ตอนที่23 XXI
ว่ากันว่าธาตุในโลกของ KoE นั้นมีธาตุหลักๆอยู่เพียง 9 ธาตุ นั่นคือ ดิน น้ำ ลม ไฟ สายฟ้า พืช แสง มืด น้ำแข็ง และมีเพียงผู้ที่ถูกเลือกเท่านั้นที่จะได้รับการยอมรับในเรื่องของพลัง และจิตใจ จนถูกขนานนามนั้นว่า ราชันย์แห่งธาตุ
มีเรื่องเล่าที่เล่าต่อกันมาว่า เมื่อครั้นกาลสมัยก่อนที่โลกของ KoE จะถือกำเนิดขึ้น เหล่าราชันย์แห่งธาตุ ทั้ง 9 คนที่ถือเป็นสัญลักษญ์ของผู้ที่เป็นใหญ่ที่สุดในโลกเกิดหลงใหลใน ยศศักดิ์ เงินทอง พลังอำนาจ ที่ไม่ว่าใครก็ต่างประเคนให้จนได้ใจ และหลงระเริงในสิ่งของพวกนั้นจนอยากจะครองทุกสิ่งทุกอย่างไว้เป็นของตนเพียงผู้เดียว
‘ข้าต้องครองความเป็นหนึ่งแต่เพียงผู้เดียว!’
จู่ๆคำๆนี้ก็ผุดขึ้นมาในหัวของราชันย์ทั้งเก้าพร้อมๆกัน นั่นจึงเกิดเป็นสาเหตุของการแย่งชิงอำนาจตั้งแต่นั้นมาจนเกิดการต่อสู้ห้ำหั่นกันเองเพื่อครองความเป็นหนึ่ง
กี่ชีวิตก็ไม่อาจนับได้จากสงครามครั้งนี้ หยดเลือดที่ถูกหลั่งออกมารวมน้ำหนักกี่ตันก็ไม่อาจนับได้ หยาดเหงื่อ แรงกาย แรงใจ ที่สูญเสียไปมากเท่าไหร่ก็ไม่มีใครกล้านับมัน ระยะเวลาที่ทำสงครามกันนานเท่าไรก็ไม่อาจมีใครนับได้เช่นกัน
และแล้วสงครามแห่งราชันย์ที่เกิดจากราชันย์ผู้โง่เขลาที่ไม่รู้จักพอ หลงงมงายในอำนาจ จนทำให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องต้องหลั่งเลือดไปด้วยก็ได้เดินทางมาถึงจุดจบ ในระหว่างที่ราชันย์ทั้ง 9 กำลังต่อสู้เพื่อชิงความเป็นหนึ่งอยู่นั้น จู่ๆผืนดินก็เกิดสั่นไหว ภัยธรรมชาติต่างๆนาบังเกิดขึ้นพร้อมกันในสนามรบ สร้างความประหลาดใจให้แก่เหล่านักรบผู้สูงส่งเป็นอย่างมาก
บนท้องฟ้าได้แหวกทางเป็นเส้นตรงพลันปรากฏเป็นชายปริศนาผู้มาใหม่ การปรากฏตัวของเขาทำให้สนามรบเกิดหยุดนิ่งราวกับเวลาได้ถูกหยุดลง เหล่าราชันย์หยุดการต่อสู้แล้วหันมามองด้วยความรู้สึกหลายหลายอยากบอกไม่ถูก ออร่าที่น่ากลัวราวกับจอมมารจากขุมนรก ความอบอุ่นที่รู้สึกราวกับพระเจ้าที่สูงส่งมาโปรด ความรู้สึกที่ขัดแย้งกันเกิดขึ้นทันทีที่ชายคนนั้นปรากฏตัว และมองมาที่พวกเขา
ไม่มีคำพูดใดๆเอ่ยต่อจากนั้น เพียงแค่พริบตาเดียวทั่วทั้งสนามรบกลับว่างเปล่าทิ้งไว้เพียงราชันย์ทั้ง 9 ที่นอนกองอย่างหมดสภาพไปกับพื้น พร้อมกับชายปริศนาผู้มาใหม่ที่เป็นคนล้มราชันย์ทั้งเก้าลงด้วยตัวคนเดียวกำลังลอยอยู่เหนือหัวของราชันย์ทั้งเก้าด้วยสายตาอันน่าสมเพชเพียงเท่านั้น
.
.
.
.
หลังจากที่ผม และกลุ่มเพื่อนร่วมปาร์ตี้ทำการสำรวจเหมืองแร่จนเสร็จสิ้นแล้ว พวกเราได้สมบัติมากมายมา ทั้งไอเทม เงินทอง แร่อัพเกรดชนิดต่างๆอีกมาก ด้วยของพวกนี้ส่งผลให้แม้แต่คนธรรมดาเดินดินก็สามารถรวยได้เพียงชั่วข้ามคืนเมื่อได้สิ่งเหล่านี้มาอยู่ในครอบครอง
พวกเราทำการแบ่งของทุกๆอย่างให้เท่ากัน ตัวผมเองได้สิทธิเลือกสิ่งของที่มีค่าก่อนตามคำเรียกร้องของทุกคน ผมเลือกไอเทมเท่าที่จำเป็นต้องใช้มาเล็กน้อย ส่วนมากจะหนักไปทางหินแร่อัพเกรดไอเทมซะมากกว่า ที่เหลือก็ให้พวกเขาจัดการแบ่งของกันเอง
และการสำรวจครั้งนี้ทำให้ซิค และจอย สามารถแลกเงินออกไปใช้ปลดหนี้ได้จนหมด พวกเขาขอบคุณผมด้วยใจจริง และไม่มีทางลืมบุญคุญครั้งนี้อย่างแน่นอน คืนนั้นพวกเราเลี้ยงฉลองอย่างสนุกสนานกันทั้งคืนพอรุ่งเช้าผมจึงขอตัวแยกออกไปตามทางของตัวเอง
ตอนแรกพวกเข้าคัดค้านอยากจะไปด้วย แต่ตัวผมได้ปฏิเสธไปด้วยเหตุผลส่วนตัว อีกอย่างหนึ่งผมไม่อยากให้พวกเขาต้องมาลำบากกับเส้นทางที่ผมกำลังเลือกเดินอยู่นี้ แต่หากครั้งหน้าถ้าพวกเขาแข็งแกร่งขึ้นมากพอแล้วล่ะก็ พวกเราอาจจะมีโอกาสได้ร่วมเดินทางด้วยกันอีกก็เป็นได้ เพราะผมเองก็รู้สึกถูกชะตากับพวกเขาแปลกๆอย่างบอกไม่ถูกเหมือนกัน
ก่อนจากกันพวกเราก็ไม่ลืมที่จะแลกรายชื่อเพื่อนกันไว้ก่อน ผมไม่ได้บอกพวกเขาเกี่ยวกับ ’ชิ้นส่วนแห่งราชันย์’ ที่พึ่งได้มานี้ เพราะคิดว่ามันคงไม่ใช่ไอเทมธรรมดาที่จะบอกให้ใครๆรู้ได้ และคงจะเป็นไอเทมที่นำพาหายนะมาให้ตัวเองในไม่ช้านี้อย่างแน่นอน
‘ไปไหนต่อดีนะ.....เอาของไปฝากเจ้าพวกนั้นหน่อยดีกว่า’ ผมนึกถึงเจ้าเพื่อนรักทั้งสองคนขึ้นมา ของที่ผมได้จากเหมืองแร่นั้นมีมากโขอยู่ จะเก็บไว้ใช้ผมก็ไม่ได้ใช้อะไรอยู่แล้ว จะเก็บไว้ขายผมก็ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินเท่าไหร่นัก เพราะฉนั้นการไปหาเพื่อนรักทั้งสองนั้นตอบโจทย์ผมที่สุดแล้วในตอนนี้
ตอนนี้เพื่อนทั้งสองของผมอยู่ที่เมืองเคออสในอาณาจักรอัสนี ซึ่งอยู่ค่อนข้างไกลพอสมควรจากเมืองที่ผมอยู่นี้ ผมรีบใช้ sonic เคลื่อนที่ออกจากเมืองอย่างรวดเร็ว และรีบหาที่ลับตาคนเพื่อเรียกนิกซ์ ออกมาจากนั้นจึงเริ่มออกเดินทางไปยังอาณาจักรอัสนีทันที
.
.
.
.
.
ณ ห้องประชุมสำนักงานกิลด์แห่งหนึ่งในเมือง เคออส
“สถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” ชายหนุ่มหัวโต๊ะกล่าวถามชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่ภายในโต๊ะประชุมทรงวงรีลายหินอ่อนขนาดใหญ่
“ไม่ค่อยดีครับบอส คนของเราที่ออกไปเก็บระดับทางป่าตอนใต้ของเมือง ถูกพวกกิลด์ อัสนีบาต คอยข่มเหง และพวกมันยังผูกขาดพื้นที่ตรงนั้นไว้อีกเช่นเคยครับ!” หนุ่มเสนาธิการคนนั้นตอบคำถามกลับมา
“นั้นสินะ พวกเราเป็นเพียงกิลด์เล็กๆที่พึ่งตั้งได้ไม่นานนี่ จะเอาไรไปสู้พวกกิลด์ใหญ่ๆในเมืองได้ยังไงล่ะ เห้อ....” ชายหนุ่มหัวโต๊ะกล่าวด้วยท่าทีปลงตกพร้อมมกับถามความคิดเห็นของเพื่อนอีกคน “นายคิดว่ายังไง? สิงค์”
“ก็คงต้องยอมไปก่อนอย่างที่นายว่านั่นแหละธีระ รอให้พวกเราแข็งแกร่งกว่านี้ก่อนเถอะค่อยไปเอาคืนพวกมัน!” สิงค์ตอบด้วยสีหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึก
“ฉันก็ว่าอย่างนั้นแหละ” ธีระ ละสายตาจากสิงค์ไป แล้วหันไปพูดกับทุกคนในโต๊ะต่อ “บอกพวกเราให้เปลี่ยนที่เก็บระดับกันไปก่อน ไปกันเป็นกลุ่มๆ ให้พวกที่ระดับสูงๆคอยคุ้มกันไว้ด้วย เข้าใจนะทุกคน!”
หลังจากนั้นพวกเขาก็คุยเรื่องต่างๆภายในกิลด์อีกเล็กน้อย กิลด์อินทรีย์ถลาลม เป็นของพวกเขา ซึ่งมีธีระเป็นหัวหน้า พวกเขาเป็นกิลด์เล็กๆที่มีสมาชิกไม่ถึง 100 คนด้วยซ้ำ เป็นเพราะพึ่งตั้งได้ไม่นาน แต่พอตั้งแล้วกลับโดนกิลด์ใหญ่ข่มเหงลังแกไม่หยุดหย่น และเก็บค่าคุ้มครองอยู่เสมอ ซึ่งพวกเขาก็อดทนและสู้กับชะตาชีวิตแบบนี้เรื่อยมา เพื่อรอซักวัน วันที่พวกเขาแข็งแกร่งพอที่จะต่อต้านได้พวกเขาจะลุกขึ้นสู้เพื่อศักดิ์ศรีของตัวเอง
ตู้มมม! จู่ๆก็เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นสนั่นไปทั่วทั้งกิลด์ในขณะที่พวกเขากำลังประชุมอยู่นี้ พวกเขาถึงกับแตกตื่นกันยกใหญ่
“เกิดอะไรขึ้น!” ธีระพูดขึ้นด้วยความตกใจพลันหันหน้าไปทางทิศทางของเสียงระเบิด ซึ่งก็คือข้างหน้ากิลด์ของเขาเอง แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะลุกขึ้นไปดู ประตูห้องประชุมกลับถูกเปิดออกด้วยหน้าของผู้มาใหม่พร้อมรายงานสถานการณ์
“หัวหน้าครับ เรามีผู้บุกรุกครับ!”
“อะไรนะ! ใครกันที่กล้าบุกมาถึงถิ่นพวกเราแบบนี้ หรือจะเป็นพวกกิลด์อัสนีบาตกัน! พวกมันมีกันกี่คน!?” ธีระถามกลับไป
“ไม่น่าจะใช่ครับ เพราะที่ตัวไม่มีสัญลักษณ์กิลด์เลย เอ่อ คือ....มีแค่คนเดียวครับ!”
“อะไรนะ คนเดียว!”
.
.
ผมใช้เวลาเดินทางเกือบครึ่งวันกว่าจะมาถึงเมืองเคออส ในตอนนี้ผมอยู่ท้ายเมืองเพื่อทำการเก็บสัตว์เลี้ยงของตนเองก่อนที่จะเดินเข้าเมืองด้วยท่าทีปกติ เมืองเคออสนั้นเป็นเมืองค่อนข้างใหญ่โตเลยทีเดียวตึกรามบ้านช่องเป็นเช่นเดียวกับยุคสมัยใหม่ มีการตกแต่งให้ดูมีความแฟนตาซีมากขึ้น มีผู้คนมากหน้าหลายตาแต่งกายด้วยชุดสุดแฟนตาซีที่แสดงถึงความแข็งแกร่งสุดๆเดินอยู่กันเต็มเมือง ผมเดินตามทางไปเรื่อยๆเพื่อหากิลด์ของเพื่อนผม และไม่นานก็หาจนเจอ
ข้างหน้าผมในตอนนี้เป็นตึกโทรมๆตึกหนึ่งมี 3 ชั้น สภาพของตึกยังกับผ่านศึกสงครามมานับไม่ถ้วน ซึ่งดูไม่เหมือนอาคารกิลด์เลยซักนิดเดียว ผมตัดสินใจเดินตรงไปยังประตูทางเข้าขนาดใหญ่ของอาคารทันทีในหัวพลางคิดเรื่องที่ไม่เข้าท่าอยู่ ‘มาเยี่ยมทั้งทีของเปิดตัวเด่นๆหน่อยก็แล้วกัน’
Stone Cannon
ตู้มมมม......!!!
เสียงระเบิดดังกังวานไปทั่วพื้นที่ ประตูขนาดใหญ่พังลงทันที สมาชิกกิลด์ที่อยู่ด้านในตัวอาคารต่างตื่นตกใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่เป็นอย่างมาก ด้วยไหวพริบ และสัญชาตญาณของผู้เล่นที่มีประสบการณ์ ทำให้ทุกคนต่างพากันหยิบอาวุธคู่ใจของตัวเองขึ้นมาเตรียมพร้อมรบเต็มอัตรา
“เห้ย เกิดบ้าอะไรขึ้นวะเนี่ย!”
“ใครมันกล้ามาทำแบบนี้กับกิลด์ของเราวะ!”
“ไปลากคอมันมาเร็ว!”
\"พวกศัตรูงั้นเรอะ!\"
“เห้ย ใครเป็นคนทำวะ โผล่หัวออกมานะ!” ชายหน้าโหดตัวสูงใหญ่ตะโกนดังลั่น พร้อมกวาดสายตาไปรอบๆโดยทันที
“ฉันเอง โทษทีนะ ก็มือพี่มันลั่นไปเองน่ะ...” ผมตอบหน้าตายพร้อมครี่ยิ้มบางๆภายใต้ผ้าคลุมสีดำที่ปิดปากเอาไว้
ไม่มีคำพูดใดๆต่อจากนั้นอีก ชายหนุ่มหน้าโหดเลือดร้อนแบกขวานสองคมขนาดใหญ่วิ่งพุ่งมาหาผมด้วยความเร็วสูงทันที ผมไม่ได้ถอยหนีแต่อย่างใด เพียงยกคันธนูขึ้นมากันขวานยักษ์ที่กำลังจะผ่าเข้ากลางลำตัวของผมเพียงเท่านั้น
เกร๊ง....
เกิดคลื่นกระจายออกไปโดยรอบเมื่ออาวุธทั้งสองปะทะกัน ตัวผมยังยืนอยู่ที่เดิมด้วยท่าทีสบายๆ ส่วนเจ้าหน้าโหดเลือดร้อนได้แต่ทำหน้าตะลึงรวมถึงคนที่ยืนมุงกันอยู่ในขณะนี้ เพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่อาชีพสายโจมตีระยะไกลอยู่แนวหลังอย่าง Archer จะรับขวานที่ผ่าลงตรงๆจากผู้เล่นอาชีพ Warrior ได้เลย เว้นแต่คนผู้นั้นจะเป็นผู้เล่นระดับไฮคลาส
แต่ถึงกระนั้นชายหน้าโหดคนนี้ก็ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขาพลันยกขวานขึ้นมาอีกครั้งหมายจะฟันมาที่ผมด้วยความรุนแรงที่มากกว่าเดิม
ทะลายภูผา!!
ตู้มม......ขวานยักษ์ฟันแหวกอากาศพุ่งจากบนลงล่างด้วยความรุนแรง พื้นดินโดยรอบโดยมีจุกศุนย์กลางคือหวานยักษ์ที่ฟันลงไปล้วนแตกร้าวเป็นบริเวณกว้าง แต่บุคคลที่หมายจะฟันให้แหลกกลับไม่อยู่ในตำแหน่งเดิมอีกแล้ว
“หะ อะไรกัน มันหายไปไหน!” ชายหน้าโหดเลือดร้อนสบถออกมาอย่างร้อนรน สายตากวาดมองไปรอบๆเพื่อควานหาตัวเป้าหมาย
ผมที่ใช้ Sonic เพื่อพุ่งถอยออกไปจากรัศมีของขวานยักษ์ได้กระโดดลอยขึ้นไปด้านบนของชายคนนั้น จากนั้นก็ใช้สกิลยิงใส่ทันที
Lighting Arrow
ศรสายฟ้าพุ่งเข้าใส่ร่างของชายหน้าโหดทันทีโดยไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะโต้ตอบเลยแม้แต่น้อย
เปรี้ยง!...อ๊ากกกก.......เขาร้องอย่างเจ็บปวด ศรสายฟ้าพุ่งเข้าช็อต และยังติดสถานะสตั้นแถมมาอีกด้วย พวกไทยมุงที่อยู่รอบๆพากันตกตลึงอีกครั้งหนึ่ง จัดการ Warrior ด้วยการโจมตีเดียวเนี่ยนะ! ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่ตายก็ตามที แต่ทั่วทั้งลานอาคารกิลด์มีแต่เสียงซุบซิบนินทากันตรึมแล้วตอนนี้
“ผมต้องการพบกับหัวหน้าของกิลด์นี้ มีใครใจดีพาผมไปเจอเขาได้บ้าง!?” ผมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดูเย็นชาพร้อมกวาดสายตาไปรอบๆอย่างช้าๆ
“แกต้องการอะไรถึงมาโจมตีกิลด์ของเราแบบนี้ แถมยังจะมาขอพบหัวกิลด์เราอีก ใครจะบ้ายอมกันหะ!”
“เข้ามาบุกกิลด์ของเราแบบนี้ แถมยังทำร้ายคนของกิลด์พวกเราอีก คิดว่าพวกเราจะปล่อยแกให้พบหัวกิลด์ง่ายงั้นหรอ!”
“ใช่ๆ รุมมันเลยพวกเรา ตายซะแก!”
“ผมจะถามอีกรอบ....หัวกิลด์พวกคุณ อยู่ ที่ ไหน!!” ผมพูดเน้นคำท้ายอย่างเย็นชาพร้อมปล่อยจิตสังหารออกมาเรื่อยๆ และค่อยๆเพิ่มระดับความรุนแรงของจิตสังหารขึ้นเรื่อยๆจนทุกคนในพื้นที่รู้สึกได้ และเมื่อความแรงของจิตสังหารเพิ่มมาถึงจุดที่ทุกคนเริ่มกะอักกะอวน และบางคนที่ระดับน้อยมากๆต่างพากันคุกเข่าล้มลงเพราะทนกับจิตสังหารระดับนี้ไม่ไหว
พรึบ....ทันใดนั้นเอง ได้มีร่างของคน 5 คนปรากฏขึ้นข้างหน้าของผม ซึ่งสองใน 5 คนนั้น ก็ไม่ใช่ใครอื่น นั่นก็คือ ธีระ และ สิงค์ เพื่อนของผมเอง พวกเขาปั้นหน้าเครียดจ้องเขม็งมาที่ผมด้วยสีหน้าไม่พอใจอย่างขีดสุด
“นายเป็นใครกัน! มาบุกกิลด์ของพวกเราทำไมหะ!!”