บทที่ 25 ชั้นเชิง   1/    
已经是第一章了
บทที่ 25 ชั้นเชิง
แต่ไหนแต่ไรแล้ว ที่ผู้ชายขาดความอบอุ่นอย่างติณณ์คนนี้ มักจะฟิวส์ขาดเสมอหากใครบังอาจพูดพาดพิงมารดาสุดที่รักของเขา ก็ใครใช้ให้ไม่เห็นหัวหล่อนกันล่ะ “ผู้หญิงที่สามารถทำให้พ่อฉันยอมแต่งงานอีกรอบได้ ก็คงจะคนละสไตล์กับเธอนั่นล่ะ” เขาไม่หลงกลกับความปัญญาอ่อนอยากเอาชนะของกวินตรา “ติณณ์!” หญิงสาวเสียงขุ่น แม้น้ำเสียงของเขาจะราบเรียบ ทว่าความนัยของมันราวกับมีดกรีดเฉือนหัวใจเธอให้เจ็บ จะไม่ให้เจ็บได้อย่างไร ก็เขาเข้าใจกระทบกระเทียบ ว่าจนป่านนี้เธอก็ยังไม่มีปัญญาคว้าตัวคุณชายมาครอง! ทว่าเขากลับเหลือบตามองรถสปอร์ตคันหรูที่แล่นเข้ามาจอด แล้วยืดตัวตรงเมื่อญาติหนุ่มก้าวลงจากรถด้วยใบหน้านิ่งเฉยกว่าปกติ “เฮ้! เฮ้!” เขาส่งเสียงร้องทัก เมื่ออีกฝ่ายเดินผ่านพวกเขาไปดื้อๆ “อ้าว!” กรภัทรเพิ่งจะมองเห็น หันหลังกลับมาทัก “มากันนานแล้วหรือ?” “เป็นครั้งแรกนะที่คนละเอียดอย่างนาย เดินใจลอยจนมองไม่เห็นพวกฉัน” ติณณ์ตบไหล่ญาติหนุ่มเบาๆ แตะต้นแขนให้เดินตามเข้าไปข้างใน กวินตรารีบสาวเท้าตามอย่างไวว่อง แน่ใจแล้วว่าปรารถนาลาออกอย่างที่ลั่นวาจาไว้จริง แต่ไม่ชอบใจยิ่งยวดที่คุณชายของเธอทำท่าเหมือนจะเป็นจะตาย กับแค่ลูกน้องลาออกไปคนเดียว ก็พอรู้ว่าเขาให้ความเมตตายัยเด็กนั่น แต่ไม่คิดว่าเขาจะถลำลึกได้ขนาดนี้ อย่างไรซะก็ถือเสียว่าตัดไฟแต่ต้นลม “พวกผู้ใหญ่มากันครบหรือยังครับคุณนภดล” ติณณ์เอ่ยถามเลขาอาวุโสของกุลธร ซึ่งเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการจัดงานครั้งนี้ “เท่าที่เทียบเชิญก็เกือบครบแล้วครับ เหลือเพียงเจ้าสัวทรงชัย แต่แจ้งแล้วว่าจะมา” “ก็เหมือนงานประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีนั่นล่ะ สักแต่ว่ามีคนนอกมาเป็นสักขีพยาน” ติณณ์หันมากระซิบกับกรภัทร “อืม” กรภัทรเพียงแต่ขานรับเบาๆ ในลำคอ นึกเห็นใจผู้หญิงที่จะมาเป็นหุ้นส่วนชีวิตของกุลธรไม่น้อย เพราะถึงแม้ฝ่ายชายจะให้เกียรติฝ่ายหญิงในระดับที่ทำให้วงการหุ้นสั่นสะเทือนแล้ว แต่พิธีแต่งงานที่ว่า กลับจัดเสมือนการประชุมอย่างที่ติณณ์ว่าจริงๆ เขาไม่รู้ว่าการแต่งงานครั้งนี้มีนัยยะอะไรซ่อนอยู่ แต่การเคลื่อนไหวของประธานเอ็มไพร์กรุ๊ป ได้สร้างแรงกระเพื่อมในแวดวงธุรกิจเป็นวงกว้าง เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือหม่อมแม่ของเขากับคุณวาสนานั่นล่ะ ที่ทำให้เขาต้องพลอยระวังตัวตามไปด้วย ที่เขาเหม่อลอยจนมองไม่เห็นเพื่อนทั้งสองเมื่อครู่นี้ ส่วนหนึ่งเพราะกังวลกับการจากไปของปรารถนา อีกส่วนเพราะยังคิดหาวิธีรับมือกับมารดาไม่ได้ หม่อมแม่ของเขาจะต้องถือโอกาสสำคัญนี้ ประกาศคลุมถุงชนเขากับกวินตราแน่ “เข้าไปข้างในกันเถอะ กวินร้อน...ร้อน...ล่ะ” “นายกับกวินเข้าไปก่อนนะ ฉันจะไปสูดอากาศข้างนอกสักครู่ แล้วจะตามเข้าไป” พูดจบก็กลับหลังหัน เดินดุ่มๆ ออกไปโดยไม่ให้ใครเหนี่ยวรั้ง ปรารถนามองตัวเองในกระจกด้วยความพอใจ เธอยังคงเป็นเธอ มิได้เปลี่ยนไปเพราะฝีมือเมคอัพอย่างที่นึกกลัว อย่างน้อยมองตัวเองในกระจกแล้วก็ยังจำตัวเองได้ มิเช่นนั้นคงจะเขินจนก้าวไม่ออกแน่ๆ แล้วเธอจะเขินใครล่ะ? หัวใจพลันห่อเหี่ยว เมื่อนึกได้ว่าที่นี่ไม่ใช่ร้านของคุณชาย ที่หากเขา ยศสินี และเพื่อนๆ พนักงานในร้านเห็นเธอในลุคนี้แล้ว จะพากันแซวล้อเลียนอย่างสนุกสนาน นั่นซิ นอกจากแม่ คุณกุลธร เธอก็ไม่รู้จักใครเลย แล้วจะต้องอายต้องเขินทำไม “พอไปวัดตอนสายๆ ได้ฮ่ะ แต่น่าจะใส่คอนแท็คแทนนะฮะ จะได้เผยดวงตาสดใส” กะเทยสาวกอดอกเอียงคอมองอย่างเสียดาย “ใช่ค่ะ” ช่างแต่งหน้าสาวสนับสนุน ดึงแว่นออกจากหญิงสาวแล้วชูนิ้วขึ้นถาม “กี่นิ้วคะ?” “สามค่ะ” ช่างแต่งหน้าถอยหลังไปอีกประมาณสิบฟุต ก่อนจะชูนิ้วขึ้นอีก “กี่นิ้วคะ?” “สองค่ะ” ปรารถนาตอบ ก่อนจะสั่นศีรษะเมื่อช่างแต่งหน้าเดินถอยหลังไปอีก “ไม่ค่อยเห็นแล้วค่ะ” “ก็แสดงว่าไม่สั้นเท่าไหร่ ไม่ต้องใส่ก็ได้มั้งคะ แบบนี้ก็ดูน่ารักดี” “น่ารัก?” ปรารถนาทวนคำ ตั้งแต่เกิดมา เพิ่งจะมีคนบอกว่าเธอน่ารักเป็นครั้งแรก “น้องน่ะ มีโครงหน้าสวยอยู่แล้ว มีแก้มนิดๆ ทำให้ดูอ่อนเยาว์กว่าอายุจริง ผิวก็สวยเพราะไม่เคยเจอเครื่องสำอาง แค่นี้ก็น่ารักพอแล้วล่ะฮ่ะ สวยแบบธรรมชาติๆ ดูสบายตาดีออก ไม่ต้องเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร เพราะคนเราเกิดมาย่อมไม่เหมือนกันอยู่แล้ว เสน่ห์ของใครก็ของเรา ถ้าเกิดมารูปร่างหน้าตาเหมือนกันทั้งโลก แล้วจะจำกันได้ไหมล่ะฮะ ว่านี่ลูกผัวเมียเรา มั่นใจฮ่ะมั่นใจ ดูอย่างพี่สิฮะ เห็นอย่างนี้แต่พี่ฟาดนายแบบมาแล้วหลายคนนะฮ้า” คำพูดของกะเทยช่างแต่งหน้า ทำให้ปรารถนาถึงกับตาสว่าง ในใจเกิดความปลื้มปิติเปี่ยมล้นเมื่อประจักษ์แก่ใจ ตั้งแต่เด็กจนโต เธอมักถูกเปรยให้ได้ยินบ่อยๆ ว่า “เตี้ย” บ้าง “ขี้เหร่” บ้าง “จน” บ้าง จนทำให้เธอต้องมุมานะด้านการเรียนเป็นการชดเชยข้อด้อยของตัวเอง ข้อด้อยที่คนอื่นยัดเยียดให้เธอทั้งนั้น และมักจะเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นเสมอ จนขาดความมั่นใจอย่างที่ว่า “ขอบคุณนะคะ” เธอยิ้มบางๆ “งั้นพี่สองคนก็ต้องขอตัวก่อนล่ะค่ะ อย่าลืมนะคะ คนที่จะประสบความสำเร็จ คือคนที่มั่นใจในตัวเองค่ะ” ปรารถนาพนมมือไหว้ด้วยรอยยิ้ม เก็บแว่นตาไว้ในกระเป๋า แล้ววางไว้บนเก้าอี้ เก็บเสื้อผ้าและข้าวของในห้องให้เรียบร้อย เพื่อว่าตอนเสร็จงานจะได้ไม่เสียเวลา ตอนนี้คงจะได้เวลาแล้ว หากไปช้าคงไม่เหมาะ แม่เองก็คงต้องการกำลังใจด้วย เธอหยิบเพียงกระเป๋าแว่นตาติดตัว ไม่มีกระเป๋าถือแบบผู้หญิง ปกติแล้วจะใช้กระเป๋าสะพายมากกว่าเพราะใส่ของได้มากและคล่องตัว แต่เมื่อสวมมกระโปรงและแต่งหน้าบางๆ แบบนี้ ก็ไม่ควรจะพกมันไปด้วย เธอเปิดประตูห้องรับรอง แล้วกดล็อกดังกริ๊ก เก็บลูกกุญแจไว้ด้วยกันกับแว่นตา โดยไม่ได้สังเกตเห็นว่า ใครบางคนกำลังมองเธอด้วยแววตาตื่นตะลึง! กรภัทรยืนห่างออกไปเกือบยี่สิบก้าว เขาแทบไม่อยากเชื่อว่าคนที่เปิดประตูออกมาจากห้องรับรอง จะเป็นคนที่เขาตามหาอย่างว้าวุ่นใจ เธอไม่ได้สวมแว่น และคงไม่ได้ใส่คอนแท็คเลนส์ จึงมองไม่เห็นเขา ผมหยักศกถูกเกล้าขึ้นมัดด้วยโบว์สีแดง ใบหน้าใสกระจ่างและริมฝีปากอิ่มมีสีชมพูเพียงเล็กน้อย เสื้อคอบัวสีหวานกับกระโปรงพลีทและรองเท้าคัทชูสีขาว ทำให้เธอดูราวกับว่าหลุดออกมาจากละครเรื่องวนิดา ไม่เลวเลยเมื่อสิ่งเหล่านั้นอยู่บนร่างเล็กๆ ตรงหน้า แฟชั่นที่ไม่ได้ล้าสมัยและไม่ได้หวือหวาวูบวาบ กลับทำให้เธอดูสงบและอบอุ่นอย่างน่าประหลาด เขาก้าวช้าๆ ไปข้างหน้า เช่นเดียวกับเธอที่หมุนตัวเดินมาทางนี้ ก่อนที่ร่างเล็กๆ นั้นจะชะงักกึก!! ดวงตาคู่สวยเบิกกว้าง เผลอทำกระเป๋าแว่นตาหลุดมือ “คุณชาย!” ปรารถนาบอกไม่ถูก ว่าวินาทีที่เห็นหน้ากรภัทร เธอรู้สึกเช่นไร ขาของเธอแข็งจนขยับไม่ออก ลมหายใจกระชั้นถี่เพราะความกลัวระคนเสียใจ ที่ลาออกไปไม่บอกไม่กล่าว ทิ้งไว้เพียงจดหมายลาออกฉบับเดียวอย่างเสียมารยาทที่สุด นอกจากนั้น ความรู้สึก “ปลาบปลื้ม” ที่มีต่อเขาก็ยังล้นปรี่ อาจจะมากกว่ายศสินีและเพื่อนๆ พนักงานด้วยซ้ำ เพราะระยะหลังมานี้ คุณชายดีต่อเธอมากเหลือเกิน เธอกลัว...ที่จะปล่อยให้ความรู้สึก “ปลาบปลื้ม” พัฒนาขึ้นไปเป็นอย่างอื่น กลัวที่จะค้นหาว่า “ความรู้สึกที่ถูกพัฒนา” นั้น เรียกกันว่าอะไร และกลัวที่จะยอมรับว่าเธอ “เสียใจ” ที่รู้ว่าเขาจะแต่งงานกับกวินตรา เขาดีกับเธอตลอดมา เธอก็ควรจะยินดีกับเขาไม่ใช่หรือ... “ผมเอง” กรภัทรเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหา เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยืนตัวตรงเหมือนกำลังเคารพธงชาติ ทั้งปล่อยกระเป๋าแว่นลงพื้นจนกลัวว่าจะต้องตัดใหม่อีกรอบ
已经是最新一章了
加载中