ตอนที่ 8
“ขอบคุณนะคะที่เป็นห่วง แต่ยังฉันก็ยังคิดว่าผู้หญิงปลอดภัยแน่นอนค่ะ ฉันกลับก่อนนะคะ”
“เดี๋ยวสิครับ บ้านคุณอยู่ไหนผมจะไปส่ง” กฤษณ์รั้งเธอไว้ด้วยน้ำเสียงห่วงใย
หญิงสาวแสนสวยหันมายิ้มให้เขาเพียงนิดก่อนจะขยับริมฝีปากพูด ทว่ากฤษณ์กลับแทบไม่ได้ยินที่เธอพูดเลย จนเธอต้องเอ่ยซ้ำ เพราะสายตาของเขามันจ้องจับอยู่แต่เพียงที่ริมฝีปากอวบอิ่มที่ขยับขึ้นลงเจรจานั้น
“คุณตำรวจคะ... คุณตำรวจ...”
“ครับ... เอ่อ... ผมขอโทษครับ”
กฤษณ์ประหม่า ยิ่งเห็นสายตาปนล้อเลียนของเธอเขาก็ยิ่งประหม่ามากขึ้นไปอีก นี่เขากำลังตกหลุมรักเธอคนนี้ใช่หรือไม่
“ไม่ต้องไปส่งหรอกค่ะ บ้านฉันอยู่ตรงนี้เอง และอีกอย่างคุณตำรวจไปส่งไม่ได้ด้วยค่ะ”
“ทำไมล่ะครับ”
“ก็ฉันพายเรือมานี่คะ ถ้าคุณตำรวจไปส่งฉัน ฉันก็ต้องพายเรือกลับมาส่งคุณตำรวจอยู่ดี เห็นทีคืนนี้คงไม่ได้นอนกันหรอกค่ะ”
“อ้อครับ” กฤษณ์ยิ้มอย่างเขินๆ เพราะเธอหัวเราะเขาอีกแล้ว กฤษณ์จึงต้องแก้เก้อด้วยการมองลงไปที่ท่าน้ำก็เห็นเรือลำน้อยคล้องเชือกไว้ที่เสาบันไดของศาลาท่าน้ำ
“คุณครับ ผม... ผมขอทราบชื่อคุณได้มั้ย”
“ทำไมคะ เผื่อจะได้เหมาว่าฉันเป็นผู้ต้องหาคนที่หนึ่งหรือคะ”
“เอ่อ...” คำถามของเธอทำให้เขาอึ้งอีกแล้ว จะตอบแบบไหนดีล่ะที่จะทำให้ความสัมพันธ์สานต่อไปได้
“ฉันล้อเล่นค่ะ ฉันชื่อบัว บ้านอยู่คุ้งน้ำข้างหน้านั่น ที่มองเห็นแสงไฟนั่นน่ะค่ะ”
“ครับ... อย่างนั้นพายเรือดีๆ นะครับ ถ้ามีอะไรผิดปกติร้องเรียกผมได้เลย ผมจะรออยู่ตรงนี้จนกว่าคุณบัวจะพายเรือถึงบ้าน”
เธอยิ้มก่อนจะพาเรือนร่างงดงามสมส่วนนั้นเดินตรงไปยังท่าน้ำ กฤษณ์มองตามจนแสงไฟจากตะเกียงหน้าเรือของเธอไปสว่างวาบอยู่ที่อีกฝั่งหนึ่ง ฝั่งที่เธอบอกว่านั่นคือบ้านของเธอ แม้จะมองไม่เห็นตัวบ้านริมน้ำนั้นเพราะทิวไม้บดบัง แต่กฤษณ์ก็หมายมั่นว่าในยามฟ้าสางของวันพรุ่งนี้ เขาต้องหาทางไปเยือนที่บ้านของเธอให้ได้
“บัว...” ร้อยตำรวจเอกพึมพำชื่อของเธอด้วยรอยยิ้มที่หุบไม่ลง หัวใจวูบวาบลิงโลดราวกับความแห้งแล้งได้รับหยาดน้ำชุ่มฉ่ำรดรินลงมา
กฤษณ์คร่อมมอเตอร์ไซค์แต่สายตาก็ยังจับจ้องไปที่แสงไฟเล็กๆ ที่คุ้งน้ำด้านหน้านั้น ก่อนจะตัดสินใจสตาร์ทรถแล้วขับออกไปในทางเดิม แต่หากกฤษณ์จะหันมองรอบกายเพียงนิดเขาก็จะได้รู้ว่า ณ สถานที่แห่งนี้ไม่ได้มีเพียงเขาและสาวงามที่มีชื่อว่า ‘บัว’ อยู่ตามลำพัง เพราะคาคบไม้ให้ร่มเงาในบริเวณวัด หลังคาของศาลาริมน้ำ ตลิ่งริมน้ำ บนขั้นบันไดที่ใช้ผูกเชือกเรือ ตลอดจนในน้ำบริเวณท่า นั้นมากมีไปด้วยเงาตะคุ่มดำๆ ที่จ้องมองตามร่างของผู้กองกฤษณ์ไป และดวงตาแดงวาบนั้นมันคือความแค้นเคืองอย่างที่สุด
ทรวงอกอวบอิ่มที่ลอยเด่นอยู่ตรงหน้าทำให้ฝ่ามือหยาบต้องยื้อขึ้นสัมผัสพร้อมกับบีบเค้นเต้าอวบอิ่มเล่นอย่างมันมือ ยิ่งสาวงามเร่งจังหวะควบขี่มันมากเท่าไร มันก็ยิ่งซ่านเสียวเสียจนต้องเคล้นฝ่ามือเข้ากับหน้าอกขนาดใหญ่ของเธออย่างรุนแรงมากยิ่งขึ้น
และเสียงครวญครางของสาวเจ้าที่เปล่งออกมาก็ทำให้มันมีความสุขยิ่งนัก ใครเล่าจะคาดคิดว่าจะได้ร่วมรักกับหญิงสาวที่สวยงามราวกับนางฟ้า ทั้งทรวดทรงองเอวก็อะร้าอร่ามจนมันไม่เคยคิดว่าจะได้มาสัมผัสกับอะไรอย่างนี้
“อูย... เด็ดสุดๆ โอว... โอว... ซี้ด... น้องจ๋า... อูย... เด็ดที่สุด”
ริมฝีปากอ้าพะงาบๆ ละล่ำละลักเปล่งเสียงร้องออกมา เมื่อสาวงามกำลังคิดว่ามันเป็นพ่อพันธุ์ม้าชั้นดี เพราะเธอทั้งกด ขี่ และข่มเหงมันด้วยความอึดอัดคับแน่นจากโพรงหฤหรรษ์ และเมื่อความอดทนของมันสิ้นสุด น้ำแห่งความอยากที่อุ่นวาบก็พวยพุ่งกระจายเข้าสู่โพรงลึกที่ตอดรัดมันแน่นในทันที
“อูย... อูย... โอย... เสียว... ซี้ด... ซี้ด... อูย... เสียว... น้องจ๋า... น้องจ๋า... พี่เสียว... โอย... พี่เสียว... โอย! โอ้ย! พี่เสียว!”
ความเสียวซ่านที่ได้รับรุนแรงกระหน่ำใส่ไม่ขาดสาย เมื่อโพรงอบอุ่นของสาวงามตอดรัดไอ้จ้อนน้อยของมันแน่นขนัด จนมันอดรนทนไม่ไหวต้องร้องออกมาด้วยความเสียวอย่างที่สุด เพราะโพรงของเธอยังคงตอดรัดมันอย่างบ้าคลั่ง มันแน่น แน่น และแน่นจนมันต้องตาเหลือก เพราะไม่เคยมีครั้งใดที่จะรู้สึกได้ถึงแรงตอดรัดมากมายอย่างนี้
“โอย... โอย... น้องจ๋า พี่ไม่ไหวแล้ว พอก่อน พอก่อน โอย... มันแน่น โอย... โอ้ย! น้อง! พอก่อน ไม่ไหวแล้ว ไม่ไหว! พอ! พอ!”
ทว่าคำร้องขอของมันไม่เป็นผล เมื่อแรงตอดรัดรุนแรงนั้นแนบแน่นจนมันดิ้นไม่หลุด จะถอนตัวออกก็ทำไม่ได้เมื่อเธอคร่อมทาบขึ้นมาทั้งตัว และแรงควบขี่รัวเร็วราวกับจะซูบน้ำเชื้อออกจากร่างของมันให้หมดตัวนั้นก็ทำให้ดวงตาหวาดหวั่นเบิกกว้าง
ริมฝีปากอ้าค้างด้วยความตกใจอย่างที่สุดจนเปล่งเสียงร้องไม่ออก เพราะความซ่านเสียวพุ่งตรงสู่สมอง มากมายเสียจนมันไม่ได้ต้องการขนาดนี้ เพราะมันคือความเสียวไม่หยุดจน ‘ขาดใจตาย’