ตอนที่12 บทที่ 12 คำพูดที่ไร้ความหมาย   1/    
已经是第一章了
ตอนที่12 บทที่ 12 คำพูดที่ไร้ความหมาย
บทที่ 12 คำพูดที่ไร้ความหมาย ซงอี๋ ได้รับความกล้ามาจากสองสนมเอกที่แสดงไปก่อนหน้า เมื่อถึงตาตนเอง นางก็ได้เปิดเผยแผนการรับมือปัญหาต่าง ๆ ของบ้านเมืองออกมา สำหรับเรื่องที่กำลังจะเกิดเร็ว ๆ นี้ ได้แก่ เรื่องภัยแล้ง นางได้นำแบบร่างแผนที่ตนเองจดเอาไว้ออกมา แสดงสติปัญญาที่โดดเด่นเสียยิ่งกว่าเสนาบดีทั้งหลาย จนหวงตี้เรียกตัวไว้คุยกันหลังงานเลี้ยงจบ ถัดมาเป็นซิวเยวี่ยน บุตรสาวจากตระกูลแม่ทัพที่ถูกปกปิดฝีมือด้านการต่อสู้ มาตลอดสิบกว่าปี นางรวบรวมความกล้าที่ตนมี เปลี่ยนการแสดงร่ายรำเป็นบทเพลงดาบที่คิดค้นขึ้นมาเอง ซึ่งมันทั้งงดงามและดุดันในคราวเดียวกัน เรียกเสียงชื่นชมจากผู้คนได้มากโข จากนั้นคือซิวอี๋ ญาติห่าง ๆ ของกุ้ยเฟยก็ขึ้นมาแสดงต่อ การแสดงของนางเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งเป็นตัวของตัวเองโดยไม่สนใจใคร นั่นคือระบำเพลิง นางแสดงความอันตรายและงดงามของตนเองออกมา ทำให้ผู้คนที่มองว่านางเป็นเพียงคุณหนูเอาแต่ใจต่างพากันชื่นชมการแสดงในครั้งนี้ แน่นอนว่ายกเว้นกุ้ยเฟย เจาเยวี่ยน ผู้เก่งกาจเรื่องการค้า สิ่งที่นางแสดงออกมานั้นคือการคำนวณบัญชีต่าง ๆ ในฉบับของตนเอง เป็นบัญชีเกี่ยวกับการใช้จ่ายในวังหลวง เรื่องข้าวของในคลัง นางคำนวณมันออกมาได้เรียบร้อยเข้าใจง่ายด้วยการวางแบบแผนใหม่ที่คิดขึ้นมาเอง ซึ่งหัวหน้าฝ่ายกรมการคลังที่อยู่ในงานถึงกับออกตัวติดต่อขอยืมวิธีการของนางไปใช้ และสุดท้ายจากสนมเอกทั้งหมด นั่นคือเจาหรง สิ่งที่นางนำมาแสดงนั้นคือยาชนิดหนึ่ง ที่สามารถทำให้คนที่เป็นอัมพาตกลับมารับรู้สึกได้อีกครั้ง ยานี้คือสิ่งที่นางคิดค้นมาเนิ่นนาน และได้ใช้มันกับขุนนางชราผู้เป็นอัมพาตที่แขนขวาผู้หนึ่ง แต่เดิมเขาเคยทำงานอยู่ที่กองทัพมาก่อน หลังได้รับบาดเจ็บจึงไม่อาจจับดาบได้อีก แต่เพราะยาของเจาหรง เพียงแค่ถ้วยเดียว แขนเขากลับมารู้สึกได้ในทันที สตรีแต่ละคนที่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นรับเข้ามา ลี่กุนจวิ้นเฉินก็เพิ่งได้เห็นความสามารถแท้จริงของพวกนาง เขารู้ได้ในทันทีว่าพวกนางไม่สมควรมาเป็นนกในกรงทอง พวกนางมีพรสวรรค์ที่เหนือยิ่งกว่าชายชาตรี แต่กลับไม่อาจเปิดเผยมันออกมาได้เพียงแค่ว่าตนเองเป็นสตรี ยิ่งเห็นแบบนี้ เขายิ่งอยากจะทำลายกฎของความไม่เท่าเทียมมากขึ้นไปอีก “สุดท้ายแล้วก็เป็นเต๋อเฟยแล้วสินะ” ไท่โฮ่วกล่าวขึ้นมาหลังจากนั่งเงียบคอยดูสนมเอกแต่ละคนเล่นบทบาทของตนเอง “ถวายบังคมฝ่าบาท ไท่โฮ่ว หวงโฮ่วเพคะ วันนี้เต๋อเฟยไม่ได้เตรียมการแสดงใด ๆ มาเพราะรู้ตัวดีว่าตนเองไม่อาจเทียบกับเหล่าน้องหญิงคนอื่นได้ ที่หม่อมฉันเตรียมมามีเพียงก้อนสมุนไพรซึ่งไว้ใช้ในการชำระล้างร่างกายเพคะ” เต๋อเฟยนำเสนอตนเอง เสร็จแล้วนางก็นำก้อนสมุนไพรที่ว่ามาให้แต่ละคนได้สูดดมกลิ่น โดยแต่ละก้อนนั้นมีกลิ่นแตกต่างกันไป เป็นสมุนไพรที่มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกไม้ผสมผสานกันไปอย่างลงตัว เพียงได้กลิ่นก็รู้สึกได้ถึงความผ่อนคลาย “วิธีที่หม่อมฉันใช้ก็คือการใส่ก้อนสมุนไพรนี้ลงไปในอ่างอาบน้ำเพคะ” ร่างบางในชุดสีขาวหยิบเอาก้อนสมุนไพรบนถาดที่นางกำนัลถือไว้ข้างกายมาใส่ลงในถังน้ำตรงหน้า เมื่อก้อนสมุนไพรตกลงสู่น้ำ มันก็กระจายตัวออก กลายเป็นกลีบดอกไม้ล่องลอยสะพรั่งส่งกลิ่นหอมอยู่ในอ่างน้ำ “ช่างฉลาดยิ่ง” ไท่โฮ่วปรบมือให้กับเต๋อเฟยด้วยความชอบใจ “ก้อนสมุนไพรของเจ้าสมควรมีงานเลี้ยงเปิดตัวให้กับทุกแว่นแคว้นได้รับรู้ ไอเจียจะเป็นผู้จัดงานเปิดตัวให้กับเจ้าเองเต๋อเฟย” “ไท่โฮ่วอย่าได้ทำเกินไปเลยเพคะ หม่อมฉันเพียงแค่ทำใช้เองเป็นประจำเท่านั้น วันนี้เห็นหวงโฮ่วทรงอยากให้แสดงความสามารถของตน หม่อมฉันที่ไม่รู้ว่าตนเองโดดเด่นด้านใด จึงได้แบ่งปันของที่ใช้ให้ผู้อื่นได้ลองใช้ก็เท่านั้น ไม่ได้คาดหวังให้มีงานเลี้ยงเปิดตัวอะไรทั้งนั้นเพคะ” “เจ้าจะทำเพื่อหญิงชราอย่างไอเจียไม่ได้เลยหรือ” เมื่อเต๋อเฟยเล่นบทถ่อมตัว ไท่โฮ่วก็ดึงเอาความชราภาพของตนเองมาบังคับ “เรื่องนี้หม่อมฉันคงต้องแล้วแต่ฝ่าบาทกับหวงโฮ่วตัดสินใจเพคะ” “ว่าอย่างไรหวงตี้ เจ้าทำเพื่อแม่ได้หรือไม่” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นหนังตากระตุกเพราะคำพูดของไท่โฮ่ว นางไม่เข้าใจว่าเรื่องทั้งหมดมันเกี่ยวกับไท่โฮ่วตรงไหน เพราะงานเลี้ยงอะไรนั่น มันเพื่อเต๋อเฟยคนเดียวมิใช่หรือ แล้วจากคนทั้งหมดแปดคนก็ไม่ใช่แค่เต๋อเฟยคนเดียวเสียหน่อยที่มีผลงาน เหตุใดถึงต้องคอยเอาอกเอาใจกับเพียงแค่คนคนเดียว แต่ถ้าหากไท่โฮ่วอยากจะให้เต๋อเฟยมีหน้ามีตาข้ามหน้านางมากนักละก็ หวงโฮ่วอย่างนางก็พร้อมจัดให้ “ฝ่าบาทว่าอย่างไรเพคะ” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นหันไปหาลี่กุนจวิ้นเฉินพร้อมรอยยิ้มภรรยาผู้แสนดี เป็นสัญญาณบอกให้เขาตามน้ำไท่โฮ่วไปก่อน “ตามแต่เสด็จแม่ต้องการเลยพ่ะย่ะค่ะ” ไท่โฮ่วหนอไท่โฮ่ว ท่านไม่รู้เลยหรือว่าแรงอิจฉาของสตรีนั้นคมกล้ายิ่งกว่าคมของกระบี่เสียอีก “เจ้าจะเผชิญหน้ากับไท่โฮ่วจริง ๆ หรือ” หลังจากที่ทุกคนกลับไป อุทยานหลวงยามค่ำคืนก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ท่ามกลางความเงียบงัน เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นกับลี่กุนจวิ้นเฉินจึงพากันเดินเลียบเคียงสวนดอกไม้อาบแสงจันทร์กันอยู่สองต่อสอง “ทำไม? หรือท่านเป็นห่วงนาง” “จะผิดไหม หากข้าตอบว่าเป็นห่วงเจ้ามากกว่า” ลี่กุนจวิ้นเฉินตอบคำถามของหญิงสาวข้างกายโดยไม่ต้องคิด เขาอาจเป็นเหมือนบุตรอกตัญญูที่ไม่เข้าข้างมารดาตนเอง แต่มารดาของเขานั้นเป็นหนึ่งในสาเหตุที่เขาเคยคิดจะฆ่าตัวตาย ทว่าเพราะมีเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นคอยห้ามปรามและอยู่เคียงข้างมาโดยตลอด เขาถึงได้มีโอกาสขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิ “นั่นสินะ ไท่โฮ่วเอาแต่ความทุกข์มาลงที่ท่าน” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นพึมพำออกมา ดวงตาหงส์ของนางหันไปมองลี่กุนจวิ้นเฉินด้วยความเป็นห่วง การทะเลาะเบาะแว้งระหว่างไท่ช่างหวังกับไท่โฮ่วนั้นไม่เคยจบลงแค่พวกเขาสองคน ไท่โฮ่วมักจะนำความทุกข์ตรมไประบายกับลี่กุนจวิ้นเฉินตลอด ว่านางนั้นเหนื่อยใจมากแค่ไหนที่ต้องทนอยู่กับไท่ช่างหวัง นางเคยร้องไห้ เคยโมโห แสดงท่าทีไม่น่าดูให้กับลี่กุนจวิ้นเฉินมาตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก ทุกความทุกข์ของนาง คือความทุกข์ของลี่กุนจวิ้นเฉิน เขาทนแบกรับความรู้สึกเหล่านั้นเป็นระยะเวลานาน จนเริ่มคิดว่าตนเองคือสาเหตุที่ทำให้มารดาต้องทรมาน หากไม่มีตนเอง บางทีชีวิตของทั้งสองอาจไม่ต้องทุกข์ทนกันอยู่เช่นนี้ “อืม...” ครั้นหวนนึกถึงเรื่องเก่า ๆ ลี่กุนจวิ้นเฉินก็เริ่มจมอยู่ในความคิดของตัวเอง จนเมื่อรู้สึกถึงมือบางนุ่มที่สัมผัสกุมเข้าที่มือขวา ชายหนุ่มจึงเห็นว่าเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นได้มายืนอยู่ตรงหน้าด้วยท่าทางกังวล “เราสองไม่อาจเลือกเกิดมาได้ แต่เราเลือกที่จะใช้ชีวิตได้ หากใครที่ทำให้เราไม่สบายใจ เช่นนั้นก็ตัดพวกเขาออกไปจากชีวิตเราก็เพียงพอแล้ว ต่อให้ทุกคนทำร้ายท่าน แต่ข้าจะยืนอยู่เคียงข้างท่านไม่ไปไหน” “ข้ารู้ ว่าเจ้าอยู่เคียงข้างข้า เพียงแต่... ฮุ่ยหมิ่น ถ้าเจ้าไปจากวังหลวงแล้ว ชีวิตเจ้าจะดีขึ้น ข้าก็อยากให้เจ้าไปนะ” จู่ ๆ บรรยากาศรอบด้านกลับแปรเปลี่ยนเป็นความขุ่นมัวคุกรุ่น สิ่งที่ไม่เคยออกจากปากลี่กุนจวิ้นเฉินหลุดลอดออกมาคล้ายไม่ทันยั้งคิด ร่างทั้งร่างของเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นสั่นสะท้านระริกไหว ไม่รู้ว่าเพราะลมหนาวพัดผ่านหรือเพราะความรู้สึกในจิตใจที่เป็นสาเหตุ “ท่านพูดอะไรน่ะ” นางไม่เข้าใจ “จากที่ข้าได้เห็นพวกนางแสดงความสามารถออกมา ข้านึกเสียใจที่คนเหล่านั้นต้องมาอยู่ในวังหลวงเป็นได้เพียงไม้ประดับ ถ้าพวกนางเป็นบุรุษ ความสามารถเหล่านั้นคงกลายเป็นที่ชื่นชมเฉิดฉายไปทั่วแคว้น เหมือนกับเจ้า ฮุ่ยหมิ่น... เจ้าดึงความพิเศษจากตัวพวกนางออกมา เจ้ามองเห็นความสามารถในตัวผู้อื่นอยู่เสมอ เพราะอย่างนั้นข้าจึงอยากให้เจ้ามองเห็นความพิเศษในตัวของตนเองบ้าง” มือหนาเลื่อนขึ้นมากอบกุมใบหน้านวลเนียนอย่างอ่อนโยน ฝ่ามืออันอบอุ่นช่วยดับความหนาวเหน็บของร่างบางได้เป็นอย่างดี วังหลวงอาจเต็มไปด้วยสมบัติโอ่อ่า สามารถมีชีวิตที่สะดวกสบาย แต่เพียงแค่นั้นมันเพียงพอแล้วหรือ สตรีมากมายแก่งแย่งแข่งขันเพียงเพื่อจะได้มาเป็นสตรีในวังหลัง แล้วจากนั้นเล่า... ผู้หญิงของหวงตี้ไม่ต่างอะไรกับตุ๊กตา หากเจ้านายไม่หยิบมาเล่น เช่นนั้นก็ไม่มีประโยชน์ ต่อให้มันมีค่ามากเพียงใดก็ตาม “จวิ้นเฉิน ท่านอย่าพูดราวกับจะไล่ให้ข้าจากไป ทั้ง ๆ ที่ข้าเลือกจะอยู่ข้างท่าน” แม้คำพูดของบุรุษหนุ่มเบื้องหน้าจะหวานซึ้ง แต่มันกลับเต็มไปด้วยความขมขื่น และเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นไม่ต้องการได้ยินมันอีกเป็นครั้งที่สอง เพียงแค่ลี่กุนจวิ้นเฉินมีความคิดที่จะไล่นางจากไป เลือดในกายก็เดือดพล่านไปด้วยความไม่พอใจ “ข้าไม่ได้ไล่เจ้า ฮุ่ยหมิ่น ข้าเพียงมอบทางเลือกให้เจ้าเท่านั้น มีสหายที่ดีที่ไหนกันที่ไม่หวังให้อีกฝ่ายพบเจอสิ่งดี ๆ” “ท่านไม่ต้องมาบอกว่าสิ่งใดดีหรือไม่ดีกับข้าจวิ้นเฉิน ข้าเลือกแล้วว่าจะอยู่ที่ไหน จะทำอะไร หรือท่านอยากจะให้ข้าไป ถ้าหากเป็นเช่นนั้นก็กล่าวกันมาตรง ๆ” ความรู้สึกน้อยใจเริ่มกัดกิน เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นจึงตะคอกเสียงสั่นเครือ “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่เคยอยากให้เจ้าจากไปเลย ถ้าหากเป็นไปได้ ข้าอยากจะขังเจ้าไว้กับข้าคนเดียวเสียด้วยซ้ำ” ลี่กุนจวิ้นเฉินกล่าวออกมาเสียงหนักแน่น โดยมือทั้งสองข้างจับอยู่ที่ไหล่บางของเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น ดวงตาของเขาจับจ้องมองนางด้วยความจริงใจอันมั่นคง เผยความรู้สึกที่ปิดกั้นออกมาโดยไม่คิดปิดบัง หากเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นไม่โง่ นางก็ต้องรู้แล้วว่ายามนี้ชายหนุ่มนั้นหมายความว่าอย่างไร ช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา นางจะไม่รู้ได้อย่างไร... “จวิ้นเฉิน...” เสียงหวานนุ่มพึมพำชื่อของชายหนุ่มออกมาแผ่วเบา เพราะนอกจากชื่อของเขานางไม่อาจคิดหาคำอื่นได้อีก การที่ยืนเผชิญหน้ากันด้วยระยะห่างเพียงแค่ลมหายใจ มันหวนให้คิดถึงเรื่องเมื่อคืนนั้นใต้ถ้ำน้ำตก ช่วงเวลาที่ความลับในใจเกือบจะเปิดเผยออกมา แต่สุดท้าย กลับดับหายไปเหมือนกองไฟที่ถูกน้ำสาด “ข้าขอโทษ” บรรยากาศลึกล้ำแตกสลายฉับพลันเมื่อลี่กุนจวิ้นเฉินกล่าวขอโทษออกมาด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด เขาปล่อยมือออกจากร่างบางระหง ถอยห่างออกมายืนในระยะของคำว่าสหายที่ขีดเส้นแบ่งเอาไว้ เขายืนมองนางอยู่เช่นนั้น ด้วยความหวังที่จะได้รับสัญญาณตอบรับจากเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น แต่เมื่อหญิงสาวเลือกที่จะจมอยู่กับความลังเล ชายหนุ่มจึงเลือกจะเดินจากไป ทิ้งให้นางจมอยู่ในความคิดตนเองเพียงลำพัง
已经是最新一章了
加载中