บทที่ 2 ต่อ.
บทที่ 2 ต่อ 1
คุณริสาทำหน้าแปลกใจเมื่อเห็นว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนกลับมาพร้อมกับขวัญพิมล นางรู้แล้วว่าขวัญพิมลไม่ได้ขับรถไปเองแต่ไม่คิดว่าภูริจะใจดีรับขวัญพิมลกลับมาด้วย หรือว่านี่คือสัญญาณที่ดี คุณริสาแอบยิ้มด้วยความยินดี
“ไปไหนกันมาหรือลูก” นางถามเมื่อทั้งสองเดินเข้าบ้านมา
“ผมขอตัวก่อนนะครับ” ภูริไม่ตอบแล้วเดินเลี่ยงไป คุณริสาค้อนลูกชายแล้วหันมามองขวัญพิมลที่มองตามภูริตาละห้อยก่อนจะถอนใจเบาๆ รู้สึกสงสารคนตรงหน้าแต่นางต้องไม่คอยตอกย้ำให้ขวัญพิมลรู้สึกเศร้าสร้อย
“ไปเที่ยววันนี้สนุกไหม”
“สนุกค่ะ.. ไม่ได้ไปขี่รถเที่ยวกันนานแล้ว..” ขวัญพิมลเล่าเรื่องที่ตนไปเที่ยวกับเพื่อนรักให้คุณริสาฟังอย่างสนุก แววตาที่เคยหมองเศร้าดูดีขึ้นมาบ้าง แม้จะไม่ใช่ทั้งหมดแต่ก็นับว่าขวัญพิมลดีขึ้น
“คุณแม่คะ ขวัญมีเรื่องจะปรึกษา”
“ว่ามาสิจ๊ะ” เมื่อเห็นท่าทางเป็นงานเป็นการของหญิงสาวแล้วคุณริสาก็วางพวงมาลัยที่กำลังร้อยในมือลง
“จำเรื่องที่ขวัญบอกว่าอยากทำงานได้ไหมคะ”
“หนูขวัญอยากออกไปทำงานหรือลูก”
“ค่ะ.. แต่ขวัญก็เป็นห่วงคุณแม่”
“ไม่เป็นไร.. ตอนนี้แม่มีพยาบาลพิเศษอยู่แล้วนี่” หลังจากที่นางป่วยไม่ค่อยแข็งแรงนักคุณภาณุกับภูริก็ได้จ้างพยาบาลพิเศษมาช่วยดูแลนาง แต่ขวัญพิมลก็เป็นคนที่คอยดูแลนางอย่างใกล้ชิดอยู่เสมอไม่ต่างกัน
“อยากทำอะไรก็ทำไปเถอะลูก.. ความสุขของเรา อย่าเอาตัวมาจมกับความทุกข์เลย อีกอย่างถ้าหนูขวัญอยากหย่าแม่ก็ไม่ว่า” หญิงสองวัยสบตากันอย่างจริงจัง ขวัญพิมลเป็นฝ่ายที่ก้มหน้าหลบตา
“ค่ะ..”
“แม่อยากเห็นขวัญมีความสุข และแม่ก็ขอโทษขวัญกับเรื่องที่ผ่านมา อภัยให้แม่ได้ไหม”
ขวัญพิมลน้ำตาไหลด้วยความตื้นตันและเจ็บปวดระคนกัน เธอได้รับความรักความเมตตาจากท่านเสียมากมายแต่ท่านกลับมาขอโทษเธอทั้งที่มันก็เป็นความต้องการของเธอเอง
“ไม่ค่ะ ขวัญต่างหากที่ต้องขอโทษและขอให้คุณแม่อภัยให้ความโง่ความต้องการของขวัญเอง.. คุณแม่ไม่จำเป็นต้องขอโทษขวัญเลยเพราะหากขวัญไม่อยากทำตามใจตัวเองเรื่องมันก็ไม่เป็นแบบนี้” เพราะเธอรักภูริมากเหลือเกินมากจนยอมทำอะไรโง่ๆ เพื่อผูกมัดเขาไว้ด้วยทะเบียนสมรส
“เราก็โง่เขลาด้วยกันทั้งคู่..” คุณริสาแค่นยิ้มแล้วถอนใจเบาๆ
“ถ้างั้นเอาต่างคนต่างอภัยให้กันนะ ต่อไปนี้หนูขวัญอยากทำอะไรก็ทำเลยแม่เห็นดีเห็นงามกับหนูทุกอย่าง ไม่ว่าจะทำอะไรแม่จะสนับสนุนและอยู่เคียงข้างหนูเสมอ..” ทั้งสองกุมมือกันไว้แล้วยิ้มให้กัน ไม่มีคำพูดใดหรือสิ่งใดจะบรรยายความรู้สึกของพวกเขาทั้งสองว่ามัน
บางครั้งอะไรที่มันไม่ใช่ก็คงต้องปล่อยวาง ปล่อยมือ... และยอมรับความจริงว่าไม่อาจจะได้ทุกอย่างตามที่หวังไว้...
วันนี้ทำไมมันแปลกไป.. ภูริรู้สึกว่าวันนี้มันแปลกไปกว่าทุกวัน เมื่อวานเขาไม่ได้กลับบ้านเพราะมีงานเลี้ยงที่บริษัท เพื่อนนักธุรกิจรายใหญ่ของเขาก็มาร่วมงานด้วยจึงมีการกินดื่มกันยาว เขาจึงเลือกที่ค้างที่คอนโดของตนมากกว่ากลับบ้านเพราะสะดวกกว่า...
ชายหนุ่มอาบน้ำแต่งตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเสื้อผ้าของขวัญพิมลหายไป.. หายไปไหน ภูริขมวดคิ้วยุ่ง รู้สึกใจหายอย่างประหลาด...
“คุณแม่ครับ คุณแม่..”
ชายหนุ่มรีบเดินลงมาหามารดาที่กำลังนั่งถักไหมพรมอยู่กับ วิภา พยาบาลพิเศษวัยสี่สิบเศษ
เอ๊ะ.. นี่ก็แปลก ปกติเขาจะเห็นว่าขวัญพิมลอยู่ด้วยเสมอ แต่วันนี้หายไปไหน... ในใจของเขาร้อนรนอย่างช่วยไม่ได้
“มีอะไรจ๊ะ” ผู้เป็นแม่ถามโดยไม่ได้หันมามอง”
“เอ่อ..” ภูริพูดไม่ออกไม่รู้จะเริ่มต้นถามตรงไหนก่อน
“มีอะไรจ๊ะ อึกๆ อักๆ อยู่นั่น” แม้รู้ว่าลูกชายจถามเรื่องอะไรแต่ผู้เป็นแม่ก็ยังวางท่าอยู่ อยากรู้ว่าภูริจะทำอย่างไร
“เปล่าครับ”
“อ้าว.. ลูกคนนี้ ทำท่าทีร้อนรนมาหาแล้วก็บอกว่าไม่มีอะไร อาการมันยังไง ไหนว่ามาซิ” นางวางงานในมือแล้วหันมาจ้องหน้าลูกชาย
“คือ.. ก็แค่แปลกใจ วันนี้บ้านเงียบๆ”
“ปกติก็เงียบอยู่แล้ว ภูไม่เคยอยู่ตอนกลางวันจะรู้อะไร เช้ามาก็ไปทำงานกว่าจะกลับบ้านก็ค่ำมืด” นางค้อนลูกชาย ใจจริงก็แอบสะใจลึกๆ
“เหรอครับ..” ความจริงแล้วมันไม่ได้จะเงียบขนาดนั้นหรอกคุณริสารู้ดี เพราะหากว่าขวัญพิมลอยู่ในบ้านจะเต็มไปด้วยความสดใส หญิงสาวจะมีอะไรให้ทำทั้งวันชวนสาวใช้ชวนแม่บ้านทำนั่นทำนี่อย่างสนุกสนุกสนาน ในบ้านจะมีเสียงพูดคุยเสียงหัวเราะมีสีสันกว่าตอนที่ขวัญพิมลไม่อยู่ และนางก็รู้ดีว่าภูริรู้สึกได้และรับรู้มาเสมอว่ามันขาดหายอะไรไปในวันนี้...
“จะถามว่าหนูขวัญไปไหนก็ถามมาเถอะน่า ลีลาท่ามากน่ารำคาญ”
เสียงของผู้เป็นพ่อดังขึ้นพร้อมกับวางบัวรดน้ำอันเล็กลง คุณภาณุนั้นชื่นชอบการปลูกต้นไม้ ต้นเล็กต้นน้อยดอกไม้ในบ้านนี้ก็เป็นฝีมือท่านกับลูกสะใภ้คนโปรดทั้งนั้น
“ผมไม่คิดจะถามอะไรแบบนั้นสักหน่อยครับ”
“ไม่ถามแต่ทำหน้าสงสัย ก็เหมือนถามนั่นล่ะ..” คุณภาณุทำเสียงเยาะ
“คุณพี่นี่ล่ะก็” คุณริสาค้อนสามีแล้วหันไปถามลูกชาย
“ภูมีอะไรจะถามแม่ไหมลูก”
“ไม่มีครับ.. ผมไปหาอะไรกินดีกว่า” พูดจบก็เดินออกไปหน้าตาเฉย ผู้เป็นพ่อแม่มองตามลูกชายแล้วก็หันมายิ้มให้กันอย่างมีเลศนัย