ตอนที่ 6 สำนักมารสวรรค์
1/
ตอนที่ 6 สำนักมารสวรรค์
จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร
(
)
已经是第一章了
ตอนที่ 6 สำนักมารสวรรค์
วันวานกาลก่อนมิอาจย้อนคืน สายน้ำเชี่ยวไหลหลากจากไปไม่อาจย้อนกลับ ทารกแบเบาะยังต้องรู้จักพลิกตัว แล้วจึงค่อย ๆคืบคลานลุกขึ้นนั่งตั้งไข่จนกระทั่งเดินได้วิ่งคล่องแคล่ว สิ่งเหล่านี้ล้วนเริ่มต้นจากศูนย์หรือเรียกว่าจากสามัญสู่สูงสุด ส่วนมันสมองและความเฉลียวฉลาดอาจมีมาไม่เท่ากัน แต่นั่นสามารถฝึกฝนได้ภายหลังไม่ยากนัก แต่สิ่งหนึ่งซึ่งติดตัวมาแต่ละคนไม่อาจลอกเลียนหรือหยิบยืมกันได้ สิ่งนั้นเรียกว่าพรสวรรค์ ในเมื่อสวรรค์สรรสร้างมอบสิ่งนี้ให้มาแต่กำเนิด ขึ้นอยู่กับผู้ใดจะสามารถนำพรสวรรค์ที่ได้มาทำประโยชน์หรือก่อโทษเภทภัย ในร่างของคนผู้หนึ่งแฝงไว้ซึ่งดีชั่วดำขาวเคล้าคละปะปน สิ่งแวดล้อมรอบตัวมีผลให้คนก้าวถูกผิดคิดชั่วดี การอบรมบ่มสั่งสอนตั้งแต่เด็กนั้น คล้ายดั่งผ้าขาวบริสุทธิ์จะแต่งแต้มสีสันย่อมได้ดั่งใจ แต่หากผ้านั้นหม่นหมองมอมแมมสกปรก จะเติมสีขาวลงไปเท่าใดย่อมไร้ผล เกิดเป็นคนหากมีคุณธรรมเป็นที่ตั้งนับว่าประเสริฐสุด ที่กล่าวมาทั้งหมดเปรียบได้คล้ายจ่านจือ ตั้งแต่เด็กระกำลำบากอดอยากหิวโหย จำความได้ไร้ซึ่งบิดรมารดาอยู่ข้างกาย การที่ต้องพึ่งตัวเองเพื่อเอาตัวรอดเป็นการฝึกความอดทนไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค์ สวรรค์ไม่ทอดทิ้งคนดีได้ป้าหนิวเก็บมาเลี้ยงดูอบรม ตั้งแต่เล็กต้องทำงานสารพัดไม่อาจเกียจคร้าน การตรากตรำทำงานหนักเป็นการเพาะสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแกร่ง ป้าหนิวสอนให้ช่วยงานเพื่อนบ้านโดยมิหวังสิ่งตอบแทน นั่นเป็นการปลูกฝังให้เด็กน้อยเป็นคนมีน้ำใจไม่เห็นแก่ตัว อีกทั้งยังรักษาสัจจะซื่อสัตย์เที่ยงตรง เช้านี้เจ้าโอสถสายรุ้งให้จ่านจือขึ้นเขาหาเก็บสมุนไพร เพื่อนำมาปรุงยาตัวหนึ่ง จ่านจือเร่งเร้าพลังในร่างพลางกระโดดทะยานใช้เพียงปลายเท้าสะกิดชะง่อนหิน หยิบยืมพลังขึ้นสู่ยอดเขาอย่างง่ายดายมิเปลืองแรงแม้แต่น้อย หากเป็นเมื่อกาลก่อนกว่าจ่านจือจะปีนป่ายขึ้นสู่ยอดเขาแห่งนี้ได้ ต้องใช้เวลาครึ่งค่อนวัน สิ้นเปลืองเรี่ยวแรงแทบหมดสิ้น มิหนำซ้ำยังเหนื่อยหอบเม็ดเหงื่อไหลโซมกายเปียกชุ่มไปหมดทั้งร่าง จ่านจือจดจำลักษณะของสมุนไพรได้อย่างแม่นยำ จึงใช้เวลาไม่นานนักเสาะพบสมุนไพรที่เจ้าโอสถสายรุ้งต้องการ ไม่รีรอรีบล้วงมีดพกเล่มเล็กจากอกเสื้อออกมาตัดต้นสมุนไพรเหล่านั้นบรรจุใส่ห่อผ้า หลังจากนั้นจ่านจือใช้ท่วงท่ากระโดดไม่กี่คราพาร่างลงสู่เชิงเขาเบื้องล่างอย่างสวยงาม เมื่อมาถึงเชิงเขาเบื้องล่างจ่านจือรีบเดินทางกลับไปยังที่พักทันที ระหว่างทางก่อนบรรลุถึงที่พักราวครึ่งลี้ เหลือบแลเห็นเงาหลังของร่างคนผู้หนึ่ง มองเห็นไม่ถนัดชัดเจนนักพุ่งร่างออกจากที่นั่น จ่านจือจึงเร่งฝีเท้าติดตามไปเพื่อดูว่าตนเองตาฝาดไปหรือไม่? เพราะตั้งแต่เขาอาศัยอยู่ที่หุบเขาผีเสื้อ ที่ผ่านมามิเคยมีผู้ใดก้าวล่วงเข้ามาในบริเวณนี้แม้แต่ผู้เดียว มีแต่เพียงเจ้าโอสถสายรุ้งเท่านั้นที่เดินทางเข้าออกจากหุบเขาไป บางครั้งท่านเดินทางออกจากหุบเขาเป็นเวลาสองสัปดาห์ถึงหนึ่งเดือน ปล่อยให้จ่านจืออยู่ภายในหุบเขาฝึกฝนวิชาโดยลำพัง ท่านเจ้าโอสถสายรุ้งกล่าวกับจ่านจือแต่เพียงว่าท่านจะออกจากหุบเขาไปทำธุระประการหนึ่งเท่านั้นเอง จ่านจือสลัดศีรษะไปมาคิดว่าตนเองคงตาฝาดไปเองเมื่อไม่เห็นผู้ใด จึงหันหลังกลับเร่งฝีเท้าสู่ที่พัก เมื่อกลับมาถึงเห็นท่านเจ้าโอสถสายรุ้งยืนอยู่บริเวณลานกว้างด้านหน้าที่พัก ครั้นท่านเห็นเขากลับมาบอกให้เขานำสมุนไพรเข้าไปเก็บแล้วให้รีบออกมาพบท่าน จ่านจือรีบปฏิบัติตามโดยมิรอช้า เมื่อนำสมุนไพรไปเก็บยังด้านในเรียบร้อยแล้ว จ่านจือรีบก้าวเท้าออกมาใจหนึ่งใคร่เอ่ยถามท่านเจ้าโอสถสายรุ้ง ว่าท่านพบเห็นผู้ใดเข้ามาในหุบเขาผีเสื้อหรือไม่? แต่อีกใจหนึ่งเกรงว่าท่านเจ้าโอสถจะหาว่าเขาตาฝาด ดังนั้นจ่านจือเก็บคำถามนั้นไว้พอดีท่านเจ้าโอสถสายรุ้งเอ่ยกล่าวขึ้นก่อนว่า จ่านจือเจ้าหายเหน็ดเหนื่อยแล้วหรือไม่? วันนี้อาจารย์จะถ่ายทอดวิชาดาวดึงส์ให้กับเจ้า วิชาชุดนี้รวบรวมเอาจุดเด่นของสี่ธาตุคือดินน้ำลมไฟเข้าด้วยกัน ถือว่าเป็นสุดยอดวิชาที่ปรมาจารย์บัญญัติขึ้น จุดเด่นของวิชานี้อาศัยความแข็งแกร่งดุดันของธาตุดินและธาตุไฟ ผสานกับความอ่อนหยุ่นเยือกเย็นของธาตุน้ำและธาตุลม เจ้าจงตั้งใจจดจำกระบวนท่าให้ดี ที่ผ่านมาห้าปีจ่านจือปรับพื้นฐานกำลังภายในจนแข็งแกร่ง ทุกค่ำคืนก่อนเข้านอนจะนั่งโคจรพลังลมปราณภายใน ทุกเช้าเย็นจ่านจือฝึกกระบวนท่าพื้นฐานวิชาบู๊จนแตกฉาน ได้ยินว่าวันนี้เจ้าโอสถสายรุ้งจะถ่ายทอดสุดยอดวิชาของท่านให้กับเขา จึงรีบประสานมือขอบคุณเจ้าโอสถสายรุ้ง แล้วส่งเสียงกล่าวอย่างยินดีว่า “ขอบคุณท่านอาจารย์ที่กรุณาสอนสั่ง ทราบว่าวิชาชุดนี้เป็นสุดยอดวิชาที่อาจารย์หวงแหน ถึงแม้ข้าพเจ้าจะยังไม่เคยชมท่านแสดงกับตามาก่อน แต่พอจะคาดเดาได้ว่าต้องร้ายกาจลึกล้ำพิสดารอย่างแน่นอน ที่ท่านอาจารย์เหน็ดเหนื่อยอบรมศิษย์มา ล้วนเพื่อให้จ่านจือได้ดีไม่สร้างความเสื่อมเสียหน้าให้กับอาจารย์ เพื่อมิให้ท่านอาจารย์ผิดหวังข้าพเจ้าจะตั้งใจฝึกฝนอย่างเต็มความสามารถ” เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนเมื่อเห็นศิษย์ของตนรับปากอย่างแข็งขัน จึงเผยยิ้มอย่างพึงพอใจพร้อมกับเรียกจ่านจือให้เข้าไปใกล้ ๆแล้วจึงเริ่มถ่ายทอดสุดยอดวิชาดาวดึงส์ให้กับเขา “วิชาดาวดึงส์มีอยู่ด้วยกันเก้าท่า ในแต่ละท่าแปรเปลี่ยนได้สิบสองกระบวนท่า รวมเป็นร้อยแปดกระบวนท่า เพลงยุทธ์ชุดนี้เน้นกำลังภายในเป็นหลักลมปราณต่อเนื่อง ทุกกระบวนท่าแข็งแกร่งดุดันผันแปรรวดเร็ว เน้นฝ่ามือเป็นหลักเท้าเป็นรอง เปลี่ยนรุกเป็นรับเปลี่ยนรับเป็นรุกได้อย่างแยบคาย หากฝึกสำเร็จสามารถโค่นต้นไม้ทลายหินผาได้โดยง่ายดายดั่งใจปรารถนา ทำลายอาวุธได้สารพัดชนิดได้ในพริบตา อาจารย์จะเริ่มสอนท่าที่หนึ่งซึ่งเรียกว่าดาวเย้ยเดือนจ่านจือเจ้าตั้งใจดูให้ดี ท่าที่สองดาวเกลื่อนนภา ท่าที่สามดาวเคลื่อนเดือนคล้อย ท่าที่สี่ขยี้ดาวใต้แสงจันทร์ ท่าที่ห้าดาวทะยานฟ้า ท่าที่หก.....” เจ้าโอสถสายรุ้งปากกล่าววาจา ฝ่ามือและเท้าร่ายรำขีดวาดกระบวนท่าให้จ่านจือดู ทุกท่วงท่ารวดเร็วดุดันผันแปรพิสดาร ในความดุดันเกรี้ยวกราดร้อนแรงแฝงความอ่อนหยุ่นเยือกเย็นตามกระบวนท่า จ่านจือชมดูสายตาจับจ้องทุกท่วงท่าเคลื่อนไหวของเจ้าโอสถสายรุ้งโดยมิตกหล่น มองเห็นร่างของอาจารย์พลิ้วไหวไปมาคล้ายดั่งสายลมกลุ่มหนึ่งพัดหอบอยู่ไปมา ทุกครั้งที่เจ้าโอสถสายรุ้งวาดมือวางเท้าก้าวกระโดดเกิดเป็นเสียงหวืดหวือของฝ่ามือและเท้าแหวกพุ่งฝ่าอากาศ สลับสับเปลี่ยนกับเสียงทึบทึบหนัก ๆคละเคล้ากันไปในเวลาเดียวกัน เจ้าโอสถสายรุ้งร่ายรำกระบวนท่าทั้งรวดเร็วทั้งรุนแรงดุดัน ทุกครั้งที่ท่านผลักฝ่ามือหรือต่อยหมัดออกไป เกิดเป็นเสียงครั่นครืนดังสนั่นหวั่นไหว พร้อมกันนั้นรอบกายยังก่อเกิดเป็นพลังไร้สภาพม้วนตัวเป็นเส้นสาย เคลื่อนย้ายตามท่วงท่าการวาดมือวางเท้า ทำเอาเศษกิ่งไม้ใบหญ้าปลิดปลิวกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ จนกระทั่งมาถึงท่าสุดท้ายเรียกว่าย้ายเดือนดับตะวันผันจักรวาล รอบด้านเกิดเป็นขุมพลังกระแทกสะท้อนย้อนไปมา เสียงตูมตามต้นไม้ด้านข้างหักโค่นล้มลงเมื่อสิ้นเสียง พร้อมกับหินผาขนาดใหญ่ที่อยู่ถัดไปแตกละเอียดปลิวว่อนกระเด็นไปทั่วสี่ทิศแปดทาง เมื่อเจ้าโอสถสายรุ้งร่ายรำกระบวนท่าแล้ว สั่งให้จ่านจือร่ายรำให้ท่านดู เขามิรอช้าก้าวออกมาพร้อมกับร่ายรำกระบวนท่าที่เห็นมาอย่างคล่องแคล่ว ทุกกระบวนท่าของอาจารย์จดจำแม่นยำมิผิดพลาด คล้ายกับสวรรค์ส่งเขามาเพื่อเป็นผู้กล้าฝึกวิชาบู๊ก็มิปาน จ่านจือฝึกฝนอยู่หนึ่งชั่วยาม(หนึ่งชั่วยามมีสองชั่วโมงในหนึ่งวันมีสิบสองชั่วยาม) หลังจากนั้นเจ้าโอสถสายรุ้งเรียกเขามานั่งลงตรงแผ่นหินราบเรียบแผ่นหนึ่ง แล้วชี้แนะเคล็ดการเคลื่อนย้ายจุดชีพจรให้จ่านจือท่องจำ พร้อมกับอธิบายเคล็ดวิชาดาวดึงส์อย่างละเอียด จ่านจือเป็นคนหัวไวเฉลียวฉลาดท่องเพียงแค่สองเที่ยว จดจำได้ขึ้นใจพร้อมกับเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของเคล็ดวิชาไม่ยากเย็น เจ้าโอสถสายรุ้งบอกให้จ่านจือทำความเข้าใจกับเคล็ดการเปลี่ยนแปลงให้ดี เมื่อเขาเข้าใจทะลุปรุโปร่งแล้วต่างกลับเข้าที่พัก หลังจากรับประทานอาหารเย็นแล้ว เจ้าโอสถสายรุ้งบอกกล่าวต่อจ่านจือว่า พรุ่งนี้เช้าท่านจะเดินทางออกจากหุบเขาผีเสื้อ ท่านจะต้องไปทำธุระอีกหลายประการ ก่อนที่จะไปงานชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลินอีกหกเดือนข้างหน้า เจ้าโอสถสายรุ้งบอกว่าจะล่วงหน้าไปก่อน อีกทั้งยังต้องเสาะหาสหายหลายคนของท่าน สั่งกำชับให้จ่านจือฝึกปรือวิชาอยู่ในหุบเขา หลังจากวันนี้อีกสี่ห้าเดือนให้เขาเดินทางออกจากหุบเขาผีเสื้อ แล้วนัดพบเจอกันที่โรงเตี้ยมต้าเหอชุนในนครหลวงลั่วหยาง เมื่อสั่งจ่านจือพร้อมนัดหมายวันเวลาและสถานที่เรียบร้อยแล้ว เจ้าโอสถสายรุ้งบอกให้เขาเข้านอนพักผ่อน ท่านเองจะไปเก็บเสื้อผ้าสัมภาระแล้วเข้านอนเช่นกัน จ่านจือตอบรับคำอย่างมั่นเหมาะแล้วแยกย้ายกลับห้องพัก หลังจากทำธุระส่วนตัวแล้วรีบทิ้งตัวลงลงนอน ในใจกลับอดตื่นเต้นมิได้ที่จะกลับไปจงหยวนบ้านเกิดอีกครั้ง จ่านจือตั้งใจไว้ว่าเมื่อเดินทางไปถึงก่อนอื่นจะต้องกลับไปหมู่บ้านเย้ยอรุณ เพื่อกราบเคารพหลุมศพมารดาบุญธรรม ที่ผ่านมาเขามิเคยลืมบุญคุณและความรักของมารดาบุญธรรมที่มีต่อตนเอง หากวิญญาณท่านรับรู้คงปลาบปลื้มยินดีกับเขา ที่วันนี้จ่านจือไม่ลำบากและยังมีความสำเร็จขั้นหนึ่ง ตั้งใจว่าจะไปบอกต่อหน้าหลุมฝังศพว่าเขาจะแก้แค้นคนชั่วสามคนที่ทำร้ายท่าน เพื่อให้วิญญาณของท่านไปสู่ปรภพอย่างสงบ ก่อนจะหลับไหลจ่านจือกลับนึกถึงใบหน้าดุดัน และดวงตาเจ้าเล่ห์คู่หนึ่งขึ้นมาอีกครั้ง การกลับไปจงหยวนครานี้จะเจอคนผู้นั้นอีกหรือไม่? คิดถึงตอนนี้หลับไหลไปอย่างสุขใจ สำนักมารสวรรค์ตั้งอยู่ด้านหนึ่งของเขาหมางซาน เจ้าสำนักเป็นสตรีนามเหยาเยิ๊ยะเหยียนฉายานางมารเยือกเย็น บุรุษหนุ่มสำอางซึ่งเคยปรากฏตัวหลายครั้ง แท้จริงเป็นสตรีหาใช่บุรุษไม่ นางเป็นทายาทของสำนักมารสวรรค์นามเหยาเยี่ยนผิง มีฐานะเป็นนายน้อยแห่งสำนักมารแห่งนี้ เป็นบุตรีของนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนนั่นเอง ส่วนอีกคนที่เคยปลอมเป็นแม่ชีร่วมกับนางมารเยือกเย็น มีนามว่าอั้งเซี้ยะเปาเป็นผู้ซึ่งทำหน้าที่เป็นกุนซือของสำนักมารสวรรค์ เป็นผู้ช่วยอันเข้มแข็งของเจ้าสำนักมารแห่งนี้ นางมารเยือกเย็นรักใคร่อั้งเซี๊ยะเปาดุจน้องสาว ส่วนนายน้อยเหยาเยี่ยนผิงนับถือนางเป็นดั่งน้าสาวเช่นกัน วันนี้นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน อยู่ในชุดยาวสดใสสีแสดแถบม่วง สวมทับด้วยเสื้อคลุมสีแดงเพลิง ร่างสูงระหงองเอวได้สัดส่วนดูมีสง่าราศีแต่สีหน้ากลับเยือกเย็นไร้เรื่องราว อายุประมาณสี่สิบเศษแต่ยังดูเปล่งปลั่งผิวพรรณยังเต่งตึงมิหย่อนยาน แสดงว่านางมารเยือกเย็นคงดูแลตนเองเป็นพิเศษ หรือไม่ฝึกวิชามารจนทำให้ผิวหนังไม่เหี่ยวย่น ส่วนอั้งเซี๊ยะเปาแต่งชุดสีเทาเข้ม อายุราวสี่สิบปีวันนี้ทั้งคู่สลัดคราบนางชีออกจนหมดสิ้น เหลือเวลาอีกเพียงสองเดือนจะถึงวันชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลิน ทั้งสองจึงกลับมายังที่ตั้งของสำนักมารสวรรค์ เพื่อมากำหนดแผนการกันอีกที ก่อนหน้านั้นทั้งคู่ปลอมเป็นแม่ชีออกไปก่อกวนยุทธภพ ทำให้ชาวยุทธ์เข้าใจผิดคิดว่าเป็นคนของอารามอเทวตา จนมีบรรดาชาวยุทธ์มากมายบุกรุกขึ้นไปยังอารามอเทวตา แต่ไม่สามารถบุกขึ้นไปได้ถูกนางชีในอารามสกัดขัดขวาง ด้วยแม่ชีทุกนางต่างมีฝีมืออันร้ายกาจน่ากลัว จนผู้บุกรุกไม่สามารถทำอะไรได้แม้แต่ปลายขน ชาวยุทธ์ทุกคนที่บุกขึ้นไปพบแต่เพียงแม่ชีแปดนางเท่านั้น หาได้พบกับนางชีเทวราชชิ้วโส่วเจ้าสำนักไม่ สาเหตุที่นางชีเทวราชชิ้วโส่วมิได้ออกมา เนื่องจากนางเก็บตัวอยู่ในอารามซึ่งเป็นห้องลับฝึกวิชาเก้าชโลทรขั้นสุดท้าย เหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งเดือนนางจะฝึกสำเร็จแล้ว คิดว่าก่อนถึงวันชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลินนางชีเทวราชชิ้วโส่ว ต้องออกมาตอบโต้ชาวยุทธ์อย่างแน่นอน นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนนั่งอยู่บนเก้าอี้นวมบุด้วยขนเตียวนุ่มนิ่มสีขาว โดยมีเหยาเยี่ยนผิงนั่งอยู่ไม่ห่าง ด้านข้างยืนอยู่ด้วยอั้งเซี๊ยะเปา ด้านหน้าห่างออกไปราวห้าหกวายืนอยู่ด้วยผู้คนสิบกว่าคนล้วนแล้วแต่เป็นมือดีของสำนักมารสวรรค์ สิบห้าปีที่ผ่านมานี้แม้สำนักมารสวรรค์จะไม่เคยปรากฏตัวต่อยุทธภพ แต่นางมารเยือกเย็นได้วางคนไว้ตามสถานที่ต่าง ๆและส่งข่าวคราวกลับมาจากทั่วสารทิศทุกอย่างล้วนเป็นความลับสุดยอด ส่วนนายน้อยเหยาเยี่ยนผิงวันนี้อยู่ในชุดรัดกุมสีขาวสลับดำ รวบผมตึงสวมรัดเกล้าสีเงินไว้กึ่งกลางศีรษะ ถึงแม้จะเป็นสตรีแต่นางชื่นชอบการแต่งกายเช่นบุรุษมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่นางออกท่องเที่ยวยุทธภพมิเคยแต่งกายเช่นสตรีแม้แต่ครั้งเดียว ด้านนิสัยใจคอเหยาเยี่ยนผิงได้ความเยือกเย็นเจ้าเล่ห์มาจากนางมารเหยาเยี่ยะเหยียน แต่อีกด้านหนึ่งนางกลับมีความคิดเป็นของตนเอง และกระทำการใดโดยมิยอมให้ผู้ใดขัดใจ แม้แต่มารดาของนางเอง เหยาเยี่ยนผิงด้านรูปโฉมโนมพรรณของนาง หากนางแต่งกายเป็นสตรีคิดว่าในใต้หล้ายากหาผู้ใดงามเทียบเปรียบได้ ความงามของนางดุจดั่งเทพธิดาเหินลงมาจากสรวงสวรรค์มิปาน รูปร่างของนางอ้อนแอ้นอรชรดูระหง ผิวขาวนวลเนียนผุดผ่องอมชมพูเปล่งปลั่ง ทรวดทรงองค์เอวได้สัดส่วน ส่วนไหนควรเว้าก็เว้าส่วนไหนควรนูนก็นูนไร้ที่ติ วงพักตร์เรียวรีดั่งไข่หงส์ขนงวงคิ้วเรียวโก่งโค้งปานวงจันทร์เดือนเสี้ยว สองเนตรกลมโตดำขลับภายใต้แผงขนหนางอนอย่างตั้งใจ จมูกเรียวโด่งรับกับริมฝีปากบางอวบอิ่มระเรื่อ ยามแย้มยิ้มพรายเผยเห็นฟันซี่ขาวดั่งไข่มุกเรียงร้อยอย่างเป็นระเบียบ แต่ด้านพลังฝีมือนับว่าร้ายกาจนัก บางครั้งนางเกิดมีความเห็นขัดแย้งกับนางมารเยือกเย็น แต่ได้อั้งเซี๊ยะเปาคอยไกล่เกลี่ยให้ระหว่างแม่ลูก เหยาเยี่ยนผิงนางจะขัดคำสั่งของมารดา หากคำสั่งนั้นนางเห็นว่าไม่ถูกต้อง แต่ถึงเช่นไรเหยาเยี่ยนผิงเป็นทายาทของสำนักมารสวรรค์ เรื่องราวที่นางออกไปกระทำล้วนส่งผลดีให้กับสำนักมารแห่งนี้ ครั้งก่อนนางได้รับคำสั่งให้ติดตามสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น แต่เมื่อไปถึงหุบเขาผีเสื้อกลับหาเส้นทางเข้าหุบเขาไม่เจอ จึงได้ล่าถอยกลับมาบัดนี้ล่วงเลยผ่านไปห้าปีกว่าแล้ว ทุกครั้งที่นางออกไปก่อกวนชาวยุทธ์ สร้างเรื่องราวมากมายให้ยุทธภพปั่นป่วนวุ่นวาย ด้านหนึ่งนางกลับเสาะหาคนผู้หนึ่งเป็นเด็กหนุ่มธรรมดาไร้วรยุทธ์ นางเองยังไม่ทราบว่านางต้องการเสาะหาเขาเพื่ออะไร? คิดแต่เพียงอยากทราบว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นอยู่ที่ใด? ทำสิ่งใดอยู่หรือว่าถูกสองเทวทูตซ้ายขวาฆ่าตายไปแล้วอาจจะเป็นไปได้ เมื่อครั้งที่เหยาเยี่ยนผิงพร้อมกับมารดาและอั้งเซี๊ยะเปากลับจากกังหนำ พอกลับมาถึงสำนักมารสวรรค์ นางมารเยือกเย็นได้สอบถามนางว่าที่ให้ออกติดตามร่องรอยของพี่น้องแซ่เฟิ่นได้เบาะแสอะไรบ้าง เหยาเยี่ยนผิงตอบกลับไปว่า ข่าวที่นางทราบมาล้วนไม่อาจรอดพ้นหูตาของนางมารเยือกเย็น นางกล่าวว่าส่วนใหญ่นางจะออกไปหาความสำราญสนุกสนานเสียมากกว่า ครั้งแรกเข้าไปในงานอวยพรของหลิวซุ่นกงกงโดยมิได้รับเทียบเชิญ บังเอิญคืนนั้นเกิดมีคนถูกฆ่าตายภายในหมู่ตึกกระเรียนฟ้าของหลิวซุ่นกงกง คืนนั้นก่อนที่นางจะเร้นกายออกมาจากหมู่ตึกกระเรียนฟ้า นางพบเห็นคนชุดดำผู้หนึ่งปิดหน้าปิดตามิดชิด มิได้พกพาอาวุธเห็นมันผู้นั้นซ่อนตัวอยู่ในซอกหนึ่งซึ่งเป็นมุมมืด ด้วยนางกลัวฐานะที่แท้จริงของตนจะถูกผู้คนพบเห็น จึงมิได้สนใจรีบเร้นกายจากมา ภายหลังถึงทราบข่าวว่ามีคนตายในหมู่ตึกกระเรียนฟ้า คิดว่าคนชุดดำผู้นั้นต้องเป็นคนลงมือแน่นอน เมื่อนางเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับคนชุดดำในหมู่ตึกกระเรียนฟ้าให้นางมารเยือกเย็น และอั้งเซี๊ยะเปาฟัง นางมารเยือกเย็นสันนิษฐานว่าอาจเป็นบุคคลเดียวกับที่นางพบเจอยังเนินเสือดาวก็เป็นได้ กระทั่งบัดนี้นางให้คนออกสืบหาคนผู้นี้แต่ยังไร้วี่แววกลับมา หลังจากออกจากหมู่ตึกกระเรียนฟ้า เหยาเยี่ยนผิงเดินทางไปยังหมู่บ้านเย้ยอรุณตามคำสั่งของนางมารเยือกเย็น นางปลอมเป็นบุรุษชุดดำไปพบกับคนผู้หนึ่งซึ่งเคยมาพบกับมารดาที่สำนักมารสวรรค์อยู่บ่อยครั้ง แต่กระทั่งบัดนี้เหยาเยี่ยนผิงกลับไม่เคยเห็นใบหน้าของคนผู้นั้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว เนื่องจากทุกครั้งที่เจอคนผู้นั้นจะปิดบังใบหน้าอำพรางตลอดเวลานั่นเอง นางเคยสอบถามมารดา แต่คำตอบที่ได้กลับบอกว่าสักวันนางจะทราบเอง รู้แต่เพียงว่าเป็นคนที่ร่วมแผนการยึดครองยุทธภพของนางมารเยือกเย็นเพียงพอ ดังนั้นนางจึงไม่ซักถามอีก คืนที่นางไปพบกับอาวุโสชุดดำผู้นั้นบริเวณหมู่บ้านเย้ยอรุณ พอดีนางพบเจอกับสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นและแอบฟังการสนทนาของทั้งคู่ หลังจากนั้นมีกลุ่มคนมุ่งมาจึงแยกย้ายกับคนชุดดำผู้นั้นกลับมายังสำนักมารสวรรค์เขาหมางซาน คนชุดดำผู้นั้นแม้แต่ชื่อแซ่เหยาเยี่ยนผิงมิทราบ มารดาของนางให้เรียกแต่เพียงว่าท่านอาวุโสนางเรียกเช่นนั้นเรื่อยมา เมื่อสองเดือนก่อนคนผู้นั้นก็เดินทางมายังสำนักมารสวรรค์เพื่อพบกับนางมารเยือกเย็นอีกพร้อมกันสนทนากันอยู่นาน ส่วนเรื่องราวของยาเก้าพิษกร่อนวิญญาณที่นางได้รับคำสั่งจากมารดา ให้ติดตามเฮียม่วยแซ่เฟิ่นไปนั้น นางได้เล่าเรื่องราวให้นางมารเยือกเย็นทราบโดยละเอียดแต่ตั้งใจข้ามเรื่องที่นางได้ช่วยเหลือเด็กหนุ่มผู้หนึ่งเอาไว้ นางเห็นว่าไม่มีอะไรสำคัญต่อนางและมารดา เด็กหนุ่มไร้วรยุทธ์ผู้หนึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อแผนยึดครองยุทธภพ ที่จริงแล้วนางมิได้ตั้งใจช่วยเหลือเขาด้วยซ้ำ แต่เป็นเพราะต้องการก่อกวนสองเทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยและเจียจิ้งนั่นเอง ที่น่าแปลกหลายปีมานี้นางกลับนึกถึงใบหน้าของเด็กหนุ่มผู้นั้นขึ้นมาอยู่บ่อย ๆ อีกราวหกเดือนการชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลินจะมาถึง วันนี้นางมารเยือกเย็นเลยเรียกระดมหัวหน้าสาขาต่าง ๆเข้ามาพบ เพื่อบอกเล่าแผนการสำหรับก่อกวนงานชุมนุมชาวยุทธ์ การคัดเลือกผู้นำชาวยุทธ์ครั้งนี้มิได้มีข้อห้ามว่าไม่ให้สำนักมารเข้าร่วมงานชุมนุม ดังนั้นนางมารเยือกเย็นจึงเตรียมการสำหรับการไปเส้าหลินในครั้งนี้ นางมารเยือกเย็นเองต้องการทราบเบาะแสของผู้ที่ใช้ฝ่ามือลึกลับฆ่าคนเช่นกัน แม้เป็นผลดีต่อนางที่ฝ่ามือลึกลับนั่นลงมือฆ่าบรรดาชาวยุทธ์โดยนางมิต้องลงมือเอง แต่ถึงกระนั้นนางย่อมต้องการรู้ตัวว่าเจ้าของฝ่ามือลึกลับนั่นเป็นใคร? เพื่อที่จะได้ไม่เป็นก้างชิ้นใหญ่ขวางแผนการของตน ที่ผ่านมาชาวยุทธ์ยกย่องให้เจ้าอาวาสแห่งวัดเส้าหลินดำรงตำแหน่งผู้นำชาวยุทธ์ชั่วคราว แต่อีกสองเดือนข้างหน้าจะได้ทราบว่าผู้ใดมีคุณสมบัติเป็นผู้นำชาวยุทธ์คนต่อไป ถึงแม้ชาวยุทธ์และราชสำนักต่างร่วมมือกันสืบหาฝ่ามือลึกลับ กระทั่งบัดนี้ยังมืดดำบอดสนิทมิมีสิ่งใดคืบหน้า ยังดีที่ว่าช่วงนี้คนลึกลับผู้นั้นมิได้ลงมือเข่นฆ่าผู้ใดอีก วันนี้นางมารเยือกเย็นสอบถามสายของนางที่ได้วางไว้ตามที่ต่าง ๆว่าได้เบาะแสของผู้ที่ใช้ฝ่ามือลึกลับนี้บ้างหรือไม่? คำตอบที่ได้ทุกคนต่างตอบตรงกันว่าไม่ได้เบาะแสเกี่ยวกับบุคคลที่ใช้ฝ่ามือลึกลับนี้เลย เมื่อเป็นเช่นนั้นนางจึงให้ทุกคนออกไปจากห้องโถง บอกว่าก่อนพลบค่ำค่อยเรียกพบอีกครั้งหนึ่ง ที่หลงเหลืออยู่สองคนคือเหยาเยี่ยนผิงกับอั้งเซี๊ยะเปา นางมารเยือกเย็นกล่าวกับทั้งสองว่า “มันเป็นใครกันที่ใช้ฝ่ามือนี้? จริง ๆแล้ววิชาฝ่ามือนี้ได้หายสาบสูญไปจากยุทธภพนานหลายปีแล้ว คิดไม่ถึงกลับมีคนใช้วิชาฝ่ามือนี้ฆ่าคนได้อีก ยิ่งขบคิดเรายิงคิดไม่ออก หากยังไม่ทราบว่ามันเป็นใครเราไม่อาจนิ่งนอนใจได้” อั้งเซี๊ยะเปาซึ่งยืนอยู่ด้านข้างได้ยินนางมารเยือกเย็น เอ่ยถึงฝ่ามือลึกลับว่าได้หายสาบสูญไปจากยุทธภพหลายปีแล้ว ดังนั้นพอคาดเดาได้ทันทีว่านางคิดบอกเล่าเรื่องราวที่มาของฝ่ามือนี้ให้เหยาเยี่ยนผิงได้รับทราบนั่นเอง ส่วนนางเคยได้ฟังมาแล้วจากการบอกเล่าของนางมารเยือกเย็น ครั้งที่ทั้งสองปลอมเป็นนางชีที่ริมทะเลสาบต้งถิง “ท่านเจ้าสำนักกล่าวถึงฝ่ามือนี้ นอกจากท่านแล้วยังมีผู้ใดเคยพบเห็นวิชาฝ่ามือนี้อีกหรือไม่? ถึงเวลานี้แล้วอย่าได้ปิดบังอำพราง ตอนนี้นายน้อยอยู่ด้วยที่นี่ท่านก็บอกเล่าความเป็นมาให้นางได้รับทราบด้วยจะเป็นการดี” เหยาเยี่ยนผิงนางเองกำลังจะเอ่ยถามมารดาเช่นกัน พอดีอั้งเซี๊ยะเปาเอ่ยถามขึ้นก่อน นางตั้งใจจะสอบถามมารดาอยู่หลายครั้งเกี่ยวกับเรื่องนี้ พอได้โอกาสในครั้งนี้จึงหันไปทางมารดาพร้อมกล่าวว่า “นั่นสิท่านแม่ ไม่เพียงแต่ท่านน้าที่ต้องการทราบ ข้าพเจ้าเองต้องการทราบเช่นกัน ว่าฝ่ามือลึกลับนั่นมีที่มาเช่นไร? ถึงได้ร้ายกาจนักฆ่าคนตายภายในฝ่ามือเดียว โดยไม่ทิ้งร่องรอยบาดแผล แต่อวัยวะภายในกลับละเอียดไม่มีชิ้นดี” นางมารเยือกเย็นหันไปทางอั้งเซี๊ยะเปากับเหยาเยี่ยนผิง พร้อมกับเอ่ยถามเหยาเยี่ยนผิงว่า “เยี่ยนผิง วิชาฝ่ามือนี้เกี่ยวข้องกับบทกลอนบทหนึ่ง ที่มารดาชอบท่องให้เจ้าฟังอยู่บ่อย ๆเจ้ายังจดจำได้หรือไม่?” พอได้ยินมารดากล่าวถามถึงบทกลอนบทหนึ่ง เหยาเยี่ยนผิงจึงนึกได้ในทันทีเพราะนางมารเยือกเย็นมักจะท่องบทกลอนบทนี้อยู่บ่อย ๆแต่ทุกครั้งที่นางท่องบทกลอนบทนี้จะมีท่าทีโกรธเกรี้ยว คล้ายเกลียดแค้นชิงชังผู้หนึ่งผู้ใดอยู่มิปาน จึงรีบกล่าวขึ้นว่า “จำได้สิท่านแม่ ในเมื่อท่านชอบท่องบทกลอนบทนี้ให้ข้าพเจ้าฟังอยู่บ่อย ๆเยี่ยนผิงจะท่องให้ท่านแม่ฟังว่าถูกต้องหรือไม่?” กล่าวจบคำเหยาเยี่ยนผิงท่องบทกลอนบทหนึ่ง ให้แก่มารดากับอั้งเซี๊ยะเปาฟัง \"หมื่นเทพร่ายรำเป็นท่วงท่า หมื่นวิชาใต้หล้าหาเทียมเท่า หมื่นกระบี่หมื่นกระบวนล้วนดูเบา หมื่นใดไหนเล่าเทียบเท่าหมื่นเทพ” เหยาเยี่ยนผิงท่องบทกลอนออกไป จำได้ว่ายามใดที่มารดาท่องบทกลอนบทนี้ นางจะมีอารมณ์แปรปรวนหวนนึกถึงความหลัง คล้ายกับเจ็บแค้นชิงชังผู้หนึ่งผู้ใดอยู่มิคลาย เหยาเยี่ยนผิงนางเองเคยสอบถามมารดาอยู่หลายครั้ง ถึงบทกลอนบทนี้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับผู้ใด? นางไม่เคยตอบคำถามนี้ได้แต่ทอดถอนใจ แล้วสั่งห้ามว่าอย่าเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก “ใครกันเป็นที่มาของฝ่ามือลึกลับนี้? หากข้าพเจ้าคาดเดามิผิดคงเป็นยอดคนผู้หนึ่งถูกต้องหรือไม่?” เหยาเยี่ยนผิงกล่าวคาดเดา นางมารเยือกเย็นเงียบงันไปชั่วขณะ ก่อนจะตอบคำถามนางว่า “ถูกแล้วเป็นยอดคนผู้หนึ่ง เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งไม่เป็นสองในยุคนั้น แต่เกิดเรื่องราวมากมาย มารดาไม่สะดวกที่จะเอ่ยถึง ยอดคนผู้นั้นได้อำลาโลกนี้ไปเนิ่นนานสิบกว่าปีแล้ว แต่ครั้งมีชีวิตไม่ยอมถ่ายทอดวิชาฝ่ามือนี้ให้กับผู้ใด แม้แต่ศิษย์ของตนเองทั้งห้าคนยังไม่ยกเว้น ปล่อยให้วิชาฝ่ามือนี้สาบสูญไปสิบกว่าปี พอมีคนถูกสังหารภายใต้วิชาฝ่ามือนี้ คิดแล้วมืดแปดด้านว่าผู้ใดกัน? ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาฝ่ามือร้ายกาจนี้” นางมารเยือกเย็นแสดงท่าทีโกรธขึ้งเมื่อเอ่ยถึงยอดคนผู้นั้น นางหยุดวาจาครู่หนึ่งก่อนกล่าวต่อว่า “ยอดคนผู้นั้นเพียงบอกกับศิษย์ทั้งห้าว่า วิชาฝ่ามือท่านี้โหดเหี้ยมอำมหิตชั่วร้าย หากผู้ฝึกปราศจากจิตสำนึก ไร้ซึ่งคุณธรรมฝึกแล้วอาจจะกลายเป็นมารได้ จึงมิยอมถ่ายทอดให้กับศิษย์ผู้ใด เพียงแต่บันทึกไว้บนจีวรผืนหนึ่งซึ่งห่มอยู่บนร่างของหลวงจีนแห่งวัดเส้าหลิน แต่มันได้สูญหายไปเนิ่นนานแล้วพร้อมกับร่างของหลวงจีนท่านนั้น ภายใต้หน้าผาเทพนิรันดร์เขาหมื่นเซียน นึกไม่ถึงบัดนี้กลับมีคนตายภายใต้วิชาฝ่ามือนี้ มารดาเองนึกไม่ออกว่าเป็นฝีมือผู้ใด?” นางกล่าวเพียงเท่านี้มิได้เล่ารายละเอียดเพิ่มเติมอีก ทั้งสองไม่อยากซักถามเพราะเห็นสีหน้าของนางมารเยือกเย็นแสดงอาการเกรี้ยวกราดออกมา ทั้งสองจึงได้เปลี่ยนเรื่องสนทนาเพื่อมิให้นางมารเยือกเย็นโกรธแค้นมากไปกว่านี้ รอให้นางใจเย็นลงแล้วค่อยสอบถามรายละเอียดดูอีกที เมื่อนางมารเยือกเย็นมีท่าทีดีขึ้น นางจึงกล่าวกับเหยาเยี่ยนผิงว่า “นับไปเหลือเวลาอีกเพียงหกเดือนการชุมนุมชาวยุทธ์จะจัดขึ้นที่เส้าหลิน ครั้งนี้มารดาคิดว่าจะต้องมีบรรดาชาวยุทธ์มากมายต่างเดินทางมาร่วมงาน เยี่ยนผิงเจ้าเองเพิ่งออกท่องยุทธภพได้ไม่นาน ทางด้านสติปัญญากับวรยุทธ์มารดาไม่ค่อยห่วงเจ้าเท่าใดนัก กลัวแต่เจ้าจะหลงกลพวกฝ่ายธัมมะที่ร่วมมือกัน ถึงตอนนั้นเจ้าอาจเพลี่ยงพล้ำได้ ในยุทธภพไม่มีผู้ใดรู้จักเจ้า อีกทั้งไม่ทราบว่าเจ้าเป็นทายาทของสำนักมารสวรรค์ มารดาจึงต้องการให้เจ้าออกเดินทางไปก่อนล่วงหน้า แล้วค่อยพบกันในวันชุมนุมเจ้าจะได้หาประสบการณ์ไปด้วย พร้อมกับสืบข่าวไปด้วยว่าแต่ละสำนักมีการเคลื่อนไหวไปถึงไหน?” เหยาเยี่ยนผิงนางเองชื่นชอบการเดินทางท่องเที่ยวโดยลำพังอยู่แล้ว เมื่อได้ยินมารดาบอกให้ตนเดินทางล่วงหน้าไปก่อนย่อมประเสริฐ นางจะได้ท่องเที่ยวให้สนุกสนานสร้างเรื่องราว เพราะตั้งแต่เด็กนางถูกมารดากักตัวอยู่แต่ในสำนัก มารดานางเองเก็บตัวไม่ออกไปสู่ยุทธจักรเช่นกัน จวบจนเหยาเยี่ยนผิงอายุย่างเข้าสิบห้าปี มารดาจึงอนุญาตให้ออกไปท่องเที่ยว บัดนี้นางอายุย่างเข้ายี่สิบปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่นางออกไปจะต้องทำงานด้วยเรื่องหนึ่งให้สำเร็จ เหยาเยี่ยนผิงเป็นคนเฉลียวฉลาดเจ้าเล่ห์ มักทำงานที่ได้รับมอบหมายสำเร็จด้วยระยะเวลาอันสั้น จึงมีเวลาท่องเที่ยวหาประสบการณ์ ถึงแม้นางจะมีนิสัยดุร้ายคล้ายบุรุษ แต่แท้จริงแล้วนางยังมิเคยลงมือฆ่าคนจริง ๆแม้แต่คนเดียว ครั้งก่อนนางเพียงแค่ข่มขู่จ่านจือไปว่า ผู้ใดก็ตามที่รู้จักชื่อนางล้วนต้องตาย ความจริงยังมิมีผู้ใดตายภายใต้น้ำมือนางมาก่อน เหยาเยี่ยนผิงจึงรับปากกับมารดา พร้อมกับกล่าวกับอั้งเซี๊ยะเปาว่า “ข้าพเจ้าเยี่ยนผิงรับปากท่านแม่ ไว้ข้าพเจ้าจะคอยต้อนรับท่านแม่และท่านน้าในวันชุมนุมชาวยุทธ์ ข้าพเจ้าขอล่วงหน้าไปก่อน แต่ครั้งนี้เยี่ยนผิงมีเรื่องหนึ่งที่จะขอต่อท่านแม่ ไม่ทราบว่ามารดาจะยินยอมหรือไม่?” “เจ้าจะร้องขอสิ่งใดต่อมารดา? ที่ผ่านมาเจ้าไม่เคยร้องขอสิ่งใดมาก่อน หากเจ้าต้องการมีรึที่มารดาจะปฏิเสธ? นางมารเยือกเย็นกล่าวตอบ” “ครั้งนี้ข้าพเจ้าจะขอคนจากท่านแม้สักสามคนจะได้หรือไม่? เยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าวตอบมารดา” “ขอคนเพียงแค่สามคน ทุกครั้งเจ้ามักเดินทางลำพัง ไฉนครั้งนี้จึงอยากได้คนร่วมเดินทางขึ้นมาละ? หรือว่าเจ้ามีแผนการใดอยู่ในใจ? เอาเถอะมารดาจะไม่ถามว่าเจ้าจะนำคนไปเพื่อการใด? คนในสำนักมารสวรรค์มีมากมาย เยี่ยนผิงเจ้าต้องการผู้ใดร่วมทางไปกับเจ้า นางมารเยือกเย็นกล่าวถามเยี่ยนผิง” เยี่ยนผิงคล้ายกับมีรายชื่ออยู่ในใจแล้ว ไม่ต้องขบคิดรีบกล่าวตอบมารดาไปว่า “ผู้ที่ข้าพเจ้าต้องการสามคนคือ มารนภากับมารธุลีและหม่าจิ้งเถา ท่านแม่อนุญาตได้หรือไม่?” “สามคนที่เจ้ากล่าวถึงล้วนเป็นมือดี แต่สามคนที่เจ้ากล่าวล้วนเป็นคนที่มารดาไว้วางใจ และเป็นคนที่เจ้าให้ความสนิทสนมมากกว่าทุกคนในสำนัก เอาเถอะในเมื่อเจ้าต้องการสามคนนี้มารดาจะอนุญาต แล้วเจ้าจะออกเดินทางเมื่อใด?” นางมารเยือกเย็นกล่าวว่าสามคนที่เยี่ยนผิงต้องการล้วนเป็นมือดีและไว้วางใจ ดังนั้นนางจึงอนุญาตและกล่าวถามเยี่ยนผิงว่าจะออกเดินทางเมื่อใด? “พรุ่งนี้เช้าตรู่ ข้าพเจ้าจะออกเดินทางเลย ส่วนสามคนนั้นเดี๋ยวเยี่ยนผิงจะเป็นคนไปบอกกล่าวกับพวกเขาเอง เช่นนั้นข้าพเจ้าขอตัวไปตระเตรียมข้าวของและสัมภาระก่อน ท่านแม่กับท่านน้าโปรดถนอมตัวด้วย แล้วค่อยพบกันในงานวันชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลิน” กล่าวจบเดินออกจากห้องโถงไป พอกลับเข้าห้องพักตระเตรียมข้าวของสัมภาระที่จำเป็น รู้สึกดีใจจนบอกไม่ถูกงานชุมนุมชาวยุทธ์หากสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นมาร่วมงาน บางทีอาจได้ข่าวคราวของคนที่นางต้องการเสาะหา แต่ความคิดหนึ่งนางกลับคิดว่าจะเสาะหาเขาไปเพื่อสิ่งใด? เขาจะเป็นตายร้ายดีไม่เห็นจะเกี่ยวข้องกับนาง บุรุษชาวบ้านทึ่ม ๆโง่ ๆวิทยายุทธ์
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่ 6 สำนักมารสวรรค์
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A