ตอนที่ 32 คุณมีความสุขก็ดี   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 32 คุณมีความสุขก็ดี
ตอนที่ 32 คุณมีความสุขก็ดี “ฉันมาทำอะไรงั้นหรอ แกคิดว่าฉันมาทำอะไรล่ะ” นวิยาตอบกลับด้วยความโกรธเมื่อได้ยินเสียงน้ำเสียงของลูกชายที่เย็นเยือก โดยเฉพาะตอนที่เห็นลูกชายของตนอยู่ที่นี่จริงๆ และยังซื้อข้าวมาให้ผู้หญิงทรามคนนั้นอีก ทันใดนั้นเองก็แกล้งทำเป็นลุกขึ้นมา นั่งบนพื้นและร้องไห้พร้อมพูดว่า “แกดูสิ ผู้หญิงที่แกแต่งงานด้วยเป็นยังไง เหอะ แกดูเอาสิ แกดูแม่ของแกถูกรังแกแบบนี้ เมื่อ กี๊ตอนที่แกไม่อยู่พวกเขาก็ตีแม่ ศักดิ์ศรีของแม่หายหมด” “พวกเราไปทุบตีคุณตอนนั้นคุณนาย คุณพูดให้มันดีๆหน่อย” เทพวีถามกลับด้วยความโกรธ จิรภาสเห็นแม่นั่งเอะอะโวยวายอยู่กับพื้นก็เลยไปพยุงแม่ขึ้นมาแล้วพาเดินออกไปด้านนอก “ผมมาส่งแม่กลับบ้านนะ” ในระหว่างเดินทางกลับบ้าน นวิยาก็พูดถึงจรีภรณ์ตลอดว่าไม่ดีอย่างนู้นไม่ดีอย่างนี้ เมื่อกี๊ตอนเขาไม่อยู่จรีภรณ์กับเทพวีก็ร่วมกันทำร้ายตน และยังด่าตนเสียๆหายๆ รวมๆแล้วคือโดนใส่ร้ายป้ายสีทุกอย่าง พอนวิยาเห็นว่าจิรภาสไม่พูดอะไร เธอก็ยิ่งพูดใส่สีตีไข่อย่างเต็มที่ จนสุดท้ายจิรภาสอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาว่า “แม่ เมื่อกี๊ผมเห็นหมดแล้ว แม่เลิกแกล้งเถอะ” “แม่แกล้งอะไร” นวิยาตอบอย่างติดๆขัดๆ “แม่บอกแม่แกล้งอะไรงั้นหรอ แม่บอกว่าพวกเขาตีแม่ แต่ผมเห็นว่าแม่ด่าพวกเขาตั้งแต่แรก แม่ แม่ไม่เหนื่อยบ้างหรอ” “ฉันเพียงแค่ไม่อยากให้เธอกับมันอยู่ด้วยกัน ฉันผิดอะไรหรอ” นวิยาพูดด้วยอารมณ์ที่เริ่มโมโห “แม่ไม่ผิด แต่ผิดที่ผมเอง ผมเองที่ทรยศ หักหลังเธอ ผมเองที่ทำให้เธอทอดทิ้งผมไปตั้งสามปี ตอนนี้ผมอยากให้เธอกลับมาอยู่กับผม แม่เข้าใจไหม” “แล้วมันมีอะไรดี แกจะมาห้ามแม่เพื่อมันหรอ แต่หนูชญาภารอแกนานมากแล้วนะ ทำไมแกถึงอยู่กับเธอไม่ได้” “ทำไมหรอครับ” จิรภาสพูดด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น “แม่ แม่จะให้ลูกชายแม่เป็นบ้าหรือไง” “เป็นบ้าอะไร แกพูดอะไรของแก” นวิยาตอบแบบแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น “ตอนแรกไม่ใช่แม่หรอที่วางแผน ถ้าไม่มีชาถ้วยนั้นของแม่ แม่คิดว่าผมจะเจอเธอไหม แต่ก่อนเดิมทีผมไม่เคยชอบเธอเลย และก็จะไม่ชอบตลอดไป ถ้าไม่ใช่เพราะแม่ แม่คิดว่าผมจะกลับมาที่นี่ไหม” “ที่ฉันทำอยู่ ไม่ใช่เพราะอยากให้แกดีขึ้นหรอ แกดูสิ ยัยจรีภรณ์มันมีอะไรบ้าง ฐานะบ้านมันไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง มันช่วยงานอะไรของแกได้ไหม แล้วอีกอย่างนะ ผู้หญิงที่ท้องไม่ได้ก็ไม่คู่ควรที่จะมาเป็นสะใภ้บ้านตระกูลนี้ ” นวิยาพูดออกมาอย่างไร้เหตุผล “ถ้างั้นแม้แต่ลูกชายของแม่ก็นับว่าไม่คู่ควรด้วยใช่ไหม ” จิรภาสหัวเราะออกมาอย่างเย้ยหยัน “อะไรของแก ฉันว่านะแกน่าจะยังไม่ตาสว่าง จรีภรณ์มันมีอะไรดีนอกจากความสวยแล้ว มันก็แค่อยู่ในบ้านเดียวกับชญาภา มัน มีประโยชน์อะไรกับแก ครอบครัวของชญาภาก็เป็นผู้หลับผู้ใหญ่ที่ดี กับไอสามปีที่รออย่างไรประโยชน์ของแก ถ้าแกจะทำเพื่อ ฉัน แต่แกก็ต้องรับผิดชอบชญาภาด้วย ” นวิยาพูดออกมาเสียงดัง ในสายตาของเธอ ตอนนี้ลูกชายของเธอก็ยังยืนหยัดอยู่กับ หญิงต่ำช้าอย่างจรีภรณ์คนนั้น เธอขัดขวางและไม่อยากให้ลูกชายของเขายุ่งกับจรีภรณ์อีก บรรยากาศค่อนข้างอึมครึม จิรภาสก็มองนวิยาแม่ของตนอย่างเย้ยหยันเหมือนว่าพวกเขาไม่รู้จักกัน “แม่ ในสายตาของแม่ แม่ให้ความสำคัญกับบริษัทหรือความสุขลูกชายของแม่” “ก็ต้องแกสิ” นวิยาตอบกลับ “ในเมื่อลูกชายสำคัญ งั้นหลังจากนี้ขอให้แม่เลิกไปยุ่งกับความสุขของผมอีก ผมรักจรีภรณ์ ผมทิ้งเธอไม่ลง ตอนแรกผมกับเธอเลิกรากันไปเพราะว่าบริษัทประสบกับภาวะอันเลวร้าย ผมกลัวที่จะทำร้ายเธอ ดังนั้นการที่เผชิญหน้ากับแผนการเหล่านั้นมันก็แค่ ทำให้ผมพายเรือตามน้ำ ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ในใจของผมก็มีแต่เธอเพียงคนเดียวและจะมีเธอเพียงคนเดียวตลลอดไป แม่ผมขอเถอะนะ แม่อย่าไปยุ่งอีกเลยจะได้ไหม จิรภาสมองหน้านวิยาและพูดอย่างจริงจัง นี่คือครั้งแรกที่เขาพูดออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ตั้งแต่วันที่เขาถูกแม่ของเขา วางแผนจัดการเอง เขาก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์ถึงจรีภรณ์ตลอดเวลา ดังนั้นเขาจึงกลัวที่จะพบเธออีก เพราะเขาเกลียดเธอไม่ลง ไม่มีอะไรที่เสียดายไปกว่าการที่ถูกแม่ของตนมาคิดวางแผนจัดการทุกอย่าง นวิยามองลูกตัวเองอย่างขมขื่นและในใจก็รู้สึกทุกข์ใจ หลายปีมานี้เธอก็ค่อนข้างเห็นได้ชัดว่าลูกชายของเขาไม่ได้รู้สึกกับชญาภา แต่เธอก็ยืนหยัดในความคิดว่าเดี๋ยวอยู่ๆกันไปก็มีความรู้สึกกันเอง แต่สามปีที่ผ่านมานี้ ลูกชายของเธอไปบ้านชญาภาหลายครั้ง นับไม่ถ้วนและเกือบจะทุกๆครั้งที่ไปเธอก็บังคับให้เขาไป บางทีชญาภาก็ไปเป็นแขก แต่ลูกชายของเธอก็พูดไม่กี่ประโยคแล้วก็เดินออกไป เธอมองไม่ใช่มองไม่เห็นจรีภรณ์ แต่เพียงแค่เธอไม่ชอบจรีภรณ์ นวิยาไม่เข้าใจว่าผู้หญิงคนนั้นมีอะไรดี ทำไมลูกชายกลับยังคิดถึงอยู่ตลอดไม่ลืม คำพูดเหล่านี้ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยพูดกับแม่ของเขาเลย เป็นเพราะเหตุนี้ทำให้ในช่วงสามปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยหัวเราะหรือยิ้มแย้มให้ตัวเองเลย แต่ถึงตอนนี้เห็นได้ทันทีว่าลูกชายพูดกับเธอจากใจจริง เธอรู็สึกได้ทันทีว่าเธอได้ทำผิดไปมาก หลังจากที่กลับมาบ้าน เธอก็นั่งอยู่ที่โซฟาอย่างเงียบๆและคิดถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นไป สุดท้ายเธอก็พูดขึ้นมาอย่างจำใจว่า “เวรกรรม” จรีภรณ์ไม่ได้ไปบริษัทอยู่หลายวัน ชนุตต์ก็นั่งอยู่ในออฟฟิศแบบเบื่อหน่าย ในมือก็กดโทรศัพท์อยู่ตลอดเวลา เขาไม่เจอจรีภรณ์เลยทั้งวัน ในใจก็รู้สึกเหี่ยวแห้งและล่องลอย สมควรตายๆไปซะ ผู้หญิงอะไรทำไมทำแบบนี้ งานก็ไม่มาทำลาก็ไม่ลา ไม่อยากทำงานแล้วหรือไง ชนุตต์บ่นออกมาพร้อมกับขว้างแก้วทิ้งไป เมษาทำงานงานที่ต้องรวบรวมข้อมูลและรายงานที่ต้องใช้ความรอบคอบ หลายวันมานี้ตั้งแต่เขาทำมาเขาก็เข้าใจมัน เพียงแค่จรีภรณ์ไม่อยู่ ตาชนุตต์คนนี้ก็รู้สึกเหมือนจะเป็นบ้า วันๆไม่ทำอะไรเหมือนกับเป็นพวกพยาธิที่นอนงงอยู่ในออฟฟิศ พอถึงตอนบ่าย ชนุตต์ก็อดไม่ได้จึงขับรถออกไปเขตบ้านเก่า เคาะประตูอยู่นานแต่ก็ไม่มีใครมาเปิด กังนั้นเขาจึงยืนอยู่ที่หน้าประตูทั้งคืน จนถึงวันที่สองตอนเที่ยงเขาถึงได้รู้ว่าจรีภรณ์นั้นข้าโรงพยาบาล เขาจึงรีบตรงไปที่โรงพยาบาลทันที “ไม่เห็นแค่วันเดียวก็ป่วยแบบนี้เลยหรอ” ชนุตต์มองจรีภรณ์ในท่าทีที่เปลี่ยนไป ในใจก็รู้สึกได้สัมผัสความเจ็บปวด “ถูกฝนสาด” เทพวีพูดแบบหลีกๆ “ทำไมถึงปล่อยให้เปียกขนาดนี้ ฝนตกทำไมไม่รู้จักกางร่ม” ชนุตต์ค่อยๆลูบที่หน้าผากของจรีภรณ์ “ไม่เป็นไรค่ะ แค่เป็นหวัด” จรีภรณ์ส่งยิ้มและมองที่ชนุตต์ “ใช่สิ ขอบคุณนะครับท่าน ที่ตัวเองเมาแล้วปล่อยให้ผู้หญิงกลับบ้านคนเดียว” เทพวีมองอย่างเป็นฟืนเป็นไฟ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่รู้ว่าจรีภรณ์ไปส่งเขากลับบ้านหลังจากนั้นก็ถูกลักพาตัวและในใจก็โกรธเป็นอย่างมาก “เกิดอะไรขึ้น ทำไมเป็นแบบนั้น” ชนุตต์ฟังสิ่งที่เทพวีพูดออกมาแล้วนึกถึงเรื่องเมื่อวานซืนที่เกิดขึ้น จรีภรณ์มองเทพวีอย่างเป็นกังวล เทพวีเป็นคนปากไว เธอกังวลว่าเธอจะพูดออกมาหมด ถ้าให้ชนุตต์รู้ว่าตนเองถูกลักพาตัว จะต้องรู้สึกขายหน้าแน่ๆ เทพวีมองตาของจรีภรณ์ก็รู้ว่าเธอกำลังกังวลอะไร แค่พูดว่าตากฝนเป็นหวัดก็พอแล้ว เช้าวันถัดมา ชนุตต์ก็มาหาที่โรงพยาบาล แม้ว่าปากจะบ่นแต่การกระทำของเขากลับไม่ใช่แบบนั้น ตอนที่รู้ว่าจรีภรณ์ป่วยเข้าโรงพยาบาล เขาก็รีบโทรหาเมษาทันที ให้เมษาซื้อของบำรุงที่ดีที่สุดมา เมษารับคำสั่งของชนุตต์มาแล้วรู้สึกแปลกๆว่าเมื่อวานชนุตต์ยังด่า ยังสอนจรีภรณ์อยู่เลย โยนแก้วทิ้งตั้งหลายใบ แต่ตอนนี้กลับไปดูแลเธอที่โรงพยาบาลแถมยังให้ไปซื้อของบำรุงอีก ใจของท่านชชนุตต์ผู้นี้ยากที่จะคาดเดาจริงๆเลย ตอนที่ออกจากโรงพยาบาลตอนบ่าย จิรภาสก็เอาซุปไก่ที่เพิ่งอุ่นร้อนๆมาให้เธอ เมื่อก่อนตอนที่เขาป่วย จรีภรณ์ก็จะเอาซุปที่เขาชอบมากมาให้กิน ตอนนี้เปลี่ยนกลายมาเป็นเขาเอามาให้เธอบ้าง แต่พอไปถึงกลับไม่มีใคร หมอบอกจิรภาสว่ามีคนมารับจรีภรณ์ไปแล้ว ทันใดนั้นเองเขาก็รีบขับรถตามทางที่จรีภรณ์ไป จากระยะไกลๆที่เขาเห็น เขาเห็นว่าชนุตต์กำลังพยุงจรีภรณ์ลงมาจากรถ “เธอผู้หญิงคนนี้กำลังป่วยไม่ใช่หรอ ทำไมหนักแบบนี้” ชนุตต์พูดขณะที่พยุงโอบอุ้มเธอลงจากรถ และอดไม่ได้ที่จะพูดแซวออกมา “ถ้าฉันหนัก คุณก็ปล่อยฉันเถอะ ฉันไม่ได้ขอให้คุณมาอุ้มฉันสักหน่อย” จรีภรณ์พูด แต่ชนุตต์ก็ยังโอบอยู่อย่างแน่น “ตอนที่ฉันอุ้มเธอ มือของเธอจะได้ไม่ไปเกะกะที่คอ แบบนี้พวกเราจะได้รักกันมากๆ ฉันก็ประหยัดแรงโอบเธอด้วย ” จรีภรณ์ถูกชนุตต์แซว เธอก็ได้แต่วางมือทั้งสองบนคอของเขา จริงๆแล้วชนุตต์สงสัยว่าจรีภรณ์หนักตรงไหน เขาก็แค่อยากจะอยู่ใกล้ๆจรีภรณ์เท่านั้นเอง “มา ก้มหัวซบลงที่อ้อมกอดฉันสิ แบบนี้ฉันจะได้เห็นทาง” ชนุตต์ได้ทียิ่งเอาใหญ่ จรีภรณ์ได้ยินคำพูดแบบนั้น เธอก็ตลกและยิ้มออกมา จริภาสเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ในใจก็ว่างเปล่าล่องลอย สายตาของเขามองชนุตต์กำลังอุ้มจรีภรณ์ขึ้นตึก แต่ก่อนการกระทำแบบนี้เป็นสิทธิ์ของเขา แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเริ่มห่างจากคนๆนี้ซะแล้ว ในใจก็เจ็บปวด ซุปไก่ที่อยู่ในมือก็หล่นลงพื้นและกระจายไปทั่ว จริภาสจะไม่กลับไปและจะเดินต่อไปข้างหน้า จรีภรณ์ เธอมีความสุขก็ดีแล้วแล้ว ช่วงนี้นพนารู้สึกย่ำแย่อย่างมาก เป็นเพราะตรีภพนับวันยิ่งทำตัวเย็นชากับเธอ สิ่งนี้ทำให้ในใจของเธอรู้สึกขึ้นๆลงๆและรู้สึกอยู่เสมอว่าเรื่องนั้นในครั้งที่แล้วเขาจะรู้หรือเปล่า สำหรับสิ่งนี้นพนากับจรีภรณ์อกสั่นขวัญแขวนอยู่หลายวัน ตอนบ่ายวันนั้น ชญาภาโทรหาจิรภาส บอกว่าไม่เจอกันนานแล้ว อยากจะเชิญเขามาทานข้าวที่บ้านสักมื้อ แต่จิรภาสกลับบอกว่าไม่ว่างและวางสายไป แต่ก่อนตอนที่ชญาภาโทรหาจริภาส เขาก็พูดแค่ไม่กี่ประโยค แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าแค่ไม่กี่ประโยคก็ไม่อยากจะพูด การรักษาระยะห่างแบบนี้ทำให้เธอรู้สึกไม่ดีอย่างมาก “แม่ แม่ว่าคุณจิรภาสจะถอนหมั้นหนูไหม” ชญาภามองหน้านพนาด้วยความกังวล “เกิดอะไรขึ้น” นพนาวางมือลงและหันกลับมาถาม” “หนูรู้สึกว่าช่วงนี้นับวันเขายิ่งเย็นชากับหนูมากขึ้นๆ” “อ่อ เพราะจรีภรณ์ใช่ไหม” นพนาเบิกตาขึ้น ในใจก็กำลังคิดแผน “แกวางใจเถอะ ตราบใดที่ชื่อเสียงของมันยังเหม็นเน่าอยู่ มันก็ไม่มีหน้าที่จะอยู่ในเมืองซูหรอก ” ตอนเที่ยงวันถัดมา ตอนจรีภรณ์ออกจากบริษัทมากินข้าว ก็ไม่รู้ว่ามีขอทานจากไหนมาขอเงินเธอ จรีภรณ์เห็นขอทานสวมเสื้อผ้าขาดหลุดรุ่ยก็อดไม่ได้ หยิบแบงค์ยี่สิบหยวนออกมาให้ ผู้หญิงขอทานคนนั้นงงมากเพราะคิดไม่ถึงว่าจรีภรณ์จะให้เงิน ทันทีเธอก็ลงไปกอดที่ขาของจรีภรณ์และตะโกนออกมาดังๆว่า อย่าทำร้ายฉันเลย อย่าเอาเงินฉันไป จรีภรณ์ถูกปั่นหัวให้กลัวและวิ่งหนีออกไป ใช้แรงทั้งหมดให้หลุดจากขอทานคนนั้น แต่ขอทานคนนั้นกลับรัดขาเธอไม่ปล่อย จนสุดท้ายก็ได้ยามมาช่วยไว้ จรีภรณ์หลุดออกจากคนนั้น ในใจก็รู้สึกย่ำแย่มากจนทำให้ไม่อยากกินอะไรและกลับไปที่บริษัท พอถึวันที่สองตอนที่เธอกำลังไปทำงาน จรีภรณ์ไม่รู้เลยว่าตัวเองถูกพาดหัวข่าวจนกระทั่งเทพวีโทรมาบอกว่าเธอดังใหญ่แล้ว
已经是最新一章了
加载中