ตอนที่ 7
“ด่วนถึงขนาดต้องส่งโทรเลขเชียวหรือคะ”
“ด่วนสิคะ กระโดกกระเดกเป็นม้าดีดกะโหลก แม่สายพิณทานไม่ไหวแล้วค่ะ เถ้าแก่ลิ้มก็ตามใจลูกสาวเหลือเกิน นี่เกริ่นไว้จะให้นำไปฝากรับใช้เจ้านาย แต่ในยามนี้จะมีวังไหนที่รับนางข้าหลวงเล่าคะ ฉันก็ได้แต่แบ่งรับแบ่งสู้ คงต้องพามาอยู่ด้วยกันก่อน แล้วค่อยคิดอ่านอีกทีน่ะค่ะ ไม่รู้ว่าแม่ลูกจันทร์จะฤทธิ์มากเพียงไหน”
“ชื่อลูกจันทร์หรือคะ ชื่อไพเราะนัก”
“ชื่อไพเราะ หน้าตาก็จิ้มลิ้มพริ้มเพราค่ะ แถมยังเก่งงานค้าตามเถ้าแก่ แต่แม่สายพิณไม่ชอบดอกนะคะ กิริยากระโดกกระเดกเกินงามไปมากเยี่ยงนี้ คงหาคนดีๆ มาแต่งด้วยยาก”
โรงสีข้าวเถ้าแก่ลิ้ม
“อัดเช้ย!”
เสียงจามหลายครั้งทำให้ดวงตาคมเข้มยาวรีตวัดมองคนร่างเล็กที่ยืนแจกไม้ติ้วให้จับกังแบกข้าวสารขึ้นเรือ ก่อนจะก้มหน้าจัดการกับบัญชีขายข้าวประจำเดือนต่อ ทว่าเสียงจามก็ดังต่อเนื่องจน ‘เก้า’ อดไม่ได้ที่จะเหลือบตามองอีกครั้ง
ดวงตาคมเข้มมีแววอ่อนแสงยามลอบมอง ‘คุณหนูลูกจันทร์’ หญิงสาวผู้เปรียบดั่งดวงจันทร์ที่เขาไม่มีวันเอื้อมถึง ทำได้แต่แอบมองยามคุณหนูเผลอไผลหรือในยามที่ไม่มีใครสังเกตเท่านั้น
ใบหน้าจิ้มลิ้มเปลี่ยนเป็นหน้ามุ่ย พลางขยี้นิ้วที่ปลายจมูกก่อนจะจามติดๆ อีกหลายครั้ง แต่ดวงตากลมโตสุกสกาวดุจดาวบนฟ้าก็ยังคงมองคนงานแบกข้าวสารเดินขึ้นกระดานที่ไม้พาดลงเรือ เพื่อไม่ให้พลาดหากจะมีใครสักคนที่ลืมมารับไม้ติ้ว เพราะหากเป็นเช่นนั้นจับกังคนนั้นก็จะได้ค่าแรงไม่คุ้มกับหยาดเหงื่อที่สูญเสียไป
เพราะถูกสอนให้มีความเป็นธรรมและซื่อสัตย์ต่ออาชีพที่ทำ คุณหนูจึงต้องถี่ถ้วนในการตรวจตรา ทั้งเพื่อกิจการและเพื่อคนงาน ด้วยหากคนงานกินไม่อิ่มอยู่ไม่สุข กิจการงานโรงสีก็คงกินอิ่มและสุขยาก
‘การไม่ดูถูกอาชีพ คือเราไม่ดูถูกผู้อื่น จงจำไว้ เราค้าข้าวไม่ได้ค้าแรงงาน ใครใช้แรงก็จ่ายให้คุ้มค่า’ นั่นคือคำสอนที่เถ้าแก่ใช้สอนลูกชายหญิงรวมทั้งตัวเขาด้วย
“อัดเช้ย!”
เสียงจามดังชัดและแรงกว่าเดิมจนจมูกน้อยๆ น่าหยิกนั้นแดงจัดเห็นได้ชัด คุณหนูหยิบผ้าเช็ดหน้าเหน็บชายพกขึ้นมาสะบัดพับครึ่งคาดปิดจมูกและผูกเป็นปมด้านหลังศีรษะ
เก้ามองสิ่งที่คุณหนูทำ หากเป็นคนอื่นคงอึ้ง แต่เพราะเขาเห็นแบบนี้เป็นประจำจึงแค่ขันกับวิธีแก้ไขปัญหา
คุณหนูลูกจันทร์ที่เขาเห็นมาแต่เด็กไม่เคยห่วงสวย ไม่เคยใส่ใจเรื่องประทินผิว ไม่เคยคิดว่าตนเองจะต้องมีจริตกิริยาเหมือนลูกสาวบ้านไหน
แต่คุณหนูกลับเรียนรู้งานในโรงสีจนครบถ้วน เพราะตระหนักว่าเป็นลูกสาวเจ้าของโรงสีใหญ่ คุมเหล่าจับกังมากมาย หากทำตัวหงออ่อนหวาน นั่นคือไม่สามารถปกครองคนงานได้ ซึ่งเถ้าแก่ก็ตั้งใจให้ลูกสาวเป็นเช่นนั้น แม้จะขัดใจเถ้าแก่เนี้ยอยู่มากก็ตาม แต่ในสายตาของเขา นี่คือความงามจากเนื้อแท้ที่ยากนักจะหาได้จากสตรีใด
“อัดเช้ย!”
“สงสัยจะมีคนนินทา”
เสียงจามยังอยู่ทว่าเสียงพูดลอยๆ ของคนที่เขาคิดว่านอนหลับอยู่ด้านข้างทำให้เก้าต้องดึงสมาธิตนเองกลับมาสนใจกับตัวเลขในบัญชีต่อเพราะทุกอย่างจะผิดพลาดไม่ได้
“เรื่องเมื่อวานเรียบร้อยไหมอาเก้า”
เก้าวางดินสอบนกระดาษจดก่อนจะหันหน้าเข้าหา ‘เถ้าแก่ลิ้ม’ ผู้เป็นเจ้านายที่ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งบนเตียงไม้ขนาดกว้างแค่พอเอนหลัง เขาวางมือประสานกันบนตัก ค้อมศีรษะเล็กน้อยดั่งผู้น้อยอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่
“เรียบร้อยดีขอรับเถ้าแก่ อั๊วให้มันไปช่วยเลี้ยงหมูอยู่ท้ายสวน แม่อรช่วยหาหยูกยาข้าวน้ำให้กินเรียบร้อยขอรับ”
เก้าหมายถึงแม่บังเกิดเกล้า แต่ที่เขาเรียกว่า ‘แม่อร’ ก็เพราะความเป็นกำพร้าพ่อทำให้หญิงคนงานในโรงสีเถ้าแก่ลิ้มเอ็นดูเขากันทุกคน เขาจึงมีแม่หลายแม่ และยังมีอาม่า อาอี๊ อาอึ้ม อีกหลายคน เพื่อไม่ให้สับสนในการเรียก แม่จึงกลายเป็นแม่อรไปโดยปริยาย
“อืม... ดีแล้ว อย่าให้เถ้าแก่เนี้ยรู้เรื่องเด็ดขาดนะ รอสักเดือนสองเดือนให้เรื่องซา ก็แล้วแต่ลื้อว่าจะให้มันไปทำงานตรงไหน”
“ขอรับเถ้าแก่”
เก้ารับคำพลางรอว่าเถ้าแก่ลิ้มจะพูดอะไรอีกหรือเปล่า และเมื่อเถ้าแก่พยักหน้าว่าหมดเรื่องเขาก็หันกลับสู่บัญชีค้าขายอีกครา
มือหนึ่งจับดินสอ อีกมือหยิบกระดาษจดการซื้อข้าวของเมื่อวานขึ้นมาดู เพื่อจดบันทึกลงในบัญชีรวมสำหรับตรวจสอบว่ามีข้าวเปลือกและข้าวสารอยู่ในโรงสีอีกจำนวนเท่าไร ตั้งใจจะไม่ว่อกแว่กมองไปด้านนอกอีกเด็ดขาด เพราะเขาต้องทำงานให้คุ้มค่ากับความเมตตาที่เถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยมีให้เขากับแม่ ทว่าเสียงที่มาก่อนภาพกลับทำให้เก้าชะงัก
ที่ท่าน้ำขึ้นข้าวเปลือก เถ้าแก่เนี้ยกำลังดุคุณหนูลูกจันทร์เสียงขรม จับใจความได้ว่าเป็นเรื่องของเมื่อวาน เก้ารีบหันหาเถ้าแก่ลิ้มที่เอนกายลงนอนและหลับตานิ่ง
“เถ้าแก่ครับ” หวังจะให้เถ้าแก่ช่วยคุณหนู
“อืม... เตรียมย้ายมันออกจากคอกหมูได้เลย” พูดทั้งที่ยังหลับตา เพราะเสียงเมียรักที่ดุลูกสาวดังใกล้เข้ามานั่นยิ่งทำให้เถ้าแก่ลิ้มไม่กล้าลืมตามอง
เก้ารีบก้มหน้าเมื่อเถ้าแก่เนี้ยจูงมือคุณหนูเดินปรี่เข้ามา แค่เหลือบตามองก็เห็นแววกราดเกรี้ยว นั่นทำให้เขายิ่งต้องหลบ