ตอนที่ 24
ข้าวดันกายชายหนุ่มออกแล้วรีบวิ่งหนีไปด้วยความเขินอย่างเก็บอาการไม่อยู่รีบก้าวออกมานอกเขตมองหน้าบ่าวสามรำที่ยืนรออยู่ มือขวาของเธอยกขึ้นจับทับทรวงก่อนหลับตายิ้มกริ่มสะบัดหน้าตั้งสติเอามือตบแก้มเบาๆผงะมองบ่าวสามรำที่มองหน้ากันฉงน
“มองอะไร ไม่เคยเห็นคนเขินหรือไง ฮิฮิ บ้าบอที่สุด เฮ้อ” ข้าวยิ้มกริ่มอย่างใจชื้นเดินนำไปที่แผงขายของเลือกดูของมากมายอย่างตื่นตัวก่อนหยุดชะงักฉุกคิดบางอย่างขึ้นได้ก้มมองทับทรวงที่ห้อยอยู่ตรงอก
“คิดอะไรอยู่เนี้ยฉัน ไม่ลอดช่องสิ ตั้งสติหน่อย” ข้าวผ่อนลมหายใจปล่อยมือออกกวาดสายตามองรอบก่อนเดินแยกไปที่ตลิ่งริมน้ำ
“แม่หญิงเจ้าคะ” รำเพยถือร่มมองตาปริบๆอย่างสงสัยกับรอยยิ้มที่หดหายของผู้เป็นนายปรับอารมณ์เร็วจนตามไม่ทัน
“ถ้าไขปริศนาจบแล้วจะยังไงต่อ จะได้กลับบ้านหรือเปล่า” ข้าวยกมือลูบแขนไปมาก่อนกอดแขนตนเองมองน้ำที่แน่นิ่ง
“แม่หญิงเจ้าคะ” รำพันเอ่ยขึ้นทำให้ข้าวเอียงหน้าเลิกคิ้วมอง
“ว่า” ยังไม่ทันสิ้นเสียงดีทำให้ข้าวต้องหันกลับมามองชายหนุ่มหน้าตี๋เดินเข้ามาก้มหัวทักทายอย่างเป็นมิตร บ่าวสามรำยืนประกบข้าวที่เหล่มองซ้ายขวาอย่างหงุดหงิดใจก่อนกางมือออกกว้างชนอกบ่าวสามรำให้หยุดค้างทันทีพร้อมตวัดหางตาอย่างไม่สบอารมณ์
“ช่างตีเหล็ก มีอะไรมานำเสนอหรือไง” ข้าวยืนกอดอกมองหน้าชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าตนเอามือไขว้หลังตอบอย่างสุขุม
“เรียกข้าว่าลีจงจะดีกว่า หากพบเจอเกินสองครั้งไม่ใช่วาสนาที่ผูกกันมาอย่างเดียว”
“วาจาคมคายน่าสนใจแฮะ ปกติเจอกันไม่ได้สนทนากันเป็นเรื่องเป็นราว ไหนๆก็เจอกันแล้วคุยเล่นกับข้าก่อนแล้วกัน น่าเจรจาดี” ข้าวยิ้มกริ่มเลิกคิ้วมองหน่วยก้านของชายหนุ่มอย่างพิจารณาจับผิดก่อนล้วงหยิบอัฐยื่นให้บ่าวสามรำ “ไปหาขนมมาให้ข้าหน่อยสิ ชักหิวแล้ว”
“เจ้าค่ะ รับไปสิอีรำเพย” รำไพกระทุ้งศอกสะกิดเขม่นรำเพยที่มองเหลอหลา
“เอ็งสองคนไป ข้าจะอยู่ดูแม่หญิงเอง” รำพันมองหน้ารำเพยและรำไพ
“เอ็งไปคนเดียวก็ได้รำเพย” รำไพหันมาแย้งอย่างไม่ยินยอมจนข้าวเริ่มหงุดหงิดเท้าเอวหันกลับมามองหน้าบ่าวสามรำที่ก้มหน้างุดก่อนออกปากสั่งกดเสียงต่ำ
“ไปทั้งหมดนั่นแหละ”
“แต่ว่า…” เสียงประสานของบ่าวสามคนเอ่ยขึ้นพลางชำเลืองมองลีจงที่ยืนมองทางอื่นอย่างไม่สนใจ ข้าวมองตามอย่างเข้าใจปนหงุดหงิด
“จะอะไรนักหนา ไม่ได้ทำอะไรกันสักหน่อยแค่คุยกัน ยุ่งยากนักนะอยากโดนจับแหกอกหรือไง!” น้ำเสียงเริ่มบ่งบอกความไม่พอใจทำบ่าวสามรำสะดุ้งเฮือกก่อนสะกิดหาหน่วยเสี่ยงตาย
“แม่หญิงมีคู่หมายแล้วการอยู่กับชายสองต่อสองตามลำพังจะไม่ดีนะเจ้าคะ” รำเพยค่อยๆเอ่ยปากอย่างใช่เหตุผลเข้าต้าน
“ลอดช่องอีกแล้ว นอนเตียงเดียวกะไอ้ขันยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ยุ่งยากชะมัด ใครอยากอยู่อยากไปก็ตามใจเอาที่สะดวกเลย รำคาญ!” ข้าวสบถลั่นทำบ่าวสามรำสะดุ้งเฮือกก้มหน้างุด
“แม่หญิง” เสียงชายหนุ่มขัดขึ้นทำให้ข้าวตวัดหางตามองทันทีอย่างหงุดหงิดใจพาบ่าวหายใจหายคอได้สะดวกมองหน้ากันอย่างหารือตกลงกันอย่างเงียบๆจนเหลือเพียงรำเพยไว้อยู่ดูแลเป็นหูเป็นตา
“สิ่งที่ได้ไปนั้นถูกใจหรือไม่ ข้าเหลาหัวมังกรเพิ่มไปหากไม่ชอบใจอย่างไรข้าจะทำให้ใหม่”
“ชอบสิ เป็นเอกลักษณ์ดีจะทำใหม่ทำไมเล่า แต่ถ้าจะทำเพิ่มก็ไม่ว่าอะไร” ข้าวกระตุกยิ้มมองท่าทีการวางตัวของชายหนุ่มที่ดูราวกับถูกอบรมมาอย่างดี
“แม่หญิงต้องการสิ่งใด ครั้งก่อนแม่หญิงช่วยข้าไว้ หากไม่ได้ตอบแทนคงไม่เป็นสุข ให้ข้าได้ตอบแทนเถิด”
“ข้าอยากได้ปิ่นสักอัน” ข้าวเปลี่ยนมือมากอดอกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“ได้”
“แต่สำหรับข้าไม่ใช่ปิ่นธรรมดาเพราะชีวิตของข้าอยู่บนความเป็นความตาย หากเป็นไปได้ข้าอยากได้เครื่องประดับที่ซ่อนคมไว้ป้องกันตัวทั้งหมด ดูเหมือนว่าข้าต้องเจออะไรอีกเยอะถ้าไม่ระวังตัวคงได้ไปนอนคุยกับรากมะม่วงแน่” ข้าวเบี่ยงสายตามองไปที่เด็กกระโดดน้ำสีหน้าจริงจังขึ้นมาถนัดตาบ่งบอกความกังวลอย่างเห็นได้ชัดเจนจนชายหนุ่มจับสังเกตได้
“ข้าทำให้ได้แต่แม่หญิงก็ต้องมีสติในการใช้สิ่งพวกนี้ หากผิดพลาดจะเข้าตนเอง” ลีจงไล่สายตามองตามข้าวที่มองเด็กๆกระโดดลงน้ำจนกระเพื่อมเข้าฝั่ง
“ทุกวันนี้ก็อยู่อย่างมีสติอยู่แล้ว ลองดูไหมละ” ข้าวหันกลับมายิ้มแหย่ใส่ชายหนุ่มที่หันกลับมาสบตาเช่นกัน
“ใครจะกล้ากับแม่หญิงผู้แสนเด็ดเดี่ยวได้” ลีจงอมยิ้มตอบกลับอย่างเข้าขาทำให้ข้าวยิ้มอย่างชอบอกชอบใจกับการสนทนาที่เรียบง่ายและเข้าขากัน
“ดูเหมือนข้าจะเจอสหายรู้ใจแล้วสิ” ข้าวยื่นมือออกไปด้านหน้าพร้อมมองลีจงที่เงอะงันมองฉงนอย่างแปลกใจก่อนที่จะถูกหญิงสาวเอื้อมมือจับมือของเขาขึ้นมาจับมือตอบรับตน “สัญญาสหาย มีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้าน ชักถูกชะตาซะแล้ว”
“มีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้าน” ลีจงทวนคำจับมือตอบกลับด้วยรอยยิ้ม รำเพยยืนมองทั้งสองโดยทิ้งระยะห่างเฝ้าระวังจับผิดชายหนุ่มจนทั้งคู่ปล่อยมือออกจากกันด้วยรอยยิ้ม
“แม่หญิง แม่หญิงขอรับ” เสียงโวกเวกดังใกล้ขึ้นเรื่อยๆทำให้ข้าวต้องเอียงหน้ามองแก้วที่วิ่งปาดเหงื่อเข้ามาอย่างเหนื่อยหอบจนรำเพยต้องยกมือช่วยลูบหลัง
“อะไรอีกละ”
“ท่านขุนให้มาตามไปที่ท่าเรือขอรับ” แก้วตบอกค่อยๆผ่อนลมหายใจยาวจังหวะเดียวกับที่รำพันกับรำไพเดินเข้ามาพร้อมขนมมากมายอยู่ในกระจาด
“อืม จะรีบไป ข้าไปก่อนนะลีจงไว้เจอกันคราวหน้า” ข้าวพยักหน้ารับก่อนหันมาบอกลีจงที่ยืนรอฟังอยู่
“ข้าจะรอ เชิญ” ลีจงตอบรับพร้อมผายมือหลีกทางให้หญิงสาวที่เดินนำบ่าวสี่คนจากไป
ภาพย์ยืนหันหลังมองท่าเรืออย่างครุ่นคิดก่อนชำเลืองมองหญิงสาวเดินนำบ่าวของตนเองและของเธอเข้ามา ข้าวกระแอมเบาๆตั้งสติตนให้อยู่กับตัวแต่ในหัวก็ไม่หยุดขึ้นภาพก่อนหน้าที่ได้ชิดใกล้กับชายตรงหน้าจนต้องหลับตาแน่นข่มใจไม่วอกแวก
“ไม่สบายรึ” ไม่เอ่ยถามเปล่าหลังมือขวาแตะลงบนหน้าผากของข้าวทำให้เธอต้องลืมตาขึ้นจังหวะเดียวกับที่เขาก้มมองเธอเช่นกันทำให้การสบตาเป็นครั้งที่ร้อยแปดเกิดขึ้นทั้งในหัวและตรงหน้าพาหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะจะทะลุออกมาให้รู้แล้วรู้รอด
“เปล่า ปกติ ปกติมากเลย” ข้าวยกมือปัดมือเขาลงแก้เขินก่อนได้ยินเสียงคิกคักอยู่ด้านหลัง ดวงตาเฉียบเปลี่ยนกิริยาตวัดหางตามองไปด้านหลังทันที บ่าวสามรำและแก้วสะดุ้งเฮือกสันหลังวาบรีบก้มหน้างุดทันที ภาพย์ยิ้มกริ่มมองท่าทีของหญิงสาวแล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้กว่าเดิม
“เดี๋ยวเถอะ” ข้าวเท้าเอวกัดฟันหันกลับมาต้องผงะเซถอยหลังเมื่อเจอใบหน้าชายหนุ่มอยู่ตรงหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัวหน้าตาตื่น “คุณพี่!”
“อย่างน้อยตกใจก็ไม่ลืมที่จะเรียก” ภาพย์ยิ้มกริ่มมองเรือเทียบท่าแล้วก้าวลงเรือทันทีก่อนหันมายื่นมือรอรับหญิงที่ยืนมองค้อนอยู่บนท่า “ไม่กลับรึ”
“ร้ายกาจมาก ผู้ชายสมัยนี้เผลอไม่ได้เชียว เฮ้อ ใจบางกันพอดี ห้ามเล่นแบบนี้อีกนะ” ข้าวชี้หน้าแสร้งต่อว่ากลบเกลื่อนใจที่ร้อนรุ่มตื่นเต้น
“พี่ไม่เคยเล่นเจ้าไม่รู้เลยรึแม่จันทร์หอม” ประโยคตอบกลับพาบ่าวยิ้มแก้มปริมองหน้ากันอย่างเก็บอาการเมื่อข้าวตวัดหางตากลับมามองแล้วหันกลับไปเขม็งชายหนุ่มพร้อมขยับเท้าก้าวลงเรือเอง ภาพย์มองข้าวลงเรือก่อนฉีกยิ้มขยับเท้าให้เรือเอียง
“เหวอออ!” ข้าวร้องเสียงหลงคว้าแขนภาพย์จับไว้ทันทีมองเรือที่หยุดนิ่งไม่โคลงเคลงไปมาก่อนหันมองมือตนเองแล้วเลื่อนสายตามองไล่ไปสบตาเจ้าของรอยยิ้มสุขุม เธอรีบละมือออกนั่งลงอย่างสงบเสงี่ยมมองสายน้ำพยายามไม่มองไปทางที่ภาพย์อยู่