บทที่ 8
บรรยากาศงานสวดพระอภิธรรมศพคืนแรกของนักการเมืองชื่อดังอย่างเสี่ยบริพัตรซึ่งถูกพาดหัวข้อข่าวหนังสือพิมพ์ทุกฉบับว่าเป็นการลอบฆ่าด้วยมือปืนฝีมือระดับพระกาฬเต็มไปด้วยแขกเหรื่อข้าราชการ นักการเมืองที่เคยเป็นลูกพี่และลูกน้องของบิดาหญิงสาวซึ่งยืนหน้าเศร้าไร้สีเลือดคอยยกมือไหว้ต้อนรับแขกที่ได้มาร่วมฟังสวดพระอภิธรรมศพ
แต่อนิจจัง! งานศพที่ควรเต็มไปด้วยความโศกเศร้า แขกที่มาร่วมงานควรอยู่ในอาการสงบให้เกียรติแก่ผู้ตายหรือบรรดาญาติๆ ที่ยังมีลมหายใจอยู่กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น บรรดาแขกที่มาร่วมงานทั้งชายและหญิงที่ต่างก็สวมเครื่องเพชรมาโอดโฉมประชันความร่ำรวยใส่กันต่างก็พากันซุบซิบนินทาคนที่สิ้นลมอยู่ในโลงทอง สีหน้าแววตาน้ำเสียงเศร้าสร้อยเห็นอกเห็นใจที่เข้ามาทักทายเอ่ยปลอบบุตรสาวบุตรชายของคนตายล้วนแต่เป็นหน้ากากที่ผู้คนเหล่านี้ได้สวมใส่แสดงออกกับรัณชิดาและคิวากร
คิวากรจ้องมองเขม็งไปยังแขกที่นั่งอยู่ในศาลาด้วยความโกรธเคืองซึ่งเขาแสดงความไม่พอใจออกมาให้เห็นทั้งจากใบหน้าหล่อเหลาและดวงตาสีน้ำตาลเข้ม
“คินรู้นะว่าคนพวกนี้ไม่ได้เสียใจกับการตายของพ่อ พวกเขามาเพื่อสมน้ำหน้าพ่อของเราต่างหาก”
“จุ๊ๆ เบาๆ หน่อยสิคินเดี๋ยวแขกจะได้ยินเข้า”
รัณชิดาเอ็ดน้องชายเสียงแผ่วเบาถลึงตาห้ามปราบไม่ให้น้องชายโวยวายเสียงดังไปกว่านี้ ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่าผู้คนเหล่านี้มางานศพบิดาเธอด้วยมารยาทที่ขัดเสียมิได้แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยังปันน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ เพื่อเดินทางมาร่วมงานศพ
“พี่รัณจะห้ามคินไปทำไมละครับ พี่รัณดูสิคุณหญิงคุณนายทั้งหลายพากันหัวเราะร่าใส่เครื่องเพชรมาอวดกันอย่างสนุกสนานราวกับว่ามาแฟชั่นโชว์ไม่ใช่มางานศพพ่อเรา คินไม่เห็นมีใครตั้งใจฟังพระสวดพระอภิธรรม ไม่เห็นมีใครเสียใจกับการจากไปของพ่อเลยสักคน”
น้ำเสียงตอนท้ายสั่นเครือขณะหันไปมองภาพถ่ายของบิดาที่ตั้งอยู่หน้าโลงศพสีทองและอีกไม่กี่วินาทีต่อมาน้ำตาอุ่นของลูกผู้ชายก็ไหลรินหลุดเสียงสะอื้นร่ำไห้เบาๆ ให้พี่สาวได้ร้องไห้ตาม
รัณชิดาโอบแขนไปรอบบ่ากว้างของน้องชายพร้อมกับเอ่ยปลอบเสียงสั่นเครือ หยาดน้ำตาใสร่วงเผาะเป็นทางยาวตามร่องแก้มขาวซีด
“ใครจะเป็นไงก็ช่างเขาเถอะ คินอย่าไปสนใจเลย ใครไม่รักพ่อไม่ศรัทธามางานศพเพียงเพราะคำว่าสังคมหรือหน้าที่ก็ปล่อยเขาไป แม้จะไม่มีพ่อแล้วแต่เราก็ต้องทำหน้าที่ของลูกให้สมบูรณ์ที่สุด”
“คินทำใจยังไม่ได้พี่รัณ พ่อไม่ควรจากเราไปเร็วแบบนี้ คินวาดฝันนับร้อยๆ ภาพ คิดถึงรอยยิ้มแห่งความสุขนึกถึงวันที่เราสองคนเรียนจบจากอเมริกาแล้วมีพ่อยืนกอดเราทั้งสองถ่ายรูปครอบครัวร่วมกันอย่างมีความสุข”
ความฝันที่เคยวาดไว้มีอันต้องพังทลายลงพร้อมกับการจากไปของบุพการีที่รัก เด็กหนุ่มไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าครอบครัวของตนต้องมาเจอกับพายุร้ายที่ซัดกระหน่ำทำลายความฝันไปเสียสิ้น
“พี่ก็ฝันเหมือนคิน พี่รู้ว่าวันที่เราสองคนรับปริญญาจะเป็นวันที่พ่อมีความสุขและยิ้มได้สดใสที่สุดในชีวิตของพ่อ แต่ตอนนี้มันไม่เป็นแบบนั้นแล้วคิน เราสองคนไม่เหลือใครอีกแล้ว”
รัณชิดาโผเข้ากอดน้องชายสะอื้นฮักจนร่างบอบบางสั่นสะท้านดวงตาพร่ามัวด้วยหยาดน้ำตาอุ่นตกอยู่ในอาการหมองเศร้าจนไม่รับรู้ถึงการมาของบุรุษหนุ่มที่กำลังก้าวเดินช้าๆ มาหยุดนิ่งยืนอยู่ด้านหลังในรัศมีที่จะได้ยินเสียงการสนทนาของพวกเธออย่างชัดเจน
“คิน นั่นเพื่อนๆ ของคินใช่ไหม คินออกไปรับเพื่อนก่อนนะ เดี๋ยวพี่จะดูแลแขกทางนี้เอง”
รัณชิดารีบเช็ดน้ำตาของตนเองพร้อมกับเอื้อมไปเช็ดน้ำตาให้น้องชายเมื่อได้เห็นแขกกลุ่มใหญ่ที่เป็นเพื่อนเรียนสมัยมัธยมของน้องชายซึ่งกำลังเดินรวมกลุ่มกันมาเกือบๆ ยี่สิบคนและก่อนที่คิวากรจะผละไปต้อนรับเพื่อนๆ ที่มีน้ำใจเดินทางมาร่วมงานศพ รัณชิดาได้รั้งร่างใหญ่โตของน้องชายมากอดอีกครั้งพร้อมกับเอ่ยให้กำลังใจ
“คินต้องเข้มแข็งนะ ถึงไม่มีพ่อแล้วแต่คินก็ยังมีพี่อีกคน”
คิวากรพยักหน้ารับทั้งน้ำตาไม่อายที่จะร้องไห้เสียน้ำตาแห่งลูกผู้ชายให้กับบิดาที่เคารพรักน้ำเสียงที่เอ่ยตอบพี่สาวนั้นสั่นเครือตามแรงสะอื้น
“คินจะเข้มแข็งเหมือนที่พ่อสั่งสอนไว้ ต่อไปนี้คินจะเป็นคนดูแลพี่รัณเอง”
“ไปรับเพื่อนๆ เถอะแล้วก็หาอะไรทานบ้างนะ”
“พี่รัณก็เหมือนกัน พี่ต้องทานอะไรบ้าง คินรู้ว่าพี่รัณไม่ได้ทานข้าวตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”
คิวากรเอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วงสวมกอดพี่สาวไว้อีกครั้งก่อนจะผละออกไปต้อนรับเพื่อนๆ ซึ่งกำลังลงชื่อแสดงความเสียใจบนสมุดบันทึก
ผู้พันสิงหนาทถึงกับหน้าเผือดไปกัดฟันแน่นด้วยความรู้สึกผิดหลังจากที่ได้แอบฟังสองพี่น้องสนทนากันอยู่นาน รู้ดีว่าตนเองนั้นได้มีส่วนร่วมในการทำลายความฝันของสองพี่น้องให้แตกกระจายกลายเป็นเศษธุลี เขาอยากเอื้อมมือไปช่วยซับหยาดน้ำตาใสที่เกาะแพรวพราวทั่วดวงตาคู่สวยก่อนจะเกลือกกลิ้งหยดลงมาตามพวงแก้มขาวซีด