ตอนที่4 บทที่ 4 งานเลี้ยงคืนทะเลจันทร์
1/
ตอนที่4 บทที่ 4 งานเลี้ยงคืนทะเลจันทร์
ฮองเฮามากรัก
(
)
已经是第一章了
ตอนที่4 บทที่ 4 งานเลี้ยงคืนทะเลจันทร์
บทที่ 4 งานเลี้ยงคืนทะเลจันทร์ หลังจากเสวี่ยหวงโฮ่วใส่ไฟสองนางสนมแห่งวังหลัง บรรยากาศทั่วทั้งตำหนักในก็เริ่มคุกรุ่น เริ่มจากเหล่านางกำนัลที่แบ่งออกเป็นสองฝ่ายคอยกลั่นแกล้งกันไปมาระหว่างที่ทำงานให้ผู้เป็นนาย แน่นอนว่าเหวินซิวหรงย่อมตกเป็นรองเพราะกำลังคนน้อยกว่า แต่ด้วยความที่เป็นสตรีผู้ไม่หยิ่งในศักดิ์ จึงมีนางสนมคนอื่นคอยแอบช่วยอยู่ลับ ๆ จนสามารถต่อกรกับแผนการกลั่นแกล้งราวกับเด็กน้อยของซิ่นเสียนเฟยได้ กระทั่งมาถึงวันงานเลี้ยงคืนทะเลจันทร์ ในค่ำคืนงานเลี้ยง เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเลือกหยิบชุดผ้าไหมสีขาวปักลวดลายนกกระเรียนและก้อนเมฆด้วยสีฟ้าอ่อนมาสวมใส่ อาภรณ์ของนางอาจดูเรียบง่ายแต่กลับเป็นชุดที่ถูกส่งมาจากแคว้นเมืองขึ้นที่เลื่องชื่อเรื่องการเย็บปักเป็นอันดับหนึ่ง และนอกจากเสื้อผ้านางยังคงสวมใส่เครื่องประดับมุกเนื้อเนียนบริสุทธิ์ที่มีราคาเกินกว่าจะตีมูลค่าได้ ทว่าแม้จะแต่งตัวด้วยสีโทนอ่อนดูสบายตา แต่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นกลับแต่งหน้าด้วยโทนสีแดง เริ่มด้วยกรีดตายาวเฉี่ยวคมลงแป้งสีแดงดุดันตามทับ และริมฝีปากบางอวบอิ่มก็ใช้ชาดสีแดงสดแต่งแต้ม ให้ความรู้สึกดุดันกลมกลืนไปกับความอ่อนโยน จนเป็นการรวมเข้าด้วยกันที่ลงตัวอย่างน่าประหลาด “เจ้าคิดว่าอย่างไร หยาเอ๋อร์” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นถามนางกำนัลคนสนิท ขณะชื่นชมใบหน้าของตนเองที่สะท้อนอยู่บนคันฉ่อง “งดงามมากเพคะ” แน่นอนว่าหยาตาอิ้งต้องกล่าวชมผู้เป็นนาย “สีขาวช่างบริสุทธิ์” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นกล่าวพลางไล้ไปตามเนื้อผ้าสีขาวเรียบลื่น “แต่จืดชืดหากไม่มีสีสันมาเติมเต็ม” เหมือนดั่งเช่นคืนพระจันทร์เต็มดวงที่สงบเงียบ มันจะหน้าตื่นตาไปได้อย่างไรถ้าไม่มีข่าวคราวจากวงในหลุดออกไปให้พูดคุย เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นนึกถึงแผนที่วางไว้ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ “เปิ่นกงพร้อมแล้ว” เสวี่ยหวงโฮ่วลุกขึ้นยืนปล่อยให้นางกำนัลทั้งหลายมาช่วยกันพยุงตนออกไปขึ้นเกี้ยวที่รอรับอยู่หน้าประตูใหญ่ นี่คือความสบายอย่างหนึ่งของการเป็นหวงโฮ่ว นั่นคือนางแทบไม่ต้องทำอะไรด้วยตัวเอง จะนั่งนอนยืนเดินก็มีคนคอยปรนนิบัติ หากไม่หาเรื่องบันเทิงทำ สักวันนางคงเป็นง่อย เบื้องหน้าประตูใหญ่มีเกี้ยวสีทองสลักลายหงส์ขนาดสิบหกคนหามรอต้อนรับ ม่านเกี้ยวเป็นสีแดงใช้ดิ้นสีทองปักลายหงส์เช่นเดียวกับตัวโครง บนยอดเกี้ยวเป็นหงส์หยกแกะสลักสีขาวเนียน ส่วนมุมสี่ข้างเป็นพู่สีแดงผสมทองห้อยประดับ ชายพู่ทั้งสี่ด้านพัดพลิ้วปลิวตามลม แม้จะเป็นยามค่ำคืนมีเพียงแสงไฟจากตะเกียงคอยส่องแสง ทว่าไม่อาจปิดบังความงามของเกี้ยวประจำตำแหน่งหวงโฮ่วลงได้แม้แต่น้อย ระหว่างจะก้าวขึ้นเกี้ยว เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นก็ฉุกนึกขึ้นได้ “ช้าก่อน... หยาเอ๋อร์ ไปนำกล่องไม้ข้างหัวเตียงมาให้เปิ่นกงที” “เพคะ” หยาเอ๋อร์รับคำก่อนจะวิ่งเข้าไปนำกล่องไม้สีขาวขอบทองในห้องนอนหวงโฮ่วออกมา เมื่อกลับมาที่หน้าประตูใหญ่เสวี่ยหวงโฮ่วได้นั่งรอบนเกี้ยวเรียบร้อยแล้ว แต่เจ้าตัวก็ยังคงรอให้หยาเอ๋อร์ส่งของมาให้ เมื่อกล่องสีขาวมาอยู่ในมือ เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นจึงเปิดกล่องออกพบกับตุ๊กตาผ้าซึ่งถูกเย็บปักอย่างงดงามวิจิตร ถึงกระนั้นจุดสำคัญไม่ได้อยู่ที่ความงามแต่อยู่ที่ว่ามันเหมือนใคร ตุ๊กตาผ้าสองตัวสวมใส่ชุดสีขาวปักด้วยผ้ามุกงดงามนอนแน่นิ่ง เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นลูบไล้เนื้อผ้าอย่างใจลอย หากเหวินซิวหรงพ่ายแพ้ แสดงว่านางแข็งแกร่งไม่พอที่จะอยู่ในวังหลัง ถ้าเป็นเช่นนั้นคงต้องกำจัด ในทางกลับกันหากซิ่นเสียนเฟยพ่ายแพ้ จุดจบของนางก็คงจะเป็นตำหนักเย็น ไม่ว่าใครก็ตามที่พ่ายแพ้ ถ้าเห็นเจ้าตุ๊กตาตัวน้อยนี้รอต้อนรับกลับคงจะชอกช้ำใจอยู่ไม่น้อย “นำกล่องนี้ไปตั้งไว้ที่ห้องบรรทมภายในตำหนักเย็น ที่สำคัญ... อย่าให้ใครพบเจ้าเด็ดขาด” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นสั่งการกับนางกำนัลคนหนึ่งที่มีนิสัยสงบเสงี่ยม หลังได้รับคำสั่ง นางน้อมกายก่อนรับเอากล่องสีขาวมากอดไว้ในอกแล้วเดินหายไปในเงามืด ของในกล่องนอกจากเสวี่ยหวงโฮ่วก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่ามันคืออะไร แม้จะสงสัยในการกระทำของผู้เป็นนาย แต่สุดท้ายทุกคนกลับได้แต่เงียบแล้วฝังมันเอาไว้ในส่วนลึก ไม่มีผู้ใดกล้าพอที่จะนำไปซุบซิบนินทา เพราะจุดจบของคนปากมากในตำหนักฮุ่ยหมิ่นคือตายทั้งหมด เพียงก้าวเข้าสู่งานเลี้ยง ทุก ๆ คนต่างต้องก้มหัวให้กับเสวี่ยหวงโฮ่ว แม้จะไม่ใช่สตรีหนึ่งเดียวที่หวงตี้ครอบครอง แต่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นคือสตรีเพียงหนึ่งเดียวที่หวงตี้เอ่ยปากว่ามีสิทธิ์ในการออกคำสั่งทุกอย่างเทียบเท่าตนเอง แต่เดิมเป็นเพียงองค์หญิงน้อยที่เมืองเกิดส่งตัวมาเป็นเครื่องบรรณาการ ในวันนี้กลับกลายเป็นหงส์ผู้งดงามและสูงศักดิ์เกินกว่าจะอาจเอื้อม เหล่าขุนนางที่เคยดูแคลนเด็กสาวจากแคว้นเป้ย จึงต้องก้มหัวให้อย่างหลีกเลี่ยงมิได้ แน่นอนว่าเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นรู้เรื่องคำนินทาลับหลังพวกนั้นทุกอย่าง ทั้งคนที่คิดว่านางไม่เหมาะสม ทั้งคนที่คิดว่านางคือไส้ศึก ทั้งคนที่คิดว่าแคว้นของนางเป็นแคว้นคนบาป เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นไม่เคยลืมสารพัดคำว่าร้าย แม้ปัจจุบันนางจะไม่เก็บมาใส่ใจแล้วก็ตาม ในเมื่อถ้านางจะเหยียบย่ำคนเหล่านั้นมันง่ายดายเพียงแค่กะพริบตา “ถวายบังคมหวงโฮ่ว ขอให้หวงโฮ่วทรงเจริญพันปีพัน ๆ ปี” เสียงกล่าวสรรเสริญดังกึกก้องขณะที่หวงโฮ่วเดินมาหย่อนตัวลงบนที่นั่งของตนเอง รอคอยการมาของหวงตี้อย่างใจเย็น ดวงตาหงส์คู่งามของนางกวาดไปทั่วลานกว้างริมทะเลสาบ ก่อนจะบอกให้ทุกคนทำตัวตามสบาย ดังนั้นเสียงดนตรีอันไพเราะราวกับเสียงมนต์ขับกล่อม จึงเริ่มบรรเลงขึ้นอีกครั้ง น้อยคนนักจะกล้าเงยขึ้นมองใบหน้าหวงโฮ่วตรง ๆ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี และแต่เดิมเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นก็ไม่สนใจว่าใครจะบังอาจมิบังอาจ นางทำเสมือนตนเองอยู่คนเดียวภายในห้องส่วนตัว พลางสังเกตการณ์ไปทั่วเพื่อหาเป้าหมายที่ตนวางหมากทิ้งเอาไว้ ในคืนนี้ ซิ่นเสียนเฟยสวมใส่ชุดสีเขียวอ่อน ปักลายด้วยดิ้นสีเขียวเข้มลวดลายบุปผาตระการตา ใบหน้าสวยคมของนางแต่งแต้มมาได้งดงามเลิศล้ำ ให้ความรู้สึกเหมือนกับใบไม้ที่สมบูรณ์แบบและเฉียบคมดุจดั่งใบมีด ทางฟากฝ่ายเหวินซิวหรงก็สวมใส่ผ้ามุกที่หวงโฮ่วได้มอบให้ ผ้าสีขาวนั้นเข้ากับผิวนางได้อย่างเหลือเชื่อ เป็นจริงดังที่หวงโฮ่วตรัสทุกคำว่านางช่างเหมาะสมกับผ้าผืนนี้ไม่มีใครเทียบ ความงามของนางช่างเพริศแพร้วและบริสุทธิ์ราวกับไข่มุกแท้จากท้องทะเลลึก คนหนึ่งแม้ไม่ได้งดงามที่สุดแต่มีตำแหน่งสูงกว่า ส่วนอีกคนแม้ตำแหน่งจะด้อยกว่าไปเพียงนิด แต่กลับงดงามดึงดูดสายตาผู้คน ทว่าสิ่งหนึ่งที่เหวินซิวหรงทำพลาด แท้จริงแล้วผ้ามุกผืนนี้เป็นผ้าที่หวงตี้ประสงค์ให้หวงโฮ่วสวมใส่ในคืนงานเลี้ยงทะเลจันทร์ หากบุรุษผู้สูงศักดิ์มาเห็นเข้า ต่อให้เขาทำตัวนิ่งเฉยเรื่องที่หวงโฮ่วมอบผ้ามุกให้แก่ซิวหรง แต่เรื่องที่อีกฝ่ายนำมาใส่เหมือนกับเยาะเย้ยหวงโฮ่ว บางทีเขาอาจไม่พอใจขึ้นมา... งานเลี้ยงคืนทะเลจันทร์ เป็นงานเลี้ยงที่จะจัดเพียงหนึ่งครั้งต่อปี มีขึ้นเฉพาะคืนที่พระจันทร์เต็มดวงสุกสกาวสว่างไสวมากที่สุด จุดประสงค์เพื่อให้เหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์ได้ผ่อนคลายชื่นชมแสงจันทร์ริมทะเลสาบ ตามหลักแล้วนี่คือความหมายของงาน แต่หากให้พูดกันตามตรง งานเลี้ยงดังกล่าวไม่ต่างอะไรจากการถลุงเงินในท้องพระคลัง ทว่าเป็นการถลุงเงินอย่างมีประโยชน์โดยการใช้มันเป็นเครื่องซื้อใจขุนนางคนสำคัญในราชสำนัก อันที่จริงสตรีในงานล้วนแล้วแต่เป็นแค่ตัวประกอบ พวกนางคล้ายเป็นเครื่องประดับในงานเท่านั้น หลายปีที่ผ่านมาทั้งก่อนและหลังได้รับตำแหน่งหวงโฮ่ว เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นอยู่อย่างเงียบสงบมาโดยตลอด นางมองดูสตรีรูปงามมากมายเป็นได้แค่ดอกไม้ประดับ แต่ในวันนี้สตรีเหล่านั้นจะกลายเป็นผู้คุมหมากเอง เริ่มจากฝั่งซิ่นเสียนเฟย คุณหนูใหญ่ของหัวหน้าราชทูตจากแคว้นเพ่ยที่ขึ้นชื่อเรื่องเหมืองแร่ เป็นเมืองขึ้นแคว้นช่างที่สำคัญแห่งหนึ่ง ด้วยความที่เสียนเฟยถือไพ่เหนือกว่าทางด้านการทูต นางจึงได้รับตำแหน่งสูงศักดิ์เหมาะสมแก่ฐานะ นางเป็นคนฉลาด แต่บางครั้งก็ใจร้อน และยังมีนิสัยเย่อหยิ่งติดตัวมาจากการเลี้ยงดู จะให้อยู่ใต้การควบคุมของใครนาน ๆ ซิ่นเสียนเฟยคงมิอาจทนได้ ดังนั้นเมื่อถึงปีสำคัญของเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นนางจึงเริ่มแข็งข้อ ทำตัวเหนือกว่านางสนมผู้อื่น ข้ามหน้าข้ามตาทั้งกุ้ยเฟยและเต๋อเฟย ประกอบกับมีหวงตี้คอยตามใจ จึงหลงระเริงไปชั่วขณะ ทว่าความภาคภูมิใจของนางกลับต้องมาสั่นคลอนเพราะนางสนมที่ยศต่ำกว่า ครั้นได้โอกาสเล่นงานเหวินซิวหรง นางย่อมคว้าเอาไว้ในทันที ลี่กุนจวิ้นเฉินมาถึงงานเลี้ยง หลังจากที่กล่าวทักทายเหล่าขุนนางและพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ ก็ถึงช่วงเวลาส่วนตัวที่เขาจะได้ใช้กับเหล่านางสนมผู้โชคดี ช่วงเวลาสี่ปีที่ขึ้นครองราชย์ ลี่กุนจวิ้นเฉินปล่อยให้เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์บางอย่างของงานเลี้ยงคืนทะเลจันทร์ นั่นคือจากการที่เขาต้องเสวนากับนางสนมทั้งวังหลัง กลายเป็นว่าขันทีจะสุ่มเพียงแค่สามคนเท่านั้น “หวงโฮ่วที่รัก เจ้าคิดว่าการแสดงนี้เป็นอย่างไรบ้าง” ลี่กุนจวิ้นเฉินยกมือของเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นขึ้นมาจุมพิตแผ่วเบาที่หลังมือเพื่อแสดงความรักใคร่ระหว่างหวงโฮ่วและหวงตี้ นัยน์ตาสีดำฉายประกายลึกซึ้งขณะจับจ้องอยู่ที่สตรีชุดขาวข้างกาย ดูเหมือนว่าลี่กุนจวิ้นเฉินจะใจตรงกับเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น เพราะเขาก็สวมใส่ชุดสีขาวขอบทอง ลวดลายมังกรดั้นเมฆเปล่งประกายอำนาจและเรียบง่าย สง่างามเฉิดฉายแข่งกับดวงจันทรา “ก็ดี” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นตอบ สายตายังจดจ่อการแสดงระบำผ้าที่พลิ้วไหวสะบัดไปมาราวกับคลื่นน้ำ “งดงามใช่หรือไม่” ลี่กุนจวิ้นเฉินถามโดยไม่ละสายตาไปจากใบหน้างามล้ำค่าของเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น “ศิลปะย่อมงดงาม แล้วฝ่าบาทล่ะ คิดว่าอย่างไร” “เจิ้นก็ว่างดงามเช่นกัน” เขากล่าวเช่นนั้นขณะสายตาจับจ้องใบหน้าของหญิงสาวนิ่ง เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นรับรู้ถึงสายตาอันแรงกล้าที่มองมาจนใบหน้าเริ่มรู้สึกร้อนผ่าว จิตใจของนางเริ่มจะหลุดจากการแสดงเบื้องหน้ามาสนใจคนข้างกาย แต่ด้วยความสัมพันธ์ของคำว่าสหาย นางกลับเลือกเมินสายตาอันหนักแน่น แสร้งทำเป็นไม่เห็น ไม่รู้สึก และผลักดันมันออกไปให้ไกลตัว ทว่าลี่กุนจวิ้นเฉินเป็นชายหนุ่มไฟแรงผู้ไม่ยอมพ่ายแพ้ง่าย ๆ เขายังคงมองเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นด้วยแววตารักใคร่ จนนางเริ่มรู้สึกอยู่ไม่เป็นสุข “มีอะไรติดหน้าหม่อมฉันหรือเพคะ” ในที่สุดเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นก็หันไปเผชิญหน้ากับหวงตี้หนุ่ม “เจิ้นแค่ชื่นชมความงามของหวงโฮ่วยอดรักไม่ได้หรือ” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นถลึงตา ราวกับนางกำลังตะโกนถามเขาว่า ‘ท่านเสียสติไปแล้วหรือไร’ “หม่อมฉันจะเห็นแก่ตัว เก็บสายตาอันสูงส่งของฝ่าบาทไว้แต่เพียงผู้เดียวได้อย่างไรเพคะ ลานกว้างเบื้องหน้าล้วนแล้วแต่มีสตรีโฉมงามเลิศล้ำกว่าหม่อมฉันยิ่ง หม่อมฉันคิดว่าฝ่าบาทควรจะถนอมพวกนางให้มากกว่านี้นะเพคะ” หรือแปลอีกอย่างคือ ‘ท่านเลิกยุ่งกับข้าได้แล้ว’ “เจิ้นเป็นถึงหวงตี้ เจ้าเป็นหวงโฮ่ว คิดว่าความเห็นของใครที่มีน้ำหนักมากกว่ากัน” จบคำพูดไม่คิดของลี่กุนจวิ้นเฉิน ร่างทั้งร่างของเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นถึงกับแสดงท่าทีเย็นชาออกมาฉับพลัน “ย่อมเป็นความเห็นของฝ่าบาท” เสียงของนางแข็งกระด้างก่อนหันไปสนใจการแสดงตรงหน้า หลังจากนั้นเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นก็ทำเหมือนลี่กุนจวิ้นเฉินเป็นอากาศธาตุจนกระทั่งการแสดงจบลง บุรุษผู้นั้นกล้าดีอย่างไรมาถือยศกับนางกัน หากเขาคิดว่าตนเองจะควบคุมนางได้ เขาคิดผิด! ใบหน้างามล้ำของเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นปราศจากรอยยิ้มอยู่เช่นนั้น จวบจวนลี่กุนจวิ้นเฉินรู้ตัวว่าตนเองพูดผิดไป เขาจึงคิดหาวิธีง้อนางอยู่เงียบ ๆ เรื่องทุกอย่างต้องโทษชงซานผู้ที่บอกให้หวงตี้แสดงความเป็นบุรุษ ซึ่งความหมายของเจ้าที่ปรึกษาผู้นั้นกล่าวถึงการแสดงความเป็นฝ่ายควบคุม ให้สตรีมองเห็นว่าเขามีความเป็นผู้นำ ทว่าจากที่ลี่กุนจวิ้นเฉินรู้จักเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นมา นางไม่เหมือนสตรีผู้อื่น ถึงแม้นางจะอยู่ในขนบธรรมเนียม แต่ใช่ว่านางจะชมชอบหลักการซึ่งกำหนดว่า ‘บุรุษเป็นใหญ่กว่าสตรี’ ด้วยเหตุนี้หญิงสาวถึงยื่นคำขาดเรื่องดูแลทุกอย่างในวังหลังทั้งหมด เพื่อป้องกันไม่ให้สตรีถูกกดขี่ข่มเหง โดยขอบเขตการปกครองของเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นไม่ใช่แค่นางสนม แต่รวมไปถึงเหล่านางกำนัลในวังหลังทุกชีวิต “ชงซานมันน่าจับไปเฆี่ยนให้ตายจริง ๆ” ลี่กุนจวิ้นเฉินพึมพำก่อนจะยื่นมือออกไปกุมมือเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น “ฝ่าบาททำผิด เหตุใดจึงไปกล่าวโทษผู้อื่น หรือการเป็นหวงตี้ทำให้ฝ่าบาทคิดว่าตัวเองถูกทุกอย่าง” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นกล่าวด้วยเสียงด้านชา แต่ทุกคำพูดแฝงไปด้วยความประสงค์ดีที่เตือนสติอีกฝ่ายว่าอย่าหลงระเริงในตนเอง เพียงเพราะคำว่าอำนาจ “เจิ้นขอโทษ” ลี่กุนจวิ้นเฉินพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงใจ จักรพรรดิมักจะไม่ก้มหัวให้ใคร นั่นหมายถึงคำขอโทษจะไม่มีวันพูดออกมา เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นและลี่กุนจวิ้นเฉินเห็นคนประเภทนั้นมาหลายคนนัก และจุดจบของพวกเขาก็คือไร้ซึ่งคนจริงใจข้างกาย “เช่นนั้นท่านต้องช่วยข้าหนึ่งอย่าง” นางยังคงใช้เสียงแข็งคุยกับเขา “อะไรก็ตามแต่ที่หวงโฮ่วทรงปรารถนา” เมื่อได้รับคำมั่น เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นจึงกลับมายิ้มร่าอีกครั้ง ก่อนจะกระซิบบอกลี่กุนจวิ้นเฉินถึงแผนการของตนเอง ลี่กุนจวิ้นเฉินถึงกับเบิกตากว้าง และเอ่ยเสียงสูงกับอัครมเหสีข้างกาย “เจ้าช่างร้ายกาจยิ่งนัก” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นไม่ตอบอะไรนอกจากส่งเสียงหัวเราะสดใสดังก้องไปทั่วลานงานเลี้ยง “ฝ่าบาทก็ทรงคิดเหมือนหม่อมฉันใช่ไหมเพคะ ซิวหรงสวมใส่ผ้ามุกแล้ว ผิวของนางช่างเปล่งประกายงดงามเสียยิ่งกว่าแสงของดวงจันทราในค่ำคืนนี้เสียอีก” ในตอนนั้นเอง เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นก็เริ่มกล่าวเสียงดัง ดังพอที่จะเรียกความสนใจจากเหล่าขุนนางและนางสนมให้หันขึ้นมามอง ณ แท่นบัลลังก์ “เจิ้นก็คิดเห็นอย่างที่เจ้ากล่าวทั้งสิ้น” หวงตี้ก็เอ่ยชมซิวหรงออกมาเสียงดังเช่นกัน “หม่อมฉันขอบพระทัยเพคะ ฝ่าบาท หวงโฮ่ว” เหวินซิวหรงน้อมรับคำชมด้วยสีหน้าชื่นบานไปด้วยความสุข การที่คนทั้งสองซึ่งนางเคารพรักเห็นนางอยู่ในสายตา จะมีสิ่งอื่นใดดีไปกว่านี้อีก ซิ่นเสียนเฟยกำหมัดแน่น ข้างหูเริ่มได้ยินเสียงซุบซิบว่านางกำลังจะหลุดออกจากตำแหน่งสนมคนโปรดและอีกไม่นาน ซิวหรงอาจได้เลื่อนขั้นมาเป็นซูเฟย ผู้ที่มีศักดิ์เหนือกว่านาง “ฝ่าบาท... ที่ซิวหรงสวมใส่อยู่คือผ้ามุกจากแคว้นเหยาเว่ย ที่ฝ่าบาทประสงค์จะให้หวงโฮ่วตัดชุดสวมใส่ในคืนนี้มิใช่หรือเพคะ” ไวกว่าความคิด ซิ่นเสียนเฟยได้เอ่ยถามเรื่องผ้ามุกขึ้นมาเสียงดัง ความแค้นที่นางเสียหน้าในวันวานยังคงฝังแน่น ครั้นได้โอกาสเล่นงานศัตรูจึงหยิบขึ้นมาใช้ในทันที เอาล่ะ ซิวหรง... นางคิดว่าตนเองจะได้ดีแค่เพราะมีหวงโฮ่วหนุนหลัง เช่นนั้นก็หาทางรอดจากข้อกล่าวหา ที่ประพฤติตนข้ามหน้าหวงโฮ่วให้ได้เสียก่อนเถอะ
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่4 บทที่ 4 งานเลี้ยงคืนทะเลจันทร์
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A