บทที่ 4
คุณบริพัตรประมุขใหญ่แห่งคฤหาสน์จิรภาสหันขวับปิดหน้าจอโน้ตบุ๊กแทบไม่ทันเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูห้องทำงานพร้อมกับร่างบอบบางของบุตรสาวที่เดินเข้ามาโดยไม่ได้เคาะประตูห้องให้ตนเองได้รับรู้
“ทำไมไม่เคาะประตูห้องก่อน”
ด้วยกลัวว่าลูกสาวจะเห็นข้อมูลรูปภาพสินค้าที่ตนเองเปิดค้างอยู่บนหน้าจอผู้ที่เป็นพ่อจึงตวาดบุตรสาวเสียงดังด้วยความลืมตัว
“รัณขอโทษค่ะคุณพ่อ”
รัณชิดาพึมพำขอโทษเสียงแผ่วเบา ใบหน้างามซีดเผือดด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าการเสียมารยาทเพียงเล็กน้อยไม่เคาะประตูห้องจะทำให้บิดาโกรธเธอได้มากถึงเพียงนี้
คุณบริพัตรรู้สึกตัวเมื่อเห็นใบหน้าลูกสาวซีดเผือดหยาดน้ำตาอุ่นเอ่อคลอดวงตาคู่สวย เขารีบลุกขึ้นจากเก้าอี้หนานุ่มตัวใหญ่เดินไปโอบกอดลูกสาวพร้อมกับพึมพำขอโทษ
“พ่อขอโทษลูก พ่อกำลังคิดอะไรเพลินๆ พอหนูเข้ามาไม่ให้สุ้มให้เสียงพ่อเลยตกใจไปหน่อย’
รัณชิดาคลี่ยิ้มหวานออกมาได้ยกมือขึ้นไปกอดรอบเอวบิดาซบหน้ากับอกกว้างรับไออุ่นความรักจากพ่อเข้าสู่กาย
“ไม่เป็นไรค่ะคุณพ่อ รัณก็ต้องขอโทษคุณพ่อเหมือนกันที่เสียมารยาทไม่เคาะประตูห้องก่อน คุณพ่อต้องการพบรัณเรื่องอะไรคะ”
“นั่งก่อนลูก’ ผู้เป็นบิดาดึงร่างบอบบางอรชรอ้อนแอ้นให้ทรุดลงนั่งบนโซฟาหลุยส์ตัวงามราคาแพงก่อนจะเริ่มเรื่องที่ตนเองได้เรียกให้ลูกสาวมาพบ
“อีกสองวันรัณกับคินก็จะเดินทางไปอเมริกาแล้ว พ่ออยากให้รัณดูแลคินให้ดีๆ น้องมุทะลุ โผงผางเอาแต่ใจ รัณต้องอดทนมากๆ นะลูก”
“หนูทราบค่ะ รัณจะดูแลน้องอย่างดี คุณพ่ออย่าห่วงเลยค่ะถึงแม้คินอายุยังน้อยแต่ความคิดความอ่านของคินก็โตเป็นผู้ใหญ่มากแล้ว”
“ได้ยินรัณรับปากแบบนี้พ่อก็นอนตายตาหลับ”
ไม่รู้ว่าเพราะลางสังหรณ์ที่ตนเองสัมผัสได้ตลอดระยะเวลาสี่ห้าวันที่ผ่านมาหรือเปล่าที่ทำให้คุณบริพัตรหลุดปากพูดออกมา
รัณชิดาตกใจหน้าถอดสีกระชับร่างบิดาแน่นพลางเอ่ยห้ามด้วยน้ำเสียงไม่สบายใจ “คุณพ่ออย่าพูดแบบนี้สิคะ คุณพ่อสุขภาพยังแข็งแรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมาย่างกราย คุณพ่อต้องอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้รัณกับคินไปอีกนาน”
‘โรคภัยไข้เจ็บไม่ได้ย่างกรายมาทำลายพ่อ แต่ไข้โป้งที่กำลังจะมาถึงนี่สิที่จะทำให้พ่อไม่ได้อยู่เห็นความสำเร็จของลูกๆ’
คุณบริพัตรเอ่ยตอบบุตรสาวอยู่ในใจอย่างเศร้าๆ เพราะรู้ว่าเพื่อนรักที่ร่วมทำความชั่วค้าอาวุธสงครามด้วยกันมานานนับสิบปีกำลังจะแปรผันเปลี่ยนจากเพื่อนรักมาเป็นอสรพิษเตรียมฉกฆ่าตนเองจึงต้องเรียกลูกมาสั่งเสียไว้ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้พูด
“รัณรับปากพ่อนะลูกไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหนูต้องเรียนให้จบรับปริญญากลับมาและต้องดูแลคินให้ดีที่สุด”
คิ้วโก่งงามดุจคันศรขมวดเข้าหากันจนยุ่งถึงแม้จะสงสัยกับคำพูดราวกับคำสั่งเสียกลายๆ ของบิดา แต่รัณชิดาก็รับปากอย่างเข้มแข้งพร้อมที่จะทำตามคำพูดของตนเองเสมอ
“รัณรับปากค่ะ รัณมีน้องคนเดียวต่อให้รัณลำบากแค่ไหนรัณก็จะให้คินได้อยู่อย่างสุขสบายที่สุด”
“ได้ยินรัณรับปากแบบนี้แล้วก็ทำให้พ่อสบายใจขึ้นมาได้”
คุณบริพัตรแย้มยิ้มออกมาได้กับคำมั่นสัญญาของบุตรสาว เขาเดินกลับไปทรุดตัวลงนั่งหน้าโต๊ะทำงานก่อนเอ่ยปากอนุญาตให้ลูกสาวกลับออกไปได้
“รัณไปพักผ่อนเตรียมตัวเดินทางเถอะลูก พ่อมีเรื่องจะพูดกับหนูแค่นี้”
“ค่ะคุณพ่อ”
รัณชิดารับคำอย่างว่านอนสอนง่ายแต่พอก้าวเดินได้สองสามก้าวก็ต้องหยุดชะงักหันกลับมามองเมื่อบิดาได้เอ่ยเรียกไว้ก่อน
“รัณ เดี๋ยวก่อนลูก”
คุณบริพัตรเอี้ยวตัวหันมามองลูกสาว การเบี่ยงตัวออกจากหน้าจอโน้ตบุ๊กเพียงเล็กน้อยทำให้รัณชิดาได้เห็นภาพบนหน้าจอที่กำลังเปิดหลาอยู่
“รัณจำหนังที่เราสามคนพ่อลูกชอบดูด้วยกันได้ไหม”
“ค่ะ จำได้ค่ะคุณพ่อ’
“ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นกับพ่อ ให้รัณเอาข้อมูลทั้งหมดไปส่งให้คนที่พ่อไว้ใจที่สุดซึ่งพ่อได้ระบุไว้ในนั้นแล้ว”
“คุณพ่อคะ นี่มันเรื่องอะไรกันคะ ทำไมคุณพ่อพูดอะไรแปลกๆ”
เท้าเล็กที่กำลังจะก้าวเดินเข้าไปหาบิดามีอันต้องหยุดชะงักเมื่อถูกบุพการีเอ่ยปากไล่เสียงเย็น
“ไปได้แล้วรัณ อย่าลืมทำตามที่พ่อบอก”
คุณบริพัตรสั่งเสียก่อนจะหันกลับเข้าหาโน้ตบุ๊กยกมือขึ้นโบกไล่บุตรสาวตัดบทการสนทนาหันมาสนใจงานที่ทำค้างอยู่
รัณชิดาจำเป็นต้องก้าวถอยเดินออกจากห้องตามคำสั่งของบิดา แต่ก่อนจะเดินจากไปดวงตาคู่สวยจับจ้องมองไปที่หน้าจอโน้ตบุ๊กอีกครั้งพลางขมวดคิ้วด้วยความสงสัยเพ่งมองให้ชัดว่าตนเองไม่ได้ตาฝาดไป พอก้าวพ้นมาจากห้องทำงานพร้อมกับปิดประตูห้องให้บิดาอย่างเรียบร้อยก็เอ่ยพึมพำกับตนเองด้วยความแปลกใจระคนสงสัย
“คุณพ่อเกี่ยวข้องอะไรกับอาวุธสงครามที่น่ากลัวเหล่านั้น”