บทที่ 9
“น้องรัณ พี่เสียใจด้วย” ถึงแม้นจะเป็นคำพูดสั้นๆ แต่ก็เป็นถ้อยวาจาที่กลั่นกรองมาจากก้นบึ้งของจิตใจนักฆ่าผู้ที่ไม่เคยเอ่ยเสียใจและมอบความเมตตาปรานีให้กับเหยื่อ
รัณชิดาหันขวับมองตามที่มาของเสียงที่ลอยมาพร้อมกับสายลมในยามค่ำคืน พอได้เห็นบุรุษหนุ่มที่เพิ่งรู้จักกันแค่ไม่กี่วันก็คลี่ยิ้มบางๆ ด้วยความดีใจ หัวใจดวงเล็กที่ไร้กำลังใจจากการสูญเสียบิดากลับชุ่มชื่นมีเรี่ยวแรงที่จะหยัดกายต่อสู้เมื่อได้เห็นรอยยิ้มอบอุ่นละมุนละไมที่บุรุษหล่อเข้มได้มอบให้กับเธอ
“ขอบคุณค่ะพี่สิงห์ รัณนึกว่าพี่สิงห์จะไม่ว่างมาฟังสวดพระอภิธรรม”
“พี่ตั้งใจจะมาตั้งแต่หัวค่ำแล้ว แต่เพราะติดธุระสำคัญนิดหน่อยเลยปลีกตัวมาไม่ได้สักที”
ผู้พันสิงหนาทยิ้มอบอุ่นจริงใจพลางยื่นซองขาวเพื่อช่วยงานศพ ขณะเอ่ยตอบเสียงแผ่วเบา ดวงตาคมของนักฆ่าก็กวาดมองอย่างรวดเร็วเข้าไปในศาลาวัดจดจำแขกคนใหญ่คนโตที่เดินทางมาฟังสวดพระอภิธรรมศพ ดวงตาคมดุจพญาเหยี่ยวจ้องมองแขกผู้ชายรายตัวด้วยเกรงว่านักฆ่าคนอื่นที่มีความเชี่ยวชาญด้านการกำจัดเหยื่อในระยะกระชั้นชิดจะปะปนมากับแขกเหล่านี้เพื่อทำงานให้เสร็จสิ้นตามคำสั่งของนาย
“ธุระพี่สิงห์เสร็จเรียบร้อยหรือยังคะ รัณกับคินเกรงใจ เมื่อวานพี่สิงห์ก็อดหลับอดนอนช่วยเหลือรัณมาทั้งคืนแล้ว”
รัณชิดาเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงซาบซึ้งในน้ำใจของบุรุษผู้นี้ที่อยู่เป็นธุระเรื่องจัดการศพของบิดาเธอทั้งคืนแม้กระทั่งเรื่องการติดต่อจองศาลาวัดสำหรับการจัดงานศพ สิงหนาทก็เป็นผู้จัดการให้ทุกอย่าง
“เอ่อ...เรียบร้อยแล้วครับ” น้ำเสียงที่เอ่ยตอบนั้นติดอ้ำอึ้งอยู่เล็กน้อย ดวงตาคมหลบนัยน์ตาหวานที่ทอดมองด้วยความเป็นห่วงเนื่องจากธุระสำคัญที่เขาบอกรัณชิดาไปเมื่อสักครู่คือการเข้าไปชี้แจงให้ท่านนายพลธีรกรรับรู้ว่าทำไมเขาถึงไม่ฆ่าเป้าหมายทั้งสามชีวิต
“พี่สิงห์ทานอะไรมาหรือยัง รัณให้นมอุ่นทำกระเพาะปลากับข้าวต้มทรงเครื่องเลี้ยงแขกที่มางานศพ พี่สิงห์รับสักถ้วยไหมคะ”
“เอาไว้ทานหลังแขกคนอื่นกลับแล้วก็ได้ น้องรัณล่ะทานหรือยัง ตะกี้พี่ได้ยินคินบอกว่าไม่ได้ทานอะไรมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”
ผู้พันสิงห์เอื้อมมือไปจับต้นแขนเนียนขาวผ่องให้ขยับเดินมาอยู่ตรงมุมมืดห่างไกลสายตาผู้คนเล็กน้อยด้วยไม่อยากให้แขกคนอื่นที่อาจจะเป็น ‘สาย’ ของท่านนายพลธีรกรได้รับรู้ว่าเขาเดินทางมาแสดงความเสียใจกับเป้าหมายที่ตนเองเคยรับหน้าที่เป็นผู้ลงมือสังหาร
“รัณทานไม่ลงค่ะพี่สิงห์”
รัณชิดาเงยหน้าขึ้นมองบุรุษหนุ่มพร้อมกับกระซิบตอบเสียงเศร้าอยากซบหน้าลงกับอกกว้างแข็งแกร่งแล้วร่ำไห้กับสิ่งที่ตนเองสูญเสียอย่างไม่อาจเรียกกลับคืนมาได้
ราวกับหัวใจสองดวงสื่อประสานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ผู้พันสิงหนาทรับรู้ได้ถึงสิ่งที่รัณชิดาโหยหา มือใหญ่กุมมือเล็กไว้ถ่ายทอดความห่วงใยความอบอุ่นให้กับหญิงสาวขณะเดียวกันก็แบ่งเบาความเจ็บปวดความหมองเศร้าให้มาลงที่ตัวเขาแต่เพียงผู้เดียว
“น้องรัณต้องทานข้าวบ้างนะครับ ถ้าหากไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยจะทำให้ไม่สบายเอา”
“รัณไม่หิวจริงๆ ค่ะ”
“ไม่หิวก็ต้องทาน ถ้าหากน้องรัณไม่สบายคนที่แย่ก็คือคิน ตอนนี้น้องรัณเป็นเสาหลักให้คินได้พักพิงถ้าหากน้องรัณล้มไปอีกคนแล้วใครจะดูแลคิน”
ด้วยรู้ว่ารัณชิดารักน้องชายยิ่งนัก ผู้พันหนุ่มจึงฉลาดเอ่ยเตือนแกมข้อร้องโดยใช้คิวากรเป็นข้ออ้าง เขาอยากจะเอื้อนวาจาบอกให้หญิงสาวได้รู้ยิ่งนักว่าถ้าหากเธอเป็นเสาหลักให้กับครอบครัวตัวเขาเองก็พร้อมที่จะเป็นผืนแผ่นดินที่โอบกอดประคับประคองให้เสาต้นนี้ได้ยืนหยัดอยู่อย่างมั่นคงไม่โอนเอนล้มลงไม่ว่าต้องลมพายุหนักหนาสักเพียงใด
รัณชิดาสะอื้นกับถ้อยคำเอ่ยเตือนของสิงหนาท “รัณสงสารน้อง คินอยากเป็นนักบิน เขาฝันมาตั้งแต่เด็กว่าอยากขับเครื่องบินลำใหญ่ส่งผู้คนไปยังดินแดนที่พวกเขาต้องการเดินทางไป แต่ความฝันของคินคงไม่มีทางเป็นไปได้แล้ว”
ผู้พันสิงห์ระงับความรู้สึกผิดไว้ในใจก่อนจะเอ่ยถามแผ่วเบา “ทำไมหรือน้องรัณ”
“ไม่รู้ค่ะ รัณสังหรณ์ใจว่าเสร็จจากงานศพของคุณพ่อแล้วรัณกับน้องต้องเจออะไรอีกมากมายที่กำลังคืบคลานเข้าหาครอบครัวเราอย่างช้าๆ”
รัณชิดากระซิบตอบ ดวงตาคู่สวยที่กำลังทอดมองไปยังน้องชายมีหยาดน้ำตาเอ่อคลอ ลางสังหรณ์ที่เริ่มชี้บ่งบอกให้รู้ว่าครอบครัวเธอจะไม่ได้สุขสบาย คิวากรจะไม่มีเงินทองจับจ่ายใช้สอยสะดวกมือเหมือนสมัยที่บิดามีชีวิตอยู่ทำให้หญิงสาวหลุดเสียงสะอื้นร่ำไห้ออกมาเบาๆ
ผู้พันสิงหนาทขบกรามด้วยความสะเทือนใจ ลางสังหรณ์ของรัณชิดากำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ถ้าหากทางการมีหลักฐานหนาแน่นชี้บ่งว่าคนตายค้าอาวุธสงคราม อาณาจักรของเสี่ยบริพัตรจะถูกยึดเป็นของหลวงเนื่องจากสิ่งเหล่านี้เสี่ยบริพัตรได้ใช้เงินสกปรกจากการค้าอาวุธสงครามซื้อหามา
“แล้วน้องรัณละครับ น้องรัณฝันอยากเป็นอะไร”
“รัณอยากเป็นนักประพันธ์บทละคร คงจะดีไม่น้อยถ้าหากมีผลงานของเราออกสู่สายตาประชาชนได้ชื่นชมกันทั่วทั้งประเทศ” รอยยิ้มหวานปรากฏขึ้นทั่วดวงหน้างามลออ ดวงตาคู่สวยภายใต้กรอบขนตายาวงอนเปล่งประกายสุกสกาวขณะได้เอ่ยเล่าถึงสิ่งที่ตนเองใฝ่ฝันที่จะเป็น
“รัณกับคิน คงทำตามความฝันของตัวเองไม่ได้ ขาดพ่อไปแล้วพวกเราสองคนพี่น้องต้องช่วยกันบริหารธุรกิจต่อจากพ่อ”
“ถ้าจำไม่ผิดคุณพ่อน้องรัณทำธุรกิจส่งออกอาหารแช่แข็งใช่ไหมครับ”
ผู้พันสิงห์ขยับตัวอย่างระมัดระวังขณะแกล้งเอ่ยถามหยั่งเชิงหญิงสาว มือใหญ่ที่กุมมือนุ่มไว้บีบเข้าหากันแน่น ดวงตาคมทอดมองลึกเข้าไปในดวงตากลมโตพยายามเสาะแสวงหาความจริงที่ตนเองนึกหวาดหวั่นระคนปวดร้าว
รัณชิดารู้หรือไม่ว่าบิดาตัวเองเป็นนักค้าอาวุธสงครามและถ้าหาก ‘รู้’ หญิงสาวเต็มใจพร้อมที่จะเดินตามรอยเท้าพ่อหรือเปล่า ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนั้นเขาคงจะเข้าไปปกป้องเธอจากน้ำมือของนายและผู้กองดนิษฐ์ไม่ได้
“ใช่ค่ะ รัณยังไม่รู้เลยว่าจะบริหารงานต่อจากคุณพ่อได้หรือเปล่า รัณไม่ถนัดเรื่องการทำธุรกิจกลัวว่าถ้าเข้าไปบริหารงานแล้วจะทำให้ธุรกิจของคุณพ่อพังเอา”
ผ้าที่ขาวสะอาดบริสุทธิ์ยังคงเป็นเช่นนั้นเหมือนเดิมเพราะตอนที่มีชีวิตอยู่ผู้ที่เป็นบิดาได้ปิดบังอย่างดีไม่ให้ลูกๆ ทั้งสองได้รับรู้ธุรกิจผิดกฎหมายที่ตัวเองทำ
รัณชิดามัวแต่เป็นกังวลกับอนาคตที่รออยู่เบื้องหน้าเลยไม่มีโอกาสได้เห็นใบหน้าคมเข้มของผู้พันสิงหนาทที่คลี่ยิ้มออกมาได้อย่างโล่งอก
“น้องรัณต้องสู้นะครับ ไม่มีใครทำอะไรเป็นตั้งแต่เกิดหรอก เราต้องค่อยๆ เรียนรู้ ค่อยๆ ศึกษาไป พี่คิดว่าไม่นานเกินรอน้องรัณก็จะสามารถบริหารงานต่อจากคุณพ่อได้”
รอยยิ้มอบอุ่นระบายให้เห็นทั่วใบหน้าคมขณะที่เอ่ยปลอบระคนให้กำลังใจหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างกาย แม้ยังเชื่อไม่สนิทใจว่ารัณชิดาจะไม่มีส่วนรู้เห็นธุรกิจด้านมืดของบิดาแต่เขาก็ยังมีเวลาเหลืออีกมากที่จะพิสูจน์ความจริง
“ขอบคุณพี่สิงห์มากค่ะ รัณจะพยายามทำให้ดีที่สุด เอ่อ...ตอนนี้พี่สิงห์ทำงานอะไรอยู่คะ”
รัณชิดาเงยหน้าขึ้นพร้อมกับมอบรอยยิ้มหวานพิมพ์ใจให้กับผู้พันหนุ่มและกว่าจะเอ่ยถามประโยคต่อท้ายได้ก็อึกอักติดขัดอยู่ในลำคอเป็นนาน
ผู้พันสิงหนาทถึงกับนิ่งงันตัวชาเมื่อได้เห็นรอยยิ้มพิมพ์ใจพิมพ์เดียวกันที่เขาได้เห็นในวันที่หญิงสาวก้าวลงจากรถตู้ซึ่งเป็นรอยยิ้มที่สามารถทำให้โลกสว่างสดใสและในขณะเดียวกันก็เป็นรอยยิ้มเดียวที่ทรงอิทธิพลทำให้เขาจงใจละทิ้งหน้าที่เป็นครั้งแรกในชีวิตของการเป็นนักฆ่า
“พี่สิงห์คะ”
รัณชิดาหน้าเสียเล็กน้อยเมื่อเอ่ยถามไปก่อนหน้านี้แล้วแต่ยังไม่ได้รับคำตอบจากบุรุษหนุ่มนอกจากความนิ่งเงียบแค่เพียงอย่างเดียว
“เอ่อ...น้องรัณถามพี่ว่าไงนะครับ ตะกี้พี่ไม่ทันได้ฟัง พี่ขอโทษด้วย”
ผู้พันสิงห์ยิ้มเก้อเขินยอมรับว่าไม่ได้ฟังจริงๆ ว่าหญิงสาวถามว่าเช่นไร รอยยิ้มหวานกอปรกับกลิ่นหอมอ่อนๆ จรุงใจทำเอาเขาเลือนๆ ว่ากำลังคุยเรื่องอะไรอยู่
รัณชิดาคลี่ยิ้มให้ผู้พันหนุ่มก่อนจะเอ่ยพูดต่อ “รัณถามว่าพี่สิงห์ทำงานอะไร ถ้าหากพี่สิงห์ยังไม่มีงานทำ รัณอยากให้พี่สิงห์มาช่วยบริหารงานที่บริษัทของคุณพ่อ”
ด้วยคิดว่าอีกฝ่ายเพิ่งกลับจากเมืองนอกตามที่เคยบอกไว้และอาจยังไม่มีงานทำ รัณชิดาจึงได้เอ่ยปากชวนโดยหารู้ไม่ว่าสิ่งที่เธอถามและเสนอไปนั้นทำให้ผู้พันสิงหนาทอึกอักต้องหลบตาคนถามให้วุ่นไปหมด
“ขอบคุณน้องรัณที่เสนองานให้ แต่พี่สิงห์มีงานทำแล้ว”
ใช่! เขามีงานทำแล้วเป็นข้าราชการในราชนาวีไทยซึ่งเป็นหน้าที่การงานที่เขาภาคภูมิใจไม่เคยละทิ้งหน้าที่แม้แต่ครั้งเดียว แต่สำหรับการเป็นนักฆ่านั้นเป็นงานที่นอกเหนือจากหน้าที่ซึ่งเขาได้รับทำให้ท่านนายพลธีรกรคนเดียวเท่านั้นและเป็นการทำเพราะต้องการช่วยกำจัดเศษสวะออกไปจากแผ่นดินไม่ใช่ทำเพราะคำว่า ‘เงิน’
“เสียดายจังเลยที่พี่สิงห์มีงานทำอยู่แล้ว บอกตามตรงนะคะว่ารัณอยากให้พี่สิงห์มาอยู่ใกล้ๆ รัณรู้สึกปลอดภัยทุกครั้งที่มีพี่สิงห์อยู่ด้วย”
ผู้พันสิงหนาทขบกรามแน่น ใบหน้าคมเข้มเบือนหนีจากดวงหน้างามลออด้วยความละอายใจกับคำพูดใสซื่อของหญิงสาว ถ้าหากรัณชิดารู้ความจริง เธอคงไม่พูดหรือมองเขาด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความชื่นชมเหมือนเช่นตอนนี้