บทที่ 10
คิวากรละสายตาจากการดูแลต้อนรับเพื่อนๆ ที่มาร่วมงานศพหันมามองพี่สาวด้วยความเป็นห่วงและเมื่อเห็นผู้ที่ยืนเคียงข้างกุมมือพี่สาวตนเองไว้ก็คลี่ยิ้มออกมาด้วยความดีใจรีบเดินตรงดิ่งมาหาผู้พันหนุ่มทันที
“พี่สิงห์ สวัสดีครับ คินนึกว่าพี่สิงห์จะไม่มางานศพคุณพ่อแล้ว”
เด็กหนุ่มยกมือไหว้อย่างนอบน้อมเอ่ยทักทายด้วยความดีใจที่ได้เห็นคนที่ตนเองนับถือยกย่องไม่ต่างจากพี่ชาย ตอนนี้ชายหนุ่มที่เขารู้จักแค่เพียงชื่อเป็นยิ่งกว่าพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยเหลือตนเองและพี่สาวในยามคับขัน ถ้าหากไม่ได้พี่สิงห์คอยช่วยเหลือเรื่องงานศพ พวกเขาสองพี่น้องก็ยังคงช็อกมืดแปดด้านจับต้นชนปลายไม่ถูกไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหนดี
ผู้พันสิงหนาทคลี่ยิ้มตรงมุมปากพยักหน้ารับไหว้พลางตบลงไปเบาๆ ตรงบ่ากว้างของคิวากรก่อนจะเอ่ยตอบและถามด้วยความเป็นห่วง
“พี่ต้องมาสิ แต่มาช้าหน่อยเพราะพี่ติดธุระสำคัญ คินเป็นไงบ้าง”
“ยังแย่เหมือนเดิมครับพี่สิงห์ คินไม่คิดว่าคุณพ่อจะจากไปเร็วแบบนี้ คินยังคิดอยู่เลยว่านี่เป็นความฝัน เป็นฝันร้ายที่สุดในชีวิตของผม” คิวากรหันไปมองภาพของบิดาที่ตั้งหน้าโลงศพ น้ำเสียงที่เอ่ยตอบนั้นสั่นเครือดวงตาแดงก่ำด้วยอาการกล้ำกลืนน้ำตาให้ไหลย้อนกลับพยายามไม่ร้องไห้ให้พี่สาวได้เห็น
“พี่รู้ว่าเป็นสิ่งที่ทำใจได้ยาก พี่เองก็เคยสูญเสียพ่อกับแม่ทีเดียวพร้อมๆ กัน คินต้องเข้มแข็งนะต้องดูแลพี่รัณให้ดี”
คิวากรเหลือบสายตามองมือใหญ่อีกข้างของผู้พูดที่ยังคงกุมมือเล็กของพี่สาวตนเองไว้แล้วเงยหน้าขึ้นตีสีหน้าจริงจังร้องขอแกมอ้อนวอนไปในตัว
“พี่สิงห์ดูแลพี่รัณแทนผมไม่ได้หรือครับ”
“คิน! ไปขอร้องพี่สิงห์แบบนั้นได้ไง” รัณชิดาอายหน้าแดงก่ำตกใจกับความคิดของผู้ที่เป็นน้อง หญิงสาวรีบขึงตาเอ่ยห้ามปรามพร้อมกันนั้นก็ตีลงไปเบาๆ บนต้นแขนของน้องชาย
คิวากรลูบต้นแขนตนเองมองพี่สาวกับผู้พันหนุ่มตาปรอย “ทำไมละครับพี่รัณ ก็คินอยากให้มีใครสักคนที่เข้มแข็งมากพอที่จะปกป้องพี่รัณได้”
“พี่ดูแลตัวเองได้ คินเองก็แข็งแกร่งพอที่จะดูแลพี่เช่นเดียวกัน ไม่ต้องให้ใครมาดูแลพี่อีกหรอก”
รัณชิดาค้านเสียงอ่อนรู้สึกเกรงใจบุรุษที่ยืนแนบชิดกาย เธอไม่กล้าหันไปมองอีกฝ่ายด้วยเกรงว่าจะพบกับกระแสแห่งความไม่พอใจที่สิงหนาทแสดงออกมาให้เห็นขณะที่ถูกน้องชายเธอขอร้อง
“คินยังไม่เข้มแข็งไม่แกร่งพอที่จะดูแลพี่รัณ คินประคับประคองพี่รัณได้ในยามต้องคลื่นลมบางเบา หากเมื่อใดที่พี่รัณต้องพายุฝนถาโถมซัดกระหน่ำรุนแรง ถึงตอนนี้คินคงประคองพี่รัณไม่ไหว”
คิวากรหันไปมองผู้พันสิงหนาทด้วยสายตาอ้อนวอนแล้วเอื้อมมือไปจับมือหนาให้มากอบกุมมือนุ่มของพี่สาวไว้ทั้งสองข้างก่อนจะขอร้องอีกครั้ง
“พี่สิงห์ครับ คินนับถือพี่สิงห์เป็นเหมือนพี่ชายคนหนึ่ง ถ้าหากไม่ลำบากเกินไปสำหรับคำขอร้องของคิน พี่สิงห์รับปากได้ไหมครับว่าจะดูแลพี่รัณให้ดีสุด”
ผู้พันสิงหนาทคลี่ยิ้มอบอุ่นให้ทั้งสองพี่น้อง มือใหญ่ที่กุมมือเล็กไว้บีบลงไปเบาๆ ขณะที่เอ่ยให้คำมั่นสัญญาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“พี่สิงห์ให้สัญญาว่าจะดูแลพี่รัณรวมทั้งตัวคินให้ดีที่สุด”
‘นั่นเพื่อเป็นการชดเชยในสิ่งที่พี่ได้คิดฆ่าพ่อของคิน’
ผู้พันสิงห์เอ่ยต่อท้ายอยู่ในใจ นับต่อแต่นี้ไปชีวิตของรัณชิดาจะอยู่ในความรับผิดชอบของเขา สองมือที่เคยคิดสังหารพ่อของเธอจะแปรเปลี่ยนเป็นสองมือที่คอยประคับประคองให้รัณชิดาได้ก้าวเดินต่อไป
รัณชิดายิ้มหวานซาบซึ้งใจกับคำมั่นสัญญาที่บุรุษผู้นี้ได้เอ่ยไว้อย่างหนักแน่น “ขอบคุณพี่สิงห์มากค่ะ รัณไม่คิดว่าจะเจอคนที่ใจดีและจริงใจกับครอบครัวของรัณแบบนี้”
อีกครั้งที่ผู้พันสิงหนาทต้องเบือนหน้าหนีจากใบหน้างามลออดวงตากลมโตสุกสกาวที่กำลังทอดมองด้วยความภักดีซึ่งทำให้เขาละอายใจต่อการกระทำของตนเองที่ไม่สมควรได้รับแม้แต่คำว่า ‘ขอบคุณ’
“พระสวดจบแล้ว น้องรัณกับคินไปส่งแขกก่อนไหมครับ”
ผู้พันหนุ่มเบนความสนใจและความเจ็บปวดรู้สึกผิดของตนเองไปอีกทางสะกิดให้สองพี่น้องได้สนใจไปในบริเวณศาลาตั้งศพซึ่งตอนนี้เสียงสวดพระอภิธรรมได้จบลงแล้ว
“แย่จังเลย รัณชวนพี่สิงห์คุยตั้งนาน พี่สิงห์ยังไม่ได้เข้าไปจุดธูปเลย พี่สิงห์ไปพร้อมกับรัณตอนนี้ไหมคะ” รัณชิดารู้สึกผิดต่อบิดายิ่งนักที่ตนเองนั้นมัวแต่ดีใจที่ได้เห็นบุรุษหนุ่มผู้นี้จนลืมแม้กระทั่งการเชิญให้อีกฝ่ายไปเคารพศพ
“ไม่เป็นไรหรอกน้องรัณ อย่าคิดมากถือว่าพี่เป็นคนในครอบครัวก็แล้วกัน เอาไว้ให้แขกกลับหมดก่อนแล้วพี่จะเข้าไปจุดธูป น้องรัณกับคินไปดูแลแขกก่อนเถอะท่าทางกำลังจะกลับแล้ว”
ผู้พันสิงห์ยิ้มอบอุ่นให้หญิงสาวคลายกังวล ดุนแผ่นหลังเนียนเรียบให้รัณชิดาก้าวเดินไปยังศาลา พอสองพี่น้องเดินจากไปแล้วเขาก็ทำตัวเป็นมนุษย์ล่องหนหลบเข้าไปอยู่มุมมืดห่างไกลจากศาลาตั้งศพด้วยไม่ต้องการให้ใครเห็น แต่กระนั้นดวงตาคมก็ยังคงจับจ้องทอดมองแน่นิ่งที่เรือนร่างอรชรใบหน้างามลออของรัณชิดาตลอดเวลา
รัณชิดากับคิวากรได้เข้าไปขอบคุณแขกทุกท่านที่มาร่วมงานศพ พอแขกทยอยกลับเกือบหมดแล้วทั้งสองจึงเข้าไปพูดคุยกับนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่งซึ่งครอบครัวของเธอได้รู้จักสนิทสนมเป็นอย่างดี นายตำรวจท่านผู้นี้เป็นอีกคนที่ทั้งสองพี่น้องยกมือไหว้ได้อย่างสนิทใจนอกเหนือจากสิงหนาท
แม้จะทำใจยอมรับมาบ้างแล้วว่าบิดาถูกลอบฆ่าแต่เมื่อได้รับรู้ความจริงแกมคำเอ่ยเตือนให้ระวังตัวมากเป็นพิเศษ ทั้งรัณชิดาและคิวากรก็หน้าถอดสี กระดาษที่ว่าขาวยังไม่เท่ากับสีหน้าของสองพี่น้องคู่นี้
“มันตั้งใจจะเก็บเราสองคนด้วยงั้นหรือ”
รัณชิดาครางเสียงอ่อนทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง หญิงสาวคิดไม่ออกว่าครอบครัวของเธอไปทำร้ายใครให้เจ็บแค้นมากมายถึงขั้นต้องฆ่าล้างโคตรเช่นนี้
“พ่อไม่เคยทำร้ายใคร ทำไมพวกเขาต้องฆ่าพ่อด้วย”
รัณชิดายันกายลุกขึ้นเดินโผเผไปทรุดตัวลงนั่งหน้าโลงศพบิดา หยาดน้ำตาอุ่นไหลร่วงพร่างพรูลงมาตามร่องแก้มด้วยความสงสารพ่อ
คิวากรกัดฟันกรอดดวงตาลุกวาวแข็งกร้าวด้วยไฟโทสะ เขาสาวเท้าช้าๆ แล้วทรุดตัวลงนั่งใกล้พี่สาว จ้องเขม็งที่รูปของบิดาก่อนจะเอ่ยอาฆาตเสียงดัง
“คินจะสืบรู้ให้ได้ว่ามันเป็นใคร มันทำอะไรกับเราไว้คินจะตอบแทนกลับคืนหลายสิบเท่า”
คำสาบานของคิวากรทำให้ผู้พันสิงหนาทชะงักฝีเท้าที่กำลังก้าวเดินเข้ามาในศาลา ริมฝีปากสีสดขบเข้าหากันแน่นเป็นเส้นตรง แต่ประโยคสาบานของผู้ที่เป็นน้องไม่ได้ทำให้ผู้พันหนุ่มเจ็บปวดเท่ากับถ้อยคำสาบานของหญิงสาวที่บัดนี้หัวใจแข็งแกร่งของนักฆ่าเลือดเย็นอย่างเขายอมรับได้เต็มปากเต็มคำว่าตนเองนั้นหลงรักเธอหมดใจ
ใบหน้าคมเข้มไร้สีเลือด ร่างกายเขานิ่งชาราวกับเลือดทุกหยดลมหายใจทุกห้วงขาดหายไปจากเรือนกายเมื่อได้ยินคำสาบานที่ดังก้องอยู่ทั่วโสตประสาทและค่อยๆ ซึมซับเข้าสู่หัวใจให้เจ็บชาจนแทบลืมหายใจ
“พ่อคะ รัณให้สาบานต่อหน้าศพพ่อว่ารัณจะตามล่าคนที่ฆ่าพ่อให้ถึงที่สุด”