บทที่ 7
ภาพของหญิงสาวที่ร่ำไห้น้ำตานองดวงตาบวมช้ำกอดศพบิดาไว้แน่นสร้างความสะเทือนใจให้กับผู้ที่พบเห็นยิ่งนัก โดยเฉพาะผู้พันสิงหนาทที่กัดฟันกรอดกำมือแน่นดวงตาแดงก่ำโทษว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเพราะตัวเขาเอง
ตลอดระยะเวลาสิบปีกว่าของการเป็นนักฆ่ามือหนึ่งผู้ที่ลั่นไกแบบที่เรียกว่า ‘หนึ่งนัด หนึ่งชีวิต’ ได้ทำงานโดยไม่เคยรู้สึกสงสารผู้ที่เป็นเป้าหมาย ทำงานเพราะหน้าที่ปราศจากหัวใจเสมอมา แต่ถึงเวลานี้หัวใจเป็นผู้สั่งและเอาชนะสรรพสิ่งทั้งปวงเมื่อเห็นรัณชิดาถูกเจ้าหน้าที่ตวาดลั่นและผลักเต็มแรง
“คุณ...ถอยออกไป เราจะเอาศพพ่อคุณไปที่โรงพยาบาลให้เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพ”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหลืออดหรือเบื่อหน่ายกับการร่ำไห้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดของหญิงสาว เจ้าหน้าที่หนุ่มคนหนึ่งจึงได้แสดงกิริยาหยาบคายผลักร่างเล็กบอบบางออกเต็มแรงโดยไม่เห็นอกเห็นใจหรือสนใจว่ารัณชิดาจะล้มลงไปกระแทกกับพื้นแข็ง ดีที่มีมือใหญ่เรือนกายกำยำได้ก้าวเข้ามาเป็นเกราะกำบังโอบประคองกอดไม่ให้ร่างบางล้มไปกองอยู่กับพื้น
“กรุณาสุภาพกับคุณผู้หญิงด้วย”
ผู้พันสิงหนาทประคองร่างเล็กไว้ในอ้อมแขนพร้อมกับกัดฟันกรอดเอ่ยเสียงลอดไรฟันดวงตาคมสงบนิ่งไม่ไหวติงดุจทะเลไร้คลื่นในคืนเดือนมืดได้จ้องเขม็งไปยังเจ้าหน้าที่คนดังกล่าว
“คุณเป็นญาติของเธอหรือครับ”
เจ้าหน้าที่หนุ่มถามเสียงอ่อนลงด้วยเกรงกลัวต่อสายตาคมกริบที่จ้องเขม็ง กิริยาท่าทางที่สงบนิ่งทว่าแผ่อำนาจความแข็งแกร่งน่าเกรงขามที่เผยให้เห็นรอบตัวของบุรุษหนุ่มเรือนกายใหญ่โตในชุดสูทสากลทำเอาเจ้าหน้าที่หนุ่มรู้สึกกลัวจนผงะก้าวถอยหลังไปหลายก้าว
“ใช่ ผมเป็นญาติเธอ”
ผู้พันหนุ่มเอ่ยตอบเสียงเย็นพลางหยิบบัตรของตัวเองให้เจ้าหน้าที่ร่วมกตัญญูทุกคนได้เห็น ทั้งที่รู้ว่าการกระทำของตนเองนั้นผิดกฎขององค์กรอย่างมหันต์และเสี่ยงต่อการถูกจับได้แต่เขาก็ยอมเพียงเพื่อให้หญิงสาวในอ้อมแขนได้คลายอาการโศกเศร้าลงบ้าง
“ผมต้องการให้รัณชิดากับน้องรวมทั้งตัวผมได้ขึ้นไปกับรถโรงพยาบาลด้วย”
ยศตำแหน่งที่โชว์บนบัตรข้าราชการซึ่งบ่งบอกว่าเจ้าของบัตรเป็นถึงนาวาเอกผู้พันแห่งราชนาวีไทยทำเอาเจ้าหน้าที่ทุกคนต่างก็ยำเกรงยอมก้าวถอยห่างให้ผู้พันหนุ่มผู้องอาจรวมทั้งญาติของคนตายได้ก้าวขึ้นไปบนรถโรงพยาบาล
รัณชิดาเงยหน้าขึ้นมองบุรุษหนุ่มหล่อเหลาคมเข้มที่ก้าวเข้ามาช่วยเธอไว้อย่างนึกขอบคุณ ดวงตาคู่สวยแดงก่ำบวมช้ำทอดมองบุรุษหนุ่มที่ตนเองไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามแต่กลับทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยได้อย่างประหลาดทั้งๆ ที่เพิ่งพบกันเป็นครั้งแรก
“ขอบคุณค่ะ”
หญิงสาวพึมพำเบาๆ ในลำคอก่อนจะก้าวขึ้นไปบนรถโดยมีมือใหญ่คอยประคับประคองโอบกอดให้เธอได้ขึ้นไปบนรถได้อย่างสะดวก
“คุณเป็นเพื่อนคุณพ่อหรือครับ”
คิวากรเป็นคนแรกที่รู้สึกตัว เขาจ้องมองบุรุษแปลกหน้าเขม็งพร้อมกับเอ่ยทักเมื่อรถได้เคลื่อนตัวออกจากท่าอากาศยานมุ่งตรงไปยังโรงพยาบาลตำรวจ
“เอ่อ...ใช่ครับ”
ผู้พันสิงห์อ้ำอึ้งอยู่นานหลายอึดใจกว่าจะหลุดเสียงตอบมาได้ ในส่วนลึกนึกละอายใจตนเองยิ่งนักที่โกหกเด็กหนุ่ม เขาจะเป็นเพื่อนของเสี่ยบริพัตรได้อย่างไรในเมื่อเขาเป็นนักฆ่าที่มาปลิดชีวิตของบุพการีเด็กหนุ่มก่อนที่จะเปลี่ยนใจในเสี้ยววินาทีสุดท้ายเพราะได้เห็นรอยยิ้มพิมพ์ใจของรัณชิดาซึ่งกำลังนั่งแนบชิดกับเรือนกายกำยำและซบศีรษะลงกับบ่ากว้างแข็งแกร่งของเขา
“ขอบคุณมากนะครับ ผมไม่รู้จะทำยังไงดี เหตุการณ์มันเกิดขึ้นรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน”
คิวากรยกมือไหว้บุรุษหนุ่มหล่อเข้มอย่างสนิทใจ คิดว่าอีกฝ่ายคือคนดีที่เข้ามาช่วยเหลือพวกเขาอย่างใจจริงมิใช่มาเพียงเพื่อต้องการล้างบาปจากการกระทำของตัวเอง
ผู้พันสิงหนาทพยักหน้ารับไหว้รู้ดีว่าสักวันเด็กหนุ่มผู้นี้จะต้องรู้ว่าเขาคือใคร และถึงตอนนั้นเด็กหนุ่มคงไม่พูดไม่ยิ้มและยกมือไหว้เขาดังเช่นที่ได้ทำในวันนี้
“ไม่เป็นไร ผมยินดีช่วยเหลือ”
ผู้พันสิงห์ยิ้มอบอุ่นเป็นมิตรให้กับเด็กหนุ่มก่อนจะก้มลงมองรัณชิดาที่ยังคงสะอื้นร่ำไห้เบาๆ ดวงตาคู่สวยจับจ้องมองที่ร่างไร้วิญญาณของบุพการีโดยเอนศีรษะมาพักพิงกับเรือนกายของเขาอย่างลืมตัว
“ผมเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หักห้ามใจบ้างนะรัณชิดา”
ผู้พันหนุ่มปลอบเสียงอ่อนเอ่ยขอโทษหญิงสาวไปในตัว
ใช่! เขากำลังขอโทษ เขาเสียใจกับการสูญเสียและการเป็นมือสังหารของตนเอง เสียใจที่เป็นผู้ทำให้ใบหน้างามหวานมีรอยเศร้าหมองและน้ำตาเปรอะเปื้อนไปทั่วดวงหน้า เสียใจที่ทำให้ดวงตาคู่สวยต้องบวมแดงก่ำและเสียใจที่ทำให้หัวใจดวงเล็กเปราะบางต้องได้รับความชอกช้ำ มือใหญ่อบอุ่นที่ยกขึ้นลูบไล้แผ่วเบาทั่วแผ่นหลังขณะปลอบประโลมได้แบ่งเบาถ่ายทอดความเจ็บปวดเสียใจให้มาลงที่ตัวเขาเพียงผู้เดียว
รัณชิดาเงยหน้าขึ้นช้าๆ มองบุรุษหนุ่มที่โอบกอดตัวเธอไว้กลายๆ หญิงสาวไม่รู้ตัวเลยว่าตั้งแต่ขึ้นมานั่งบนรถโรงพยาบาลเธอได้ซบศีรษะกับบ่ากว้างเอนกายพักพิงกับเรือนกายของบุรุษหนุ่มผู้นี้ตลอดเวลา สิ่งเดียวที่เธอรับรู้ได้ในขณะที่ตกอยู่ในอ้อมแขนของบุรุษผู้นี้คือความอบอุ่นปลอดภัยและความเจ็บปวดโศกเศร้าที่ค่อยๆ จางหายมลายไปทีละนิดทีละน้อยพร้อมๆ กับมือใหญ่ที่ลูบไล้ปลอบประโลม
“คุณเป็นเพื่อนกับคุณพ่อนานแล้วหรือคะ ทำไมรัณกับคินไม่เคยพบคุณมาก่อน” รัณชิดากระซิบถามแผ่วเบาหลังจากที่นั่งร่ำไห้อยู่นาน
“เอ่อ นานแล้วครับ ผมไม่ค่อยได้ไปเยี่ยมท่านเพราะอยู่เมืองนอกตลอด ผมเพิ่งกลับมาวันนี้กะว่าวันรุ่งขึ้นจะเอาของฝากไปเยี่ยม”
อีกครั้งที่ความละอายใจได้เข้ามาเกาะกุมหัวใจเย็นชาเมื่อต้องเอ่ยโกหกรัณชิดาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“คุณชื่ออะไรคะ รัณกับคินยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย”
รัณชิดาละทิ้งความโศกเศร้ากับการสูญเสียบิดาไปชั่วขณะแต่ถึงกระนั้นน้ำเสียงที่เอ่ยถามบุรุษหนุ่มที่ตนเองคิดว่ามีพระคุณเข้ามาช่วยเหลือในยามที่เธอกับน้องไม่มีใครนั้นเต็มไปด้วยความเศร้าหมองสั่นเครือจากแรงสะอื้นร่ำไห้
ผู้พันหนุ่มลอบถอนหายใจยาวกับคำถามที่ไม่อยากตอบเพราะไม่ใช่วิสัยของนักฆ่าที่จะมาสงสารเห็นอกเห็นใจเอ่ยบอกชื่อตัวเองให้กับผู้ที่เคยเป็นเป้าหมายตัวเองได้รับรู้
“สิงห์...สิงหนาทครับ”
“สิงหนาท”
รัณชิดาทวนคำเสียงแผ่วเบาทว่าหนักแน่นฝืนยิ้มบางๆ ให้กับบุรุษหนุ่มที่ตนเองเพิ่งทราบชื่อเสียงเรียงนามจากนั้นก็เอนกายซบหน้านิ่งกับบ่ากว้างเหมือนเดิม
ผู้พันสิงห์หายใจติดขัดก้มลงมองหญิงสาวในอ้อมแขนดุจสายตาของราชสีห์ที่ได้รับบาดเจ็บน้ำเสียงที่รัณชิดาทวนเรียกชื่อเขาอย่างแผ่วเบาทำให้เขารู้สึกว่าหญิงสาวกำลังจดจำซึมซับชื่อของ ‘ปีศาจร้าย’ ที่เป็นผู้คร่าชีวิตบิดาไปจากเธอเข้าสู่ก้นบึ้งของจิตใจ