ตอนที่3 บทที่ 3 คำพูดคืออาวุธ
1/
ตอนที่3 บทที่ 3 คำพูดคืออาวุธ
ฮองเฮามากรัก
(
)
已经是第一章了
ตอนที่3 บทที่ 3 คำพูดคืออาวุธ
บทที่ 3 คำพูดคืออาวุธ ‘...เป็นเจ้าที่อยู่ข้างกายข้า’ เสียงทุ้มยังคงก้องอยู่ในหูแม้เวลาจะผ่านไปหลายวันแล้วก็ตาม เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นนอนดิ้นอยู่บนที่นอนยามฟ้าสาง ด้วยอารมณ์หงุดหงิดที่ไม่อาจสลัดน้ำเสียงและแววตาอันแสนล้ำลึกของลี่กุนจวิ้นเฉินออกไปจากใจได้ นางได้แต่นึกโกรธชงซานที่อยู่เบื้องหลังท่าทีชอบกลของหวงตี้หนุ่ม อีกใจก็โกรธคนผู้นั้นที่ฟังคำของจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ แต่ไม่ว่าอย่างไร นางจะไม่ยอมให้ลี่กุนจวิ้นเฉินมาทำลายความสนุกของนางอย่างเด็ดขาด! แทนที่จะสนใจเจ้าบุรุษความคิดประหลาด นางควรไปสนใจกับสตรีรูปงามข้างกายยังจะดีกว่า “หยาเอ๋อร์” เสียงหวานร้องเรียกนางกำนัลคนสนิท หยาเอ๋อร์รีบเข้ามาในห้องทันทีที่ได้ยินเสียงเรียก ราวกับว่ารออยู่นอกห้องมานานแล้ว “เพคะ หวงโฮ่ว” “เมื่อไรซิ่นเสียนเฟยกับเหวินซิวหรงจะทะเลาะกัน” “อะ... อะไรนะเพคะ” หยาเอ๋อร์ทวนถามด้วยความไม่แน่ใจในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน “เฮ้อ... เมื่อไรเจ้าจะเข้าใจเปิ่นกงนะ” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นถอนหายใจ อยู่ด้วยกันมาก็เนิ่นนาน แต่หยาเอ๋อร์ยังมองเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเป็นหวงโฮ่วผู้ดีเลิศไม่เปลี่ยนแปลง ถูกมองเช่นนั้นบ่อย ๆ เข้า นางจึงรู้สึกอึดอัดอย่างอดไม่ได้ “หม่อมฉันขออภัยเพคะ หวงโฮ่ว” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นไม่ตอบอะไรขณะที่จมอยู่ในความคิด ลี่กุนจวิ้นเฉินมีคนข้างกายที่ปรึกษาได้ทุกเรื่องอย่างชงซาน แต่มองกลับมายังตัวนางเองกลับไม่มีใครนอกจากเขา บางทีหยาเอ๋อร์ที่คอยติดตามนางมานานถึงสิบปีสมควรจะได้รู้ความลับนี้ และคอยทำหน้าที่ในฐานะมือขวาให้นางอย่างเต็มตัว “เจ้าคิดว่าเปิ่นกงดูเป็นคนอย่างไร” เสวี่ยหวงโฮ่วเอ่ยถามนางกำนัลคนสนิท หยาตาอิ้งเงยหน้าขึ้นมองคนเป็นนายช้า ๆ ด้วยแววตางุนงง แต่ก็ตอบด้วยเสียงฉะฉาน “หวงโฮ่วเป็นผู้ที่เปี่ยมด้วยเมตตามากเลยเพคะ” “เมตตาหรือ...” เสวี่ยหวงโฮ่วพึมพำ สายตาและฝ่ามือลูบไล้อยู่ที่ผ้าม่านมุกข้างเตียง “พวกเจ้าคงคิดว่าเปิ่นกงนั้นน่าสงสาร” “หม่อมฉันมิบังอาจ” หยาตาอิ้งลนลานตอบ “หยาเอ๋อร์ เปิ่นกงไม่ว่าเจ้าเพียงแค่เพราะเจ้ามีความคิด แต่เปิ่นกงจะว่าเจ้าที่เจ้าตาทึบมองไม่เห็นความจริงเสียที” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นลุกขึ้นยืน จากนั้นเดินตรงไปที่ลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือ หยิบเอาสมุดภาพเหล่าโฉมงามในวังหลังออกมา แล้วเปิดไปที่หน้าหนึ่งก่อนจะยื่นมันให้หยาตาอิ้ง “นี่มัน...” หยาตาอิ้งจนคำพูด นางมองภาพในสมุดด้วยใบหน้าซีดขาว บุคคลในรูปนั้นไม่ใช่ใครแต่คือนางเอง “เจ้าเป็นสตรีรูปงามคนหนึ่ง” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเดินวนรอบตัวหยาตาอิ้ง “เปิ่นกงเคยคิดที่จะให้เจ้ารับใช้ฝ่าบาท เพียงแต่... จิตใจเจ้าดีเกินไป” “หม่อมฉันไม่เข้าใจ...” หยาตาอิ้งเผลอทำสมุดภาพตกจนมันเปิดพลิกไปหน้าอื่นที่มีรูปสนมภายในวังหลังวาดเอาไว้ “สตรีที่มีจิตใจดีงามไม่เหมาะกับวังหลัง” “ไม่มีผู้ใดดีงามเทียบเท่าหวงโฮ่วได้อีกแล้วนะเพคะ” “เปิ่นกงน่ะหรือ” เสวี่ยหวงโฮ่วหัวเราะออกมา “โถ่ หยาเอ๋อร์... เปิ่นกงน่ะปีศาจร้ายแห่งวังหลังเลยล่ะ” งานแรกของหยาตาอิ้งในการเป็นมือขวาของเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นคือการสร้างข่าวลือ แม้นางกำนัลตัวน้อยยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดหวงโฮ่วผู้แสนดีจึงเรียกตัวเองว่าปีศาจร้าย แต่สิ่งหนึ่งที่นางเข้าใจคือ เสวี่ยหวงโฮ่วต้องการให้ซิ่นเสียนเฟยกับเหวินซิวหรงทะเลาะกัน และตัวนางเองคือกุญแจสำคัญที่จะทำให้สองคนนั้นแตกคอ “ข้าได้ข่าวลือมาว่าซิวหรงจะเข้าเฝ้าฝ่าบาทเป็นการส่วนตัวคืนนี้” หยาตาอิ้งพูดคุยกับสหายนางกำนัลที่โรงครัว “จริงหรือ ฝ่าบาทไม่เคยให้นางสนมคนไหนเข้าเฝ้าที่ตำหนักเป็นการส่วนตัวมาก่อนเลยนะ” “จริงสิ ข้าได้ยินหวงโฮ่วคุยกับฝ่าบาทมา” “แต่ข้าได้ยินว่าเสียนเฟยกำลังเป็นที่โปรดปรานมิใช่หรือ” นางกำนัลอีกคนตะโกนถามเสียงดัง เรียกสายตาจากเหล่านางกำนัลทั้งหลายให้หันมาสนใจ “เจ้าไม่ได้ข่าวหรือ หวงโฮ่วมอบผ้ามุกจากแคว้นเหยาเว่ยให้ซิวหรงด้วยตัวเองเลยนะ แต่กับเสียนเฟยทรงมอบให้นางกำนัลข้างกายเป็นผู้ดูแลแทน เท่านี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าใครกันแน่เป็นคนโปรด” “อะไรนะ!” เหล่านางกำนัลในโรงครัวต่างร้องเสียงตกใจ ไม่นานนักการนินทาใส่สีตีไข่ระหว่างเสียนเฟยและซิวหรงก็ดำเนินต่อไป มันลุกลามเร็วไวยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง ดังไปไกลจนถึงหูของเจ้าของเรื่องทั้งสอง “หยาเอ๋อร์ ตามซิวหรงมาพบเปิ่นกงหน่อย อ้อ... อย่าให้ผู้ใดรู้เรื่องล่ะ” “เพคะ หวงโฮ่ว” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นถึงกับหน้าชื่นตาบานจากการได้ยินข่าวลือซึ่งดังกระฉ่อนไปทั่ววังหลัง นางได้กลิ่นสงครามราง ๆ ภายใต้คำพูดนินทาในยามนี้ ซิ่นเสียนเฟยบุตรสาวของหัวหน้าอัครราชทูตจากแคว้นเพ่ย มีนิสัยเฉกเช่นคุณหนูใหญ่ผู้ถูกตามใจ ไม่รู้จักคำว่ายอมคนโดยเฉพาะกับผู้ที่มีศักดิ์ต่ำกว่า และคนที่นางเกลียดคือทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเหวินซิวหรง สตรีบ้าน ๆ ติดดิน ไม่แก่งแย่งชิงดีกับใคร ทว่าคนบ้าน ๆ เช่นนั้น เหตุใดเสวี่ยหวงโฮ่วถึงเสนอให้เข้าวัง? คำตอบก็คือเพื่อไว้ใช้ขัดขาเหล่านางสนมยศสูงนี่แหละ หากวันใดมีใครคิดโค่นนางลงจากบัลลังก์ คนคนนั้นก็ต้องผ่านบททดสอบให้ได้เสียก่อน จะเป็นหวงโฮ่วได้ไม่ใช่มีดีแค่หน้าตาหรือความสามารถ แต่ต้องเลือดเย็นเป็นสำคัญ จะมาอ่อนแอหลุดการควบคุมอารมณ์แค่เพราะข่าวลือไม่ได้ ใช่ว่าเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นไม่โปรดปรานซิ่นเสียนเฟย หากนางไม่ชอบก็คงไม่เสนอให้รับตำแหน่งเสียนเฟยทั้งที่เข้าวังมาเพียงปีเดียว แต่ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อทดสอบสตรีด้วยกันเองทั้งนั้น ผ่านไปไม่นานนัก ซิวหรงพร้อมด้วยนางกำนัลคนสนิทก็มาถึงตำหนักฮุ่ยหมิ่นโดยที่ไม่มีใครล่วงรู้ตามความต้องการของหวงโฮ่ว เสวี่ยหวงโฮ่วต้อนรับอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มเปี่ยมไปด้วยเมตตา พร้อมทั้งสั่งให้นางกำนัลนำน้ำชาล้ำค่าจากต่างแดนมาต้อนรับโดยไม่คิดเสียดาย การกระทำอันแสนใจดีของนาง มีแต่จะทำให้เหวินซิวหรงรู้สึกระแวงเพิ่มมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว “ถวายบังคมเพคะ หวงโฮ่ว” เหวินซิวหรงย่อคำนับเสวี่ยหวงโฮ่วด้วยท่าทีนอบน้อม แม้จะถูกอีกฝ่ายมอบของร้อนให้กับมือ แต่เหวินซิวหรงก็มิอาจกล่าวโทษเสวี่ยหวงโฮ่วได้เต็มปาก ในเมื่อทุกคนต่างรู้ดีว่าหวงโฮ่วผู้นี้มีจิตใจดีงามมากเพียงใด ไม่เคยสักครั้งที่จะแสดงท่าทีอิจฉาริษยาใส่นางสนมของสามีตนเอง มีแต่ใจกว้างมอบของล้ำค่าให้อย่างไม่นึกเสียดาย อีกทั้งยังดูแลดีจนเหมือนเป็นพี่สาวแท้ ๆ เสียด้วยซ้ำ “โถ่ ซิวหรง” เสวี่ยหวงโฮ่วเมื่อพบหน้าเหวินซิวหรง นางก็พุ่งเข้าไปกอดอีกฝ่ายแน่น “เอ่อ... หวงโฮ่วเพคะ” เหวินซิวหรงทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าตนเองควรจะกอดกลับหรือขยับหนีดี สุดท้ายนางจึงทำได้แค่ยืนตัวแข็งทื่อจนกระทั่งเสวี่ยหวงโฮ่วเป็นฝ่ายถอยออกไปเอง ครั้นเงยหน้าขึ้นก็พบว่าเสวี่ยหวงโฮ่วมองมาที่ตนเองด้วยดวงตาเอ่อคลอหยาดน้ำใส “เปิ่นกงรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว” เสวี่ยหวงโฮ่วเอ่ยขึ้นโดยที่มือทั้งสองข้างยังกุมมือของเหวินซิวหรงเอาไว้ “เรื่องอะไรเพคะ” เหวินซิวหรงมีสีหน้าสับสน ต้องบอกว่ายามนี้มีแต่สิ่งที่นางไม่เข้าใจ “เรื่องของเจ้ากับซิ่นเสียนเฟยอย่างไรเล่า” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นถอนหายใจพลางพาเหวินซิวหรงไปนั่งที่โต๊ะริมหน้าต่าง จากนั้นสั่งให้นางกำนัลไปนำชาผู่เอ๋อร์มารับรอง ชาผู่เอ๋อเป็นชาหายากและราคาแพง ตัวน้ำชาเป็นสีดำ ดื่มครั้งแรกจะรู้สึกถึงกลิ่นแรงและรสชาติเข้มข้น แต่เมื่อดื่มครั้งต่อ ๆ ไป จะมีรสชาติที่ชวนให้ติดใจจนลืมไม่ลง แน่นอนว่าในวังมีชาชนิดนี้อยู่ไม่น้อย แต่ไม่มีใครนำมาดื่มหรือแจกจ่ายโดยไม่สนใจมูลค่าอย่างเช่นเสวี่ยหวงโฮ่วแม้แต่คนเดียว “หวงโฮ่วคิดว่าหม่อมฉันควรทำอย่างไรดีเพคะ” หลังดื่มชาและได้รับความห่วงใยจากเสวี่ยหวงโฮ่ว เหวินซิวหรงจึงรู้สึกผ่อนคลาย และเริ่มเปิดใจปรึกษาปัญหากับสตรีสูงศักดิ์ตรงหน้า เพราะถึงแม้จะมีสามีเป็นบุรุษคนเดียวกัน แต่ในสายตาเหวินซิวหรง เสวี่ยหวงโฮ่วมิใช่หนามยอกอก แต่เป็นเหมือนพี่สาวที่คอยช่วยเหลือทุกปัญหาเสียมากกว่า “เปิ่นกงรู้ว่าข่าวลือทำให้เจ้าลำบากใจ แต่เดิมเจ้าไม่ใช่คนที่ชอบเป็นจุดสนใจแล้วแก่งแย่งชิงดีกับผู้ใด” เสวี่ยหวงโฮ่วพูดเปรยก่อนจะยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ “แต่เจ้าลืมไปหรือเปล่า สตรีทุกคนไม่ใช่มีความรู้สึกนึกคิดเช่นเจ้าหรือเปิ่นกง พวกนางย่อมมีความต้องการที่จะเอาชนะ นำไปสู่ความเกลียดชัง ซึ่งบางครั้ง คนเราก็มักจะเกลียดกันโดยที่ไม่มีเหตุผล” “หม่อมฉันก็อยู่แต่ในที่ของหม่อมฉัน ไม่เคยไปก้าวก่ายหรือล่วงเกินผู้ใด แม้แต่ความโปรดปรานจากฝ่าบาท หม่อมฉันก็ไม่เคยคิดหวัง ซิ่นเสียนเฟยดีกว่าหม่อมฉันตั้งเพียงใด ผู้อื่นต่างรู้ดี ทำไมถึงได้เอาหม่อมฉันไปเทียบกับนาง” “บางทีนี่อาจถึงเวลาที่เจ้าต้องลุกขึ้นสู้” “สู้เพื่ออะไรเพคะ?” “เพื่อมีชีวิต” เสวี่ยหวงโฮ่วแสร้งเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เมื่อพูดถึงชีวิต... สายตาของนางล่องลอยไปไกลเป็นเวลาเนิ่นนาน ไกลเกินกว่ากำแพงของวังหลวง ความทรงจำที่ถูกทอดทิ้งหวนกลับคืนมาอีกครั้ง ในวัยเยาว์นางต้องจากบ้านเกิด ไร้ซึ่งบิดามารดาเลี้ยงดู มาอยู่ในดินแดนที่แปลกตา ความโดดเดี่ยวในตอนนั้น เด็กหญิงวัยแปดขวบไม่มีวันลืม “แต่หม่อมฉันไม่เคยอยากได้สิ่งใดนอกจากเท่าที่มีอยู่ในตอนนี้” เหวินซิวหรงส่ายหน้า ใบหน้าของนางเหมือนคนที่ไม่ต้องการต่อสู้กับใครจริง ๆ “หากเป็นเช่นนั้น เจ้าก็จะสูญเสียทุกอย่าง ความสะดวกสบายในวันนี้ก็จะไม่เหลืออะไร วังหลังไม่ใช่บ้านหากแต่เป็นสนามรบสำหรับสตรี และคนอย่างซิ่นเสียนเฟยไม่ใช่สตรีที่ยอมรับกับคำว่าพ่ายแพ้ได้ง่าย แต่เจ้ามีสิ่งหนึ่งที่นางไม่มี” “อะไรหรือเพคะ” “ที่ที่เจ้าจากมา เจ้าทำทุกอย่างด้วยตัวเอง แต่ซิ่นเสียนเฟยมีคนคอยปรนนิบัติข้างกายตลอดเวลา ในวันงานเลี้ยงคืนทะเลจันทร์ หากเจ้าแสดงความสามารถของสตรีที่พึ่งพาตนเองได้ต่อหน้าฝ่าบาท เปิ่นกงเชื่อว่าจะต้องเป็นเรื่องที่น่าประทับใจมากแน่ ๆ” เสวี่ยหวงโฮ่วปล่อยให้เหวินซิวหรงจมอยู่กับความคิดของตนเอง งานเลี้ยงคืนทะเลจันทร์ เป็นงานเลี้ยงส่วนตัวในวังหลวงที่มีเพียงครอบครัวขุนนางยศสูงเท่านั้นที่จะได้เข้าร่วม สถานที่จัดงานเลี้ยงคือริมทะเลสาบจันทราในคืนพระจันทร์เต็มดวง นอกจากดนตรี การแสดง และอาหาร สิ่งที่พิเศษสำหรับนางสนมคือการได้ใช้เวลาส่วนตัวร่วมกับฝ่าบาท แต่ละคนจะมีเวลาของตัวเอง ลำดับการเข้าพบจะเป็นการสุ่มจากป้ายชื่อ ใครที่โชคดีได้เข้าพบก่อนแล้วทำให้ฝ่าบาทถูกใจก็จะได้ใช้เวลาทั้งคืนชมจันทร์ด้วยกันสองต่อสอง ส่วนนางสนมคนอื่นที่โชคร้ายคงต้องกลับตำหนักไปอย่างเดียวดาย สำหรับการสุ่มป้ายชื่อ เสวี่ยหวงโฮ่วมีอำนาจมากพอที่จะสั่งให้คนสุ่มหยิบได้ชื่อคนที่นางต้องการ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับวังหลัง ล้วนแล้วแต่อยู่ในกำมือนางทั้งสิ้น “นางพูดเช่นนั้นเลยหรือ” ซิ่นเสียนเฟยสตรีผู้มีใบหน้าสวยคมราวกับใบมีดหันมาเผชิญหน้ากับเสวี่ยหวงโฮ่วด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด หลังจากที่ได้ยินประโยคที่สตรีผู้สูงศักดิ์เพิ่งกล่าว “เปิ่นกงได้ยินเช่นนั้นมาจริง ๆ นางกล่าวว่าเหตุใดข่าวลือถึงต้องเอานางไปเทียบกับเจ้า” เสวี่ยหวงโฮ่วแสดงสีหน้าใจหายเมื่อทวนคำพูดออกมาอีกครั้ง “นางคิดว่าตนเองเป็นใครกัน ก็แค่สตรีจากหุบเขาบ้านนอก ต้องเป็นหม่อมฉันต่างหากที่ต้องกล่าวเช่นนั้น” ซิ่นเสียนเฟยขึ้นเสียงสูง การถูกเหยียดหยามโดยสตรีซึ่งต้อยต่ำกว่าเป็นสิ่งที่ซิ่นเสียนเฟยมิอาจยอม เรื่องข่าวลือในตอนแรก นางก็ไม่คิดจะใส่ใจเพราะแต่เดิมนางก็เผชิญกับเรื่องเช่นนั้นมาเกินกว่าจะนับครั้งได้ แต่กับถ้อยคำที่หวงโฮ่วนำมาบอกด้วยตนเอง นางคงแสร้งทำเป็นไม่เห็นมิได้ “เจ้ามีตำแหน่งที่สูงกว่านาง พื้นฐานชาติกำเนิดก็ดีกว่านาง เจ้าจะปล่อยให้ชื่อเสียงของตนเองแปดเปื้อนต่อไปเช่นนี้ได้อย่างไร หากไม่เห็นแก่หน้าตนเอง ก็เห็นแก่หน้าเปิ่นกงที่เป็นคนดูแลเจ้าด้วย” “หม่อมฉันสำนึกในบุญคุณของหวงโฮ่วอยู่เสมอเพคะ แต่เรื่องนี้จำเป็นต้องใช้เวลาในการวางแผน” ซิ่นเสียนเฟยเม้มริมฝีปากแน่น ขณะพยายามข่มกลั้นอารมณ์ตัวเองเอาไว้ “เจ้าคงต้องรีบเสียหน่อยนะ งานเลี้ยงคืนทะเลจันทร์จะมาถึงในไม่ช้า เปิ่นกงยังได้ยินข่าวลือมาอีกว่าเหวินซิวหรงติดสินบนขันทีผู้ดูแลเรื่องการสุ่มป้ายชื่อด้วยนะ” “นางกล้าถึงเพียงนั้นเลยหรือเพคะ” ซิ่นเสียนเฟยแทบไม่อยากเชื่อหู แต่ความสัมพันธ์ของนางกับหวงโฮ่วไม่เคยเป็นศัตรูกันมาก่อน และเท่าที่นางจำความมาได้ เสวี่ยหวงโฮ่วมักจะช่วยเหลือนางเสมอไม่ว่าเป็นเรื่องใด บางครั้งยังมีน้ำใจมอบสิ่งของล้ำค่างดงามมาให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนเสียด้วยซ้ำ หากเป็นคนอื่น ซิ่นเสียนเฟยอาจจะไม่เชื่อ แต่เมื่อเป็นเสวี่ยหวงโฮ่ว นางย่อมไร้ความคิดเคลือบแคลง “เปิ่นกงทำได้เพียงแค่เตือนเจ้าเท่านั้น เปิ่นกงเป็นผู้ดูแลเจ้ามาตั้งแต่เจ้าเข้าวัง ย่อมไม่อยากเห็นเจ้าไม่สบายใจ” เสวี่ยหวงโฮ่วกุมมือซิ่นเสียนเฟยอย่างอ่อนโยน นางสบตาไปที่ดวงตาคมเฉี่ยวของอีกฝ่ายด้วยความเห็นใจ หากบอกว่าสตรีผู้ใดที่แสดงละครได้แนบเนียนที่สุดในวังหลังก็คงไม่พ้นนางเองนี่แหละ ปิดบังตัวตนอันร้ายกาจไว้ด้วยใบหน้าของแม่พระผู้มีเมตตา ต้องขอบคุณการสั่งสมประสบการณ์ในวังหลวงนานนับสิบเจ็ดปี เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นถึงเป็นเสวี่ยหวงโฮ่วได้อย่างในทุกวันนี้ ระยะหลายเดือนที่ผ่านไปนางแสนจะเบื่อหน่ายกับความสงบสุขในวังหลัง คราวนี้แหละ... นางจะทั้งปั่นหัว สร้างแผนการ ทำทุกอย่างให้เหล่าสตรีในกรงทองหันมาตีกันเองให้หมด เริ่มด้วยคู่แรก... ซิ่นเสียนเฟยและเหวินซิวหรง
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่3 บทที่ 3 คำพูดคืออาวุธ
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A