงใหญ่และมีสีดำที่โดดเด่นต่างไปจากตรงอื่น หญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีแดงที่นั่งอยู่บนหลังสิงโตจ้องมองไปที่กระโจมนั้นด้วยสีหน้านิ่งเฉยอยู่สักพัก จากนั้นจึงกระโดดลงจากหลังของเจ้าสิงโตสาวแล้วเดินตรงไปยังกระโจมสีดำด้วยฝีเท้าที่รวดเร็วและมั่นคง การปรากฏตัวของหญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีขาวราวหิมะอันโดดเด่น ทำให้คนมากมายต่างมองมาที่นางเป็นตาเดียว ใบหน้าคมเรียบนิ่งงดงามและเย็นชาดุจดั่งหิมะอันเยือกเย็น แต่เป็นหิมะที่ถูกแต่งแต้มด้วยหยาดโลหิตจากภาพของดวงตาคมใส หลังจากที่เจ้าสิงโตหยุดนิ่งร่างในชุดกระโปรงยาวสีดำก็กระโดดลงมายืนบนพื้นอย่างมั่นคง เธอรับรู้ได้ถึงสายตาอันหวาดหวั่นปนลนลานที่จ้องมายังตนเอง แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นก็ยังมีนายทหารกล้าตายคนหนึ่งเข้ามาต้อนรับ “จะ..เจ้าหญิงโอลิเวีย” ชายในชุดเกราะแม้จะตัวสูงใหญ่แต่กลับมีแหบพร่าแฝงไปด้วยความกลัวเกรง ตัวเขาเองรับรู้ได้ถึงหยาดเหงื่อที่ไหลอยู่ภายในเสื้อเกราะ มันไม่ใช่เกิดจากอากาศที่ร้อนอบอ้าวหากแต่เพราะว่ากลัวที่จะพูดอะไรบางอย่างไม่เข้าหูคนตรงหน้า จนเป็นเหตุทำให้ชีวิตของตัวเองต้องดับสิ้น เจ้าหญิงโอลิเวียปรายตามองเขานิ่ง ๆ โดยที่ไม่พูดอะไรขึ้นมา ดวงตาสีแดงดุจเลือดจ้องมองเขาแน่นิ่งราวกับเป็นไอเย็นที่สามารถแช่แข็งตัวคนเอาไว้ เพียงแค่มองมันก็มีอำนาจมากพอที่จะทำให้คนหยุดนิ่งจนไม่อาจกล่าวอะไรออกมาได้ แต่การนิ่งเงียบอยู่นานนั้นไม่มีประโยชน์ เธอจึงถอนหายใจออกมา คนพวกนี้สมควรเป็นทหารกล้าจริงหรือ ๆ ในเมื่อพวกเขาคล้ายกับจะกลัวเธอมากกว่าพวกอสูรกลางสนามรบนั้นเสียอีก “เขาอยู่ที่ไหน” น้ำเสียงของหญิงสาวเปล่งกังวานออกมาอย่างเรียบเย็น แต่แค่นี้ก็ทำให้ผู้คนตัวสะดุ้งผวาจนเธอชักเริ่มจะรำคาญ “เจ้าหญิงไม่สมควรที่จะมากลางสนามรบนะพ่ะย่ะค่ะ” เขาพูดขึ้นอย่างตื่นกลัว รู้ว่าตัวเองตอบไม่ตรงคำถาม แต่ทางเบื้องบนอีกฝั่งก็สั่งเสียมาว่าห้ามให้เจ้าหญิงโอลิเวียมาเข้าร่วมศึกครั้งนี้อย่างเด็ดขาด! การตื่นกลัวของนายทหารตรงหน้ามันทำให้คนที่เป็นถึงเจ้าหญิงรู้สึกหงุดหงิดมากเสียจนอย่างจะกำจัดเขาออกไปให้พ้นสายตา “ทำไมข้าจะมาไม่ได้ ในเมื่อเหล่าประชาชน เพื่อนหรือแม้แต่ครอบครัวข้าต่างก็อยู่ที่นี่ เจ้าเห็นข้าเป็นหญิงสาวที่อ่อนแอเสียจนไม่ควรมายืนอยู่ที่แห่งนี้หรือ บางทีข้าอาจจะกวาดล้างพวกมันได้เร็วกว่าพวกเจ้าด้วยซ้ำ! เอาล่ะ...ทีนี้ตอบคำถามข้ามา” “พ่ะย่ะค่ะ” ทหารตอบรับพร้อมกับคุกเข่าลงไปที่พื้นเตรียมพร้อมจะรับคำสั่งจากคนที่ศักดิ์เป็นถึงเจ้าหญิงด้วยความเคารพผสมความกลัว แต่ก็ต้องทำตามไม่งั้นเขาอาจจะโดนเจ้าสิงโตที่คอยเฝ้าเจ้าหญิงอยู่ข้าง ๆ เขมือบก็เป็นได้ “คูลอยู่ที่ไหน” “ยังไม่มีคนพบเจ้าชายเลยพ่ะย่ะค่ะ” “เขาจะกลับมาถึงช่วงเวลาไหน” ในขณะที่ทหารยามกำลังจะตอบคำถามของเธอ ก็ได้มีเสียงทุ้มของชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นมาแทรกเสียก่อน “เจ้าไม่ควรมาอยู่ที่นี่” หญิงสาวที่กำลังขมวดคิ้วอยู่ เมื่อได้ยินเสียงทุ้มนุ่มนวลอันแสนคุ้นเคย เธอก็ได้หันไปเผชิญหน้าที่หล่อเหลาชวนให้คนหลงใหล คนที่อยู่ตรงหน้าของเธอสูงใหญ่เหมือนดั่งหินผา ตัวเธอนั้นสูงได้เพียงไหล่ของเขาเท่านั้น และถึงตัวจะสูงแต่ชายหนุ่มกลับไม่ได้บึกบึนเฉกเช่นนักรบทั่วไป ร่างกายนั้นไม่ได้ใหญ่โตแต่กลับเต็มไปด้วยกำลังที่มากกว่าพวกร่างใหญ่โตหลายสิบเท่า เขานั้นมีเรือนผมสั้นสลวยละกับต้นคอสีดำราวกับรัตติกาลอันสงบเย็น ผิวของเขาขาวสะอาดแม้อยู่ในสนามรบที่เต็มไปด้วยฝุ่นควันคลุ้ง แต่ความหม่นหมองก็ไม่อาจปิดบังดวงตาสีเทาอันงดงามเป็นประกายได้ หากจะอธิบายคนตรงหน้าได้คงมีเพียงคำเดียวเท่านั้น...สมบูรณ์แบบ รอยยิ้มจาง ๆ ที่ยังประดับอยู่บนใบหน้า มันเหมือนกับว่าเขาเป็นชายหนุ่มอ่อนโยนที่กำลังมองมาที่เธออย่างดูแคลน แต่คงมีเพียงเธอที่อ่านสายตาสีเทาคู่สวยออกว่ามันหมายความว่าอย่างไร... ถ้าหากเธอยังเลือกที่จะดื้อดึงไม่ฟังเขาหรืออาจารย์ คนตรงหน้าจะต้องสติแตกออกมาอย่างแน่นอน เขาจับจ้องที่หญิงสาว ดวงตาในยามนี้งดงามเฉียบคมไม่ต่างจากเหยี่ยว ทั้งที่ไร้อาวุธและเกาะป้องกันแต่ยังกล้ามายืนฉายเดี่ยวอยู่ในสนามรบ ต่อให้มีผู้คุมครองแข็งแกร่งอย่างเจ้าสิงโตข้างหลัง แต่ถ้าเกิดระเบิดขึ้นมาเจ้าตัวไม่มีทางรอดแน่ ...ทั้ง ๆ ที่ถูกสะกดพลังเอาไว้แล้วแท้ ๆ ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะคว้าแขนเรียวเล็กเดินตามเข้าไปข้างในกระโจมของตัวเอง “มีธุระอะไรถึงขนาดต้องฝ่าฝืนคำสั่งออกมา” เขาถามพลางเดินไปนั่งอยู่บนเก้าอี้นวมเพื่อพักผ่อน โอลิเวียมองคนที่หลับตาพริ้มพักสายตาบนโซฟาตัวใหญ่ เธอรู้สึกดีใจที่เขาหลับตาคู่งามนั้นลง เพื่อที่จะได้ไม่ต้องพบกับความรู้สึกแสนเศร้าที่ซ่อนมันเอาไว้ภายใต้ดวงตาสีโลหิตคู่นี้ แต่ทว่าแม้มันจะเป็นทางเลือกที่เลวร้ายที่สุด ทว่าอย่างน้อยเธอก็ต้องการที่จะบอกมันกับเขา ไม่ว่าทางเลือกไหนก็ไม่อาจได้พบหน้า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องบอกลา รอยยิ้มเศร้าสร้อยยิ้มสมเพชให้กับตัวเองก่อนจะพึมพำออกมาแผ่วเบา “ลาก่อนนะ” ชายหนุ่มที่นอนหลับตาอยู่ลืมตาโพล่งพร้อมทั้งลุกขึ้นมาอย่างตกใจ ก่อนที่ความตกใจจะเปลี่ยนเป็นความโกรธเมื่อตระหนักถึงสิ่งที่ผู้หญิงตรงหน้าจะทำ เขามองจ้องเข้าไปในดวงตาสีแดงดุจโลหิตอย่างดุดันไร้ความเกรงกลัว แววตาสีเทาเยียบเย็นเต็มไปด้วยโทสะ ชายหนุ่มที่มักเต็มไปด้วยความอ่อนโยนที่แสนเยือกเย็นกำลังโกรธ! “โอลิเวีย แกรนไรซ์” เขากัดฟันพูดชื่อเต็มของหญิงสาวผมสีหิมะออกมา การเรียกชื่อเต็มเช่นนี้บ่งบอกว่าเจ้าตัวไม่มีอารมณ์มาเล่นตลกใด ๆ ทั้งนั้น “ฉันแค่อยากจะบอกนาย ก่อนจะจากไป...” เธอเงียบและพยายามกลืนน้ำลายที่หนืดคอ คำพูดจางหายไปเป็นเพราะสังเกตเห็นชายหนุ่มกำมือแน่นเสียจนเห็นเส้นเลือดที่ผุดขึ้นมาได้ชัด ถึงจะกลัวผลลัพธ์แต่ก็ต้องพูดต่อ “ฉันอยากให้สงครามมันจบ” ความอดทนของคนสุขุมเสมอมาพังทลายลง คูลไม่ฟังคำพูดใด ๆ จากโอลิเวียอีก เขาเดินกระแทกไหล่บางออกไปข้างนอกพร้อมชุดเกราะและดาบประจำตัว ความคิดของเขาในตอนนี้คือการกำจัดพวกมันให้สิ้นซาก ทุกอย่างมันจะได้จบ เขาไม่ยอมปล่อยเธอจากไปหรอกต่อให้ตัวเองต้องตายก็ตาม “คูล!” โอลิเวียวิ่งตามออกมา มือเรียวจับที่แขนของเขาเพื่อรั้งไว้ ราวกับฟ้าฝนเล่นตลก เมื่อมือเธอแตะเขา ท้องฟ้าสีแดงก็พลันคำรามกึกก้องไปทั่ว ฝนสีใสค่อย ๆ หยดลงมาทีละเม็ดจนเปรอะเปื้อนเต็มใบหน้าและร่างของคนทั้งคู่ “อย่าตายนะ ฉันไม่อยากให้นายต้องมาตายเพราะฉัน” มือที่จับแขนเสื้อของเขาไว้กำแน่น เวลาที่เจ้าหล่อนพูดก็เอาแต่ก้มหน้า ต้องขอบคุณสายฝนที่ทำให้น้ำตากลมกลืนไปพร้อมกับมัน เธอพยายามรวบรวมพลังในตัวเองแล้วเงยหน้าขึ้นมองไปที่นัยน์ตาสีเทา ก่อนจะพูดออกมาอย่างชัดเจน “ถ้านายตายฉันจะไม่มีวันให้อภัยตัวเอง เพราะอย่างนั้นนายจงอยู่ต่อไป ส่วนฉันจะเป็นคนไปเอง ไม่ต้องห่วง ฉันไม่มีวันเป็นอะไร ไม่ว่ายังไงทุกอย่างก็ต้องจบลงแบบนี้” “โอลิเวีย...” คูลพึมพำชื่อของหญิงสาว มือใหญ่ยกขึ้นมาจะกอดร่างบาง แต่โอลิเวียกลับถอยหลังหนีแล้วเลือกที่จะหันหลังเดินจากไป ทันใดนั้นเสียงที่ทรงอำนาจในฐานะของเจ้าชายก็ตวาดกึกก้อง “ถ้าเธอทำ...เรื่องของเราก็จบกัน” ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด แม้จะไม่สามารถมองเห็นใบหน้าอันเป็นที่รักได้ในยามนี้ และแม้เสียงนั้นจะแข็งกระด้างเพียงใด แต่หญิงสาวก็รู้ได้ว่าเขารู้สึกอย่างไร เสียใจ ...ใช่นั่นคือความรู้สึกจริง ๆ ของทั้งเขาและเธอในตอนนี้ ถ้าต่างฝ่ายมีใครสักคนที่ยอมลงให้กันสักคน เรื่องมันอาจจะดีกว่านี้ ทว่าไม่มีทางเป็นไปได้เลย เธอผู้ยึดมั่นในตัวเอง กับ เขาผู้ยึดถือในศักดิ์ศรี ไม่มีทางใดที่เรื่องราวนี้จะจบลงอย่างสวยงาม ไม่มีทางเลยจริง ๆ หญิงสาวยิ้มบาง ๆ ท่ามกลางสายฝนที่สาดลงมากระทบร่างบางจนแทบยืนทรงตัวไม่อยู่ เธอหวังไว้ว่าจะได้มองหน้าเขา...คนที่เธอรักเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะจากกัน แต่คงจะเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อฝนที่ตกอยู่มันทำให้ภาพเลือนรางเสียจนแทบจะมองไม่เห็นใบหน้าของชายหนุ่ม...เป็นครั้งสุดท้าย แต่มันก็ดีแล้วแบบนี้ เธอจะได้ไม่ห่วงเขาอีกต่อไป จบกันไปคงจะดีกว่า ถ้าเพียงได้พบหน้ากันอีกครั้ง ก็เกรงว่าความใจอ่อนอาจทำให้ทุกอย่างต้องพังทลาย เธอตัดสินใจแล้ว มือบางกำแน่นถ่ายทอดความเจ็บปวดที่หัวใจให้ลงไปที่มือจนเกิดความชินชา พร้อมเดินจากไปท่ามกลางพายุที่เริ่มโหมกระหน่ำ และเสียงฟ้าที่ดังกระหึ่มไปทั่วทิศ ทุก ๆ เสียง ทุก ๆ หยาดฝน ค่อย ๆ ช่วยประโลมปลอบใจอันเด็ดเดี่ยวของเธอ การตัดสินใจที่เป็นตัวบ่งบอกว่าเธอโตเกินกว่าที่จะเป็นเด็กหญิง หรือ เจ้าหญิงแล้ว ก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป มีแค่ทางเดียวเท่านั้นจริง ๆ ร่างบางเดินก้าวจากไปราวกับคนที่ไร้เรี่ยวแรง เธอเดินกลับเข้าไปยังตัวเมืองที่เงียบสงบร้างไร้ผู้คน เจ้าสิงโตคอยเดินตามเธออย่างเงียบงัน ไม่มีการพูดคุย ท้องฟ้ามีแสงประกายสว่างวาบอยู่หลายครั้ง จนกระทั่งสายฟ้าสายใหญ่ก็ได้ตกลงตรงหน้าพร้อมกับเสียงที่ดังจนแก้วหูแทบแตก ภาพเลือนรางเป็นสีขาวก่อนจะค่อย ๆ จางหายไปเป็นความมืดมิดที่ดำสนิท “ไอริส!” เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งตวาดลั่น คนที่ถูกปลุกด้วยเสียงดังสะดุ้งตื่นฉับพลัน พลางลูบหูที่อื้อเพราะเสียงดัง พอหันไปเจอคนปลุกเธอก็แทบอยากจะจับหัวเจ้าตัวกดลงกับโต๊ะเสียให้รู้แล้วรู้รอด หญิงสาวผมดำที่เพิ่งตื่นนั้นเธอมีชื่อว่าไอริส เจ้าหล่อมองเพื่อนสาวด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร แต่พอเห็นหน้าระรื่นที่เอาแต่ยิ้มราวกับไม่รู้สึกรู้สาก็ทำได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ระหว่างที่รอเพื่อนตัวดีพูดอะไรออกมา เธอก็เอามือเท้าคางก่อนจะนึกถึงความฝันที่ปะติดปะต่อกันได้อย่างเหลือเชื่อนั้นก็ทำเอารู้สึกอยากจะบ้า “เป็นบ้าอะไรเนี่ย ทำหน้าเครียดอยู่ได้ ไม่สมกับเป็นเธอเลย” หญิงสาวผมแดงในยูนิฟอร์มแบบเดียวกันถามพลางนั่งลงตรงหน้า “เปล่า” ไอริสปฏิเสธสั้น ๆ เธอไม่คิดจะบอกเรื่องความฝันนั้นกับใครหรอก พูดออกไปก็มีแต่คนว่าบ้าหรือไม่ก็ละเมอเพ้อฝันไปเรื่อย แต่แล้วจู่ ๆ เธอก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอก ความเจ็บเปลี่ยนเป็นความปวดร้าวราวกับมันกำลังบีบหัวใจเธอ คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันแน่น หน้าต่างที่อยู่ตรงข้ามฉายสีท้องฟ้าที่เริ่มแปรปรวนอย่างกับพายุเข้า ความรู้สึกหวาดกลัวถาโถมเข้ามาโดยไม่ทราบสาเหตุ “เป็นอะไรไป” แพสชั่นเจ้าของเรือนผมสีแดงถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง ไอริสพยายามฝืนหน้าให้เป็นปกติพร้อมทั้งส่ายหัว รอยยิ้มหวานเจ้าเล่ห์ปิดบังความรู้สึกประหลาดในใจได้หมดจด “เธอแน่ใจนะ” “แน่สิ ถ้าฉันเป็นอะไรไป ฉันจะบอกเธอคนแรกเลย” ไอริสตอบพร้อมรอยยิ้มหวานที่ทำให้แพสชั่นค่อย ๆ เบาใจลงได้เล็กน้อย เมื่อเห็นเพื่อนยังไม่พร้อมที่จะเหล่าอะไรแพสชั่นเลือกที่จะเปลี่ยนคำถาม เมื่อเธอรู้ว่าไม่สามารถคาดคั้นเอาคำตอบจากไอริสได้อย่างแน่นอน และเพื่อไม่เป็นที่สนใจเธอเลือกที่จะเมินเฉยกับใบหน้าที่เคร่งเครียดนั่นแล้วถามคำถามที่สบาย ๆ กับเจ้าตัวแทน “ว่าแต่เพราะอะไรกัน เจ้าแม่ตื่นสายอย่างเธอถึงได้มาโรงเรียนแต่เช้าแบบนี้” คำถามของเพื่อนสาวที่มานั่งข้าง ๆ ทำให้ไอริสเลิกสนใจท้องฟ้าที่เริ่มมืดครึ้มราวกับฝนจะตก แล้วหันมามองใบหน้าที่แสนสวยซึ่งกำลังยิ้มหวานมาให้ เธอคิดคำตอบให้กับคำถามไม่ออกเลยทำได้แค่ยักไหล่ด้วยท่าทางเหมือนไม่มีอะไร มาถึงตรงนี้แล้วเธอมีชื่อว่า ‘ไอริส แกรน’ เป็นผู้หญิงที่ไม่ชอบสุงสิงกับคนอื่นสักเท่าไรนักนอกจากกับคนที่สนิทจริง ๆ และบนความธรรมดาเธอยังมีความผิดปกติที่ตัวเองก็ไม่สามารถหาคำตอบได้ นั่นคือเรื่องของความทรงจำที่มักจดจำเรื่องต่าง ๆ ได้ดีจนน่าประหลาด และความประหลาดนี่เองที่ทำให้คนบางกลุ่มเกิดความหมั่นไส้จนหาเรื่องกลั่นแกล้งในบางครั้ง ส่วนคนตรงหน้าในตอนนี้คือ ‘แพสชั่น เนปเชียน’ เพื่อนสนิทของเธอ เจ้าหล่อนเป็นคนสวยมีเสน่ห์ทั้งในหมู่ผู้หญิงและชาย เธอเป็นคนที่มีความมั่นใจสูงและสไตล์ความเป็นผู้นำ อีกทั้งยังเข้าหาคุยด้วยง่าย ไม่แปลกใจเลยที่แพสชั่นมักจะมีคนเข้ามาช่วยเหลืออยู่เสมอไม่ว่าจะมีเรื่องเดือดร้อนหรือไม่ก็ตาม เธอสองคนมีชีวิตด้านสังคมที่ต่างกันสุดขั้ว “หายากนะที่คนอย่างเธอจะทำตัวซึมนะ” เจ้าเพื่อนซี้ยังคงหาเรื่องพูดต่อไปจนผิดวิสัย ไอริสถอนหายใจให้กับความพยายามของแพสชั่น พร้อมกับเอ่ยถามเพื่อนสาวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ปรับให้ดูธรรมดามากที่สุด “ต้องการอะไรกันล่ะ” ทันทีที่จบคำถามของไอริส แพสชั่นที่ได้ยินแบบนั้นก็ทำตาลุกวาวเป็นประกาย เป็นสัญญาณบอกได้เป็นอย่างดีว่าการที่เธอมานั่งหน้าหวานอยู่ตรงนี้ด้วยเหตุผลอะไร “เปล๊า” เจ้าหล่อนขึ้นเสียงสูง “ว่าแต่ว่า...เธอรู้เรื่องเด็กใหม่ของโรงเรียนเราปะ” “อะไรนะ?” ไอริสถามอย่างไม่เข้าใจ เด็กใหม่อะไรกัน โรงเรียนนี้มีเด็กทุกระดับชั้นรวมแล้วไม่เกินหนึ่งพันคน เมืองก็เล็กไม่มีอะไรที่น่าสนใจเลย แล้วทำไมจู่ ๆ ถึงมีสิ่งที่เรียกว่าเด็กใหม่เข้ามากัน “ถามงี้แสดงว่าไม่รู้สินะ หายากจริง ๆ นะการที่มีเรื่องที่ไอริสไม่รู้เนี่ย แต่เอาเถอะไว้เจอกันนะ ฉันมีธุระที่ต้องไปจัดการก่อน” เมื่อไม่ได้สิ่งที่หวังแพสชั่นทำหน้าเซ็ง ๆ ก่อนจะลุกขึ้นเดินจากไป ทิ้งให้หญิงสาวผมดำนั่งขมวดคิ้วด้วยความสงสัยอยู่กับที่ และแล้วเธอก็คิดถึงคนคนหนึ่ง ที่มีตำแหน่งเป็นถึงประธานนักเรียนของที่แห่งนี้ ‘เอริส แกรน’ ลูกพี่ลูกน้องของเธอเอง เมื่อออดเข้าเรียนดังขึ้น ไอริสขยับตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างเชื่องช้า มุมปากเจ้าตัวประดับด้วยรอยยิ้มบาง ๆ เพราะวันนี้จะมีเด็กใหม่ที่แพสชั่นพูดถึงย้ายเข้ามาทำให้ทุกคนต้องไปรวมตัวกันที่ห้องประชุม แต่ทว่าไอริสไม่ได้ไปที่ห้องประชุม...เธอเดินออกจากห้องสมุดมาจนถึงหน้าประตูแล้วเลือกที่จะเดินไปทางซ้ายซึ่งตรงข้ามกับหอประชุม ไม่คิดแม้แต่จะไปเจอเจ้าคนเหล่านั้นตรง ๆ เธอคิดแค่ว่าเวลาจะรับมือกับใครเราต้องรู้เขารู้เราก่อน เพราะแบบนั้นเลยเลือกที่จะไปอยู่ที่ห้องของประธานนักเรียนคนเก่งแทน อีกด้านหนึ่งหลังเวทีของประชุมได้มีสี่ชีวิต สี่คนปริศนาอาศัยอยู่ในพื้นที่ส่วนที่มืด ๆ ตรงบริเวณหลังเวทีได้มีการเลิกม่านไว้นิด ๆ ให้พอมีแสงเข้า แสงนั้นทำให้เห็นคนหนึ่งหญิงสาวที่มีใบหน้างดงามเกินจะบรรยายราวกับเธอเป็นเทพธิดาที่ถอดออกมาจากเทพนิยาย กำลังทอดสายตาสีชมพูหวานใสเคลือบด้วยมนต์สะกดกวาดมองไปทั่วทุกที่ภายนอก เธอเป็นเจ้าของเรือนผมสีชมพูยาวเป็นลอนสลวยรับกับใบหน้าเรียวได้รูป ขับเน้นให้ผิวขาวราวไข่มุกในท่าทางยืนกอดอกดูงดงามจนคนมองไม่อาจจะละสายตาจากไปได้ ถัดมาที่ด้านขวาของเธอห่างไปอีกไม่กี่เมตรเป็นชายหนุ่มผมยาวตรงถึงกลางหลังสีเขียว ผมยาวนั้นได้ถูกมัดลวก ๆ ขับให้เขาดูมีท่าทีและสไตล์คล้ายหนุ่มที่รักสบาย ดวงตาสีเขียวมรกตฉายแววมีความสุขน้อย ๆ เช่นเดียวกับริมฝีปากบางที่ระบายยิ้มที่เปี่ยมด้วยมนต์สะกดออกมา แต่ที่ดึงดูดใจผู้มองเห็นทีจะเป็นใบหน้าที่งดงามราวกับผู้หญิง หากจะพูดเขาสวยจนแม้แต่ผู้หญิงยังอายเลยก็ได้ ข้าง ๆ ของเขามีชายหนุ่มที่อายุไล่เลี่ยลงมานั่งกอดอกด้วยสีหน้าและท่าทางที่แสดงออกถึงความเบื่อหน่าย เขามีใบหน้าที่เย็นชาเหมือนกับผมสีขาวราวกับหิมะที่ฉายแววเยือกเย็น นัยน์ตาสีแดงเข้มดูราวกับไว้ใช้จ้องมองเพื่อกีดกันคนออกไปจากตัว ในยามนี้ดูเหมือนว่าเขากำลังอดทนเพื่อรออะไรบางอย่าง...ที่สำคัญ และคนสุดท้ายของห้อง เขาเป็นชายหนุ่มที่มีรูปร่างและใบหน้าที่งดงามหล่อเหลาสะกดทุกสายตา ผิวพรรณเปล่งปลั่งแม้อยู่ในที่มืด กำลังนอนอยู่บนโซฟาสีดำกำมะหยี่ด้วยท่าทางที่สบายไร้ความกังวล ทำให้มองแล้วเหมือนทวยเทพกำลังพักผ่อน แต่แล้วดวงตาสีเทาเข้มจนเกือบจะเป็นสีดำสนิทก็ตื่นขึ้นมา เขายันตัวขึ้นมานั่งตรงห้อยขาลงวางบนพื้น ผมสีดำดูยุ่งเล็กน้อย ทว่าไม่อาจทำให้ความหล่อเหลาลดลงได้เลย เนิ่นนานท่ามกลางความเงียบ ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนโซฟาก็เอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “ได้เวลาแล้วหรือยัง” หญิงสาวที่งามราวเทพธิดาข้างประตูเบนสายตาไปมองชายหนุ่มที่ถาม เสียงหวานเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “ใช่ถึงเวลาแล้ว และนายก็ช่วยทำตัวให้เหมือนคนปกติด้วย” “เธอจะหมายถึงพวกสามัญชนสินะ” “ช่างเรื่องนั้นไปเถอะ ว่าแต่นายจะไม่ดูหน่อยเรอะว่าคนมาครบหรือเปล่า” หญิงสาวถอนหายใจ ไม่คิดจะแขวะคนที่เพิ่งตื่นอีก เพราะต่อให้ว่ายังไงคนที่ชอบทำหน้าตายก็ยังทำตัวด้านชาอยู่ดี ตั้งแต่มาที่นี่คนที่เคยมีสีหน้าประดับด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายก็เหมือนจะเปลี่ยนเป็นพวกสุขุมเหมือนคนที่มีดวงตาสีแดงราวกับโลหิตที่มุมห้องนั้น “สนที่ไหนกัน” ชายหนุ่มตัดบทพลางลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีขาวเห็นแบบนั้นจึงลุกขึ้นตามพลางบิดขี้เกียจเล็กน้อย ในขณะที่บรรยากาศที่เคยเงียบสงบกำลังดูผ่อนคลาย เสียงที่แสนเย็นชาของเขาก็พูดทำลายบรรยากาศพังยับในทันที “คิดว่าจะเจอโอลิเวียรึเปล่า” เพียงคำพูดสั้น ๆ ก็สามารถเรียกสายตาดุ ๆ จากชายหนุ่มที่มีท่าทีสุขุมอย่างคูลได้เป็นอย่างดี แต่เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากเหยียดยิ้มราวกับคนโง่ให้ตัวเองแล้วพูดออกมาอย่างเย็นชาว่า “ช่างผู้หญิงโง่เง่าคนนั้น สนใจแต่เรื่องพาทุกคนกลับโลกเดิมก็พอ โฟกัสแค่หน้าที่ของพวกเราก็พอ” เมื่อพูดจบผู้ชายที่มีท่วงท่าสง่างามก็เดินนำคนทั้งสามออกไปสู่เวที ...ในฐานะเด็กใหม่ของโรงเรียน ไอริสที่ในตอนนี้อยู่ในห้องของประธานนักเรียน จู่ ๆ เจ้าตัวก็รู้สึกว้าวุ่นจนนั่งไม่ติด ในตอนนี้เธอได้แต่เดินวนไปทั่วห้อง ความรู้สึกที่เหมือนกับกังวลกับเรื่องอะไรบางอย่างกัดกินความรู้สึกในใจไม่ยอมหยุด จนหญิงสาวรู้สึกเหมือนตัวเองจะเป็นบ้า แถมภาพความฝันของชายหญิงคู่หนึ่งก็เอาแต่โผล่เขามาในหัวเป็นระยะ ๆ มันฉายชัดเสียจนคิดว่าทุกอย่างนั้นเป็นความทรงจำจริง ๆ เวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตัวเธอที่เดินไปมาเริ่มรู้สึกเหนื่อย เลยเลือกที่จะนั่งลงไปบนโซฟาสีน้ำทะเลแล้วเอนหัวพิงกับเบาะอย่างเหนื่อยล้า ในเวลาเดียวกันประตูห้องประธานนักเรียนก็ถูกเปิดออกมา เอริสในชุดยูนิฟอร์มที่มีปลอกแขนสีฟ้าอมเขียวที่เจ้าตัวชอบพร้อมกับตราสัญลักษณ์ของโรงเรียน บ่งบอกตำแหน่งที่เหนือทุกคนของตัวเอง เธอกวาดสายตามองร่างที่นอนนิ่งบนโซฟาด้วยแววตาที่ประหลาดใจ คนที่อยู่ตรงหน้าเธอเป็นลูกพี่ลูกน้องที่ไม่ได้สนิทกันมากเท่าไรนัก แต่ทุกครั้งที่มีปัญหาไอริสก็มักจะมาหาเธอเสมอ “เธอมาทำอะไรที่นี่” เอริสถามเสียงห้วน เจ้าตัวเดินไปนั่งอยู่บนโซฟาพลางมองไปที่ร่างบางที่ยังนิ่งไม่ตอบอะไร ไอริสที่เงียบอยู่ถูกความรู้สึกประหลาดเล่นงานจนลืมเรื่องที่ตัวเองต้องการจะมาจริง ๆ ไปเสียหมด เมื่อเงยหน้าขึ้นและมองไปที่เอริส... การมองใบหน้างามของเอริสมักทำให้รู้สึกสงบใจ โดยเฉพาะดวงตาและผมสีฟ้านั่น มันสงบและงดงามราวกับน้ำในทะเลสาบยามที่ฟ้าสดใส “ฉันเป็นอะไรก็ไม่รู้ อยู่ดี ๆ ก็รู้สึกแปลก ๆ เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว บางทีก็ว้าวุ่นและกังวลใจสุด ๆ” ไอริสบอกสิ่งที่ตัวเองรู้สึกก่อนหน้าให้กับคนตรงข้ามฟังโดยไม่ปิดบัง เอริสเป็นคนเดียวที่เธอมักจะเล่าทุกอย่างให้ฟังแม้แต่ความฝัน เราไม่สนิทกันแต่นั่นทั้งหมดเป็นเพียงแค่ฉากหน้าในโรงเรียนเท่านั้น ส่วนแพสชั่นหากจะนับก็เป็นเพียงคนที่ไอริสสนิทด้วยภายในโรงเรียนเท่านั้น แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่แพสชั่นก็มักห่วงเธอและสังเกตสิ่งผิดปกติได้เป็นคนแรกเสมอ “นี่...จำความฝันที่เธอเล่าให้ฉันฟังบ่อย ๆ ได้ไหม” เอริสไม่ตอบเรื่องอาการของไอริส แต่กลับถามถึงความฝันที่เธอมักจะบอกว่าเป็นเรื่องไร้สาระ “ที่เธอบอกว่ามันไร้สาระ เพ้อเจ้ออะไรพวกนั้นน่ะเหรอ หรือว่าจะมาบอกว่าฉันอ่านหนังสือจนพร่ำเพ้อไปเองอีกละ” “ไม่ใช่สักหน่อย แต่ฉันแค่อยากจะถามว่า...ถ้าเกิดฝันที่ฝันถึงทุกวันมันคือความจริง อดีตที่ทอดทิ้งนั้นถามหา เธอจะกลับไปหรือปิดบังตัวตน” จู่ ๆ เอริสก็มีสีหน้าจริงจัง แม้แต่น้ำเสียงที่ถามเองก็จริงจังเสียจนไอริสอดขมวดคิ้วออกมาไม่ได้ มันเป็นคำถามที่ทำให้ไอริสต้องใช้ความคิดอย่างหนัก ถ้าฝันที่เห็นคือความจริง ถ้าอดีตต้องการกลับมาหา เธอจะกลับไปอดีตหรือเป็นคนในปัจจุบันงั้นเหรอ? “หมายความว่าไง” “ไม่รู้แล้วแต่จะคิด เธอกลับไปได้แล้ว อ้อ! และก็นะ...ถ้ายังตอบตัวเองไม่ได้ ก็อย่ามาหาฉันเป็นอันขาด!” ประธานนักเรียนสาวย้ำประโยคสุดท้ายอย่างชัดถ้อยชัดคำ ก่อนจะหิ้วหญิงสาวผมดำสนิทที่ยังคงงุนงงออกไปจากห้องอย่างไม่ไยดี เบื้องหลังของประตูที่เพิ่งปิด หญิงสาวที่มีผิวขาวราวไข่มุกเจ้าของเรือนผมสีฟ้างามพลันทรุดนั่งลงไปที่พื้น ปากก็บ่นพึมพำกับตัวเองได้ใจความว่า “ขอโทษนะโอลิเวีย แต่นี่คือคำขอของเธอฉันแค่ทำมันตามที่เธอเคยขอไว้ก็เท่านั้น”
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
บทที่ 1 - ยินดีต้อนรับสู่โลกของฉัน
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A