ตอนที่ 28 ไม่สนใจกฎหมาย ไม่สนใจฟ้าดิน   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 28 ไม่สนใจกฎหมาย ไม่สนใจฟ้าดิน
ต๭นที่ 28 ไม่สนใจกฎหมาย ไม่สนใจฟ้าดิน จารวีนั่งพิงโคนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ให้กำลังใจตัวเองสักครึ่งวัน สุดท้ายก็รวบรวมความกล้าเดินตรงไปที่ห้องรักษาความปลอดภัย ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวเลย ก็แค่ไปถามเขาว่าประธานบริษัทอยู่รึเปล่าก็แค่นั้น แล้วค่อยถามเรื่อยเปื่อยว่าท่านประธานพักอยู่ที่ไหน ง่ายๆแค่นี้เอง ตอนที่จารวีอยู่ห่างกับห้องรักษาความปลอดภัยแค่สองก้าว ทันใดนั้นประตูกระจกหมุนก็ถูกเปิดออกจนเห็นเงาของผู้ชายที่หล่อเหลารู้จักกาละเทศะ มนต์ตรีจริง ๆด้วย หัวใจของเธอเต้นรัวอย่างไม่เป็นจังหวะ พี่มนต์ตรี…. ในใจของเธอตะโกนออกมา เตรียมที่จะวิ่งไปหา แต่ชั่วพริบตาเดียวก็มีเงาของคนชั้นสูงที่ดูละเอียดอ่อน ยศพลหยุดอยู่ที่ประตูใหญ่สักพัก รอผู้หญิงที่ตามมาข้างหลังเดินออกมา ทั้งสองคนเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันออกมาจากประตูใหญ่ ผู้หญิงคนนั้นสวมชุดเดรสคอวีสีม่วงที่ทำจากผ้าชีฟอง ผมที่ย้อมกลายเป็นสีเลือดหมูถูกมัดไว้ที่ท้ายทอยเป็นมวยผมแบบเจ้าหญิง ด้านบนประดับลูกปัดดอกไม้ แบบโบราณ สวยงามมาก ๆ ดู ๆแล้วน่าจะมีนิสัยเฉพาะตัวที่เหมือนกับเป็นคนที่มาจากตระกูลที่สูงส่ง ทั้งสองคนเดินมาด้วยกัน เหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก จารวีตื่นตระหนกจนก้มหัวลง ไปหลบที่มุมข้างหลังกำแพง ในใจของเธอโศกเศร้ามาก พี่มนต์ พี่มีแฟนตั้งนานแล้วเหรอ? ความกล้าทั้งหมด สูญเสียไปหมดแล้ว เธอทำไม่ได้ ผู้หญิงคนนั้น ทำไมถึงดูเพอร์เฟคและสูงส่งขนาดนั้น แต่เธอไม่ได้เป็นอะไรสักอย่าง... ก่อนหน้านี้ เธอเคยมีความบริสุทธิ์ที่สวยงาน แต่ตอนี้ เธอเป็นเพียงแค่หญิงชู้ที่สกปรกคนหนึ่งเท่านั้น เธอคือเป็นชู้กับแฟนหนุ่มของพี่สาว เป็นมือที่สามที่น่าอับอายขายหน้า จารวีสูญเสียความกล้าที่จะเข้าไปคุยกับมนต์ตรี สุรีวัลย์จูงมือของมนต์ตรี เดินไปข้างๆรถเชฟโรเลตสีขาวด้วยกัน หลังจากมนต์ตรีเข้าไปในห้องคนขับ สุรีย์วัลย์ร้องเสียงหลงออกมาอย่างฉับพลัน“อุ๊ยว๊าย ต่างหูของฉันตกพื้นไปข้างหนึ่ง…” “มนต์ ต่างหูฉันคงหล่นในตึกอ่ะ ฉันไปหาก่อนแปบนึงนะ” “ฉันไปช่วยเธอหานะ!”มนต์ตรียิ้มพลางมองไปที่หูที่โล่งๆของเธอ “ไม่ ไม่ต้องหรอก เหมือนกับว่าฉันเพิ่งทำตกที่ห้องน้ำ เธอจะมาช่วยฉันได้ยังไง? เธอรอตรงนี้แหละ เดี๋ยวฉันจะรีบกลับมา” สุรีย์วัลย์เดินจากข้างรถไปที่ตึก เกือบจะเดินไปถึงข้างหลังของจารวี แม้ว่าไฟบนหลังคาจะไม่ค่อยสว่าง แต่สุรีย์วัลย์ก็ยังคงมองเห็นจารวีลางๆ ตอนที่เพิ่งออกมาจากด้านในตึก เธอก็เห็นเงาคนแอบมองอยู่แล้ว ตามสัญชาตญาณของผู้หญิง เธอรู้สึกได้ว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ ธรรมดา เพียงแต่ในตอนนั้นเธอนึกไม่ถึงว่าจะเป็นจารวี คิดว่าเป็นแค่พนักงานผู้หญิงในบริษัทที่รักใคร่ชื่นชมมนต์ตรี นึกไม่ถึงเลยว่าจารวียังไม่ตาย แบบนี้ก็เท่ากับว่าเธอถูกทรยศน่ะสิ ยังเหลืออีกตั้งสามวันกว่าจะถึงวันหมั้น เธอไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาพังงานหมั้นของเธอเด็ดขาด ตอนนี้จารวียังคงตกตะลึง ที่อยู่ดี ๆก็มีคนมาชนเข้าจากทางด้านหลัง เธอหันหลังไปมอง ก็ไม่คิดเลยว่าจะเป็นสุรีย์วัลย์ สุรีย์วัลย์กวาดตามองเธอทั้งตัว แล้วคุยโวโอ้อวดเดินตรงไปข้างหน้า จารวีคิดว่าสุรีย์วัลย์คงมองไม่ออกว่าเธอคือใคร ในความตึงเครียดนั้น เธอนึกไม่ถึงเลยว่าสุรีย์วัลย์จองจ้องมองเธอแค่ชั่วครู่ก็เดินจากไป ดีล่ะ ดูท่าวันนี้ฉันจะโชคดี จารวีเตรียมจะหันตัวเดินลับหายไป ทันใดนั้นมียามสองคนบุกเข้ามาจากทางด้านหน้า ยังไม่ทันได้อธิบายอะไรก็รวบตัวจารวีซะแล้ว “ขโมย ขโมย เธอเป็นขโมย…” จารวีงงงัน ทันใดนั้นก็พูดแก้ต่างให้ตัวเอง“ฉันไม่ได้ขโมยของ…” ในขณะนั้น สุรีย์วัลย์กลับไปนั่งบนรถของมนต์ตรีเรียบร้อยแล้ว มนต์ตรีได้ยินเสียงของยามก็ตกใจเล็กน้อย “ตรงนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นน่ะ?” สุรีย์วัลย์ปิดกระจกรถสนิท หัวเราะพลางพูดว่า“ไม่มีอะไรหรอก เหมือนว่ายามจะเจอว่ามีชาวบ้านบุกรุกเข้ามาขโมยของใน บริษัทน่ะ ช่างเหอะ เวลาเหลือไม่มาแล้ว พวกเรารีบไปกันเถอะ!” มนต์ตรีชำเลืองมองออกไปนอกหน้าต่าง พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม“โอเค!” รถถึงถนนใหญ่อย่างรวดเร็ว แล้วค่อยๆเลี้ยวเข้าไปในความมืด จารวีดิ้นอย่างสุดชีวิตแล้วโต้กลับไปเสียงดัง “ฉันไม่ได้ขโมยอะไรนะ พวกคุณสบประมาทฉัน” “ไม่ได้ขโมยของงั้นเหรอ แล้วนี่คืออะไรล่ะ?” ยามเก็บสร้อยข้อมือทองคำเส้นหนึ่งจากข้างๆเท้าของจารวีขึ้นมา แล้วโยนสร้อยไปมาอยู่ตรงหน้าของจารวี“นี่คือสร้อยคอมือ ทองคำของท่านหญิงเหลียง เธอจะอธิบายยังไง?” ท่านหญิงเหลียง? ก็คือสุรีย์วัลย์คนเมื่อกี้นี้ไม่ใช่เหรอ?สร้อยข้อมือนี้เธอทำตกเองละมั้ง “ฉันไม่ได้ขโมย หล่อนเพิ่งจะทำตกเมื่อกี้นี้ต่างหาก” “ก็ได้ คุณผู้หญิง พวกคุณจะขโมยหรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องของพวกเราหรอก คุณไปอธิบายเรื่องนี้กับตำรวจเองละกัน!” ยามทั้งสองคนรวบตัวจารวีโดยที่ไม่อธิบายอะไรใด ๆ แล้วก็พาเธอไปที่สถานีตำรวจภูธร จารวีไม่รู้จะทำยังไงดี รวดเร็วมาก เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ชื่อปอที่เป็นกะในตอนนั้นก็เริ่มสอบสวน/ไต่สวนเธอในทันที “ชื่ออะไร?” “จารวี!” “อายุกี่ปีแล้ว?” “สิบแปดปี…” ปอจ้องเธอสักสองสามนาที แล้วพูดกับเธออย่างดูถูก“ตัวแค่นี้ก็ขโมยของเป็นแล้วเหรอ พ่อแม่เธอสอนมายังไงหะ!” “ฉันไม่ได้ขโมยของนะ…” ปอก็ยังคงไม่สนใจ เอาแต่หมกมุ่นกับการจดอะไรบางอย่างอยู่“ทำงานอะไรล่ะ?” “ฉันเรียนหนังสืออยู่ ที่มหาวิทยาลัยXX…” ปอเงยหน้ามาจ้องเธอสักพักอีกครั้ง แล้วยังดูถูกเธอมากกว่าเดิม“โอ้โห ตอนนี้เรียนมหาลัยแต่ไม่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีสักนิดเลยเหรอ ไม่ใช่แค่ขโมยของ แถมยังเถียงข้างๆ คูๆ พรุ่งนี้จะต้องไปป่าวประกาศความผิดนี้ของเธอให้มหาวิทยาลัยเธอรับรู้สักหน่อยแล้วล่ะ จารวีตะลึงงัน นายตำรวจคนนี้เหมือนกันคิดแต่จะทำให้เรื่องมันใหญ่ขึ้น “ไหนอธิบายมา ทำไมคุณถึงต้องขโมยสร้อยเส้นนี้ด้วย มีเหตุจูงใจอะไร…” “คุณหูตึงรึไง? ฉันบอกว่าฉันไม่ได้ขโมยไง ไม่ได้ขโมย ไม่ได้ขโมย ไม่ได้ขโมย…”จารวีร้อนใจจะแย่แล้ว เจ้าหน้าที่คนนี้สมองกลับรึไง เธอดูเหมือนโจรมากงั้นเหรอ ปอทุบโต๊ะอย่างแรงไปทีหนึ่ง ตะโกนขึ้นมาว่า “คุณจะส่งเสียงเอะอะโวยวายอะไรฮะ ตอนนี้คนเลวมีอยู่ทุกที เธอยังคิดจะ ปฏิเสธอีกเหรอ คนแบบคุณผมเจอมาเยอะแล้ว น่าจะให้คุณอดข้าวสามวันนะ ดูซิว่าคุณแสร้งบอกว่าไม่ได้ขโมยอีกมั้ย..” “หัวหน้า ต้องทำยังไงครับ เธอไม่ยอมรับผิด…” ปอหันไปมองสารวัตรต้มแก่ สารวัตรต้มแก่เอานิ้วมือลากเป็นกากบาท มีคนสองคนเดินออกมาจากที่ซ่อน สารวัตรต้มแก่พูดเสียงต่ำ“นี่คือคนที่ท่านหญิงเหลียงส่งมา เธอคิดดูนะ ถ้าทำให้ท่านหญิงเหลียงไม่พอใจจะดีเหรอ รีบทำให้ เธอสารภาพซะ!” ปอรู้สึกสับสนทำตัวไม่ถูก“ให้ตาย เธอก็ไม่ยอมรับครับ!” “ไปตายเถอะ ฉันไม่เชื่อหรอก ผู้หญิงคนนี้จะปากแข็งได้สักเท่าไหร่กันเชียว”สายตาของสารวัตรต้มแก่เผยให้เห็นถึงรังสีที่ดุร้ายราวกับหมาป่า ไม่ง่ายเลยที่จะมีโอกาสประจบสอพลอนายกเทศมนตรีชยิน ยังไม่รีบเลื่อนขั้นอีก ปอกระพริบตาปริบๆพลางพยักหน้า ณ ห้องสอบปากคำ จารวีถูกใส่กุญแจมือ ถูกรัดกุมไว้ข้างโต๊ะ ปอกำลังถือกระบองตำรวจ มีแววตาที่ดูโหดเหี้ยม “พูดเร็วสิ เธอเป็นขโมยใช่มั้ย?” จารวียืนยันว่าไม่ได้ขโมย ปอง้างกระบองตำรวจขึ้นแล้วตีไปที่จารวี จารวีไม่มีวิธีที่จะหลบได้เลย แผ่นหลังเธอโดนแท่งหนักฟาด ทำให้เธอเจ็บมาก “พวกคุณ บ้ารึเปล่า ฉันไม่ได้ขโมยจริง ๆ…” จารวีทั้งโมโหโกรธทั้งรีบร้อน พวกนี้เป็นผู้รักษากฎหมายประสาอะไร ทำไมถึงได้โง่เขลาเบาปัญญาขนาดนี้ ในความสับสน เธอเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว!ที่แท้นี่คืออุบายที่สุรีย์วัลย์ทำขึ้น เธอเริ่มมีความทรงจำเลอะเลือน เพราะว่าโดนฟาดไปสองที เธอเจ็บจนมึนไปหมด ณ บ้านพูลสวัสดิ์ อังคณาโทรศัพท์หายุพิน จารวีไม่ได้กลับบ้านมา 3 วันแล้ว เธอก็ลนลานมากเช่นกัน “พี่ยุพินใช่มั้ย? ฉันอังคณาเองค่ะ…” “อ๋อ อังคณา จารวีอยู่ที่บ้านเธอยังโอเคใช่มั้ย?” “เอ่อ ไม่ค่อยดีค่ะ คือว่า ฉันอยากจะถามสักหน่อยว่าช่วง 2-3 วันมานี้จารวีได้กลับบ้านบ้างมั้ยคะ?” “ยังไม่กลับบ้านเหรอ เธอเกิดเรื่องอะไรรึเปล่า?” ยศพลยื่นมือออกไปคว้าโทรศัพท์ที่อยู่ในมือของยุพิน“ฉันคุยต่อเอง เธอไปพักเถอะ” เสียงในโทรศัพท์เปลี่ยนเป็นเสียงของผู้ชาย“เกิดเรื่องอะไรกับจารวีเหรอ?” ตั้งแต่หลังจากวันนั้นที่โทรเข้ามือถือของจารวี มือถือของจารวีก็อยู่ในสถานะปิดเครื่องมาโดยตลอด ยัยตัวร้ายนี่ ไม่นึกว่าจะไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำใช้กลอุบายหลอกให้ตายใจก่อนแล้วค่อยจัดการทีหลังแบบนี้ ก็ดี เธอก็เงียบไปหลายวันให้รู้แล้วรู้รอดไป ดูสิว่าเธอจะเป็นยังไง “ไม่ทราบว่าคุณคือ?”อังคณาถามอย่างรอบคอบระมัดระวัง “เธอไม่ต้องสนหรอกว่าฉันคือใคร แค่ตอบมาก็พอ จารวีเป็นยังไงเกิดอะไรขึ้นกับจารวี?” “คืออย่างงี้นะคะ สามวันก่อนจารวีบอกว่ามีเรื่องเกิดขึ้นนิดหน่อย จากนั้นเธอก็ไม่ได้กลับมาเลย ฉันคิดว่าที่บ้านเธอคงเกิดเรื่อง เลยต้องรีบร้อนกลับไป ก็เลยไม่ได้ใส่ใจ/สนใจ แต่นึกไม่ถึงเลยว่าสามวันมานี้เธอไม่ได้มาเรียนเลย แถมยังไม่เปิดเครื่องด้วย ฉันคิดว่ามันแปลกๆ ก็เลยโทรมาถามน่ะค่ะ” อังคณายังพูดไม่ทันจบ ยศพลก็ถามด้วยน้ำเสียงที่กังวลและรีบร้อน“ตอนที่หล่อนจากไปน่ะ ได้พูดมั้ยว่าจะไปไหน?” “อ่า พูดค่ะ เหมือนกับว่าจะไปที่อาคารซีหัว…” “อังคณาเธอฟังให้ดีนะ ฉันไม่อนุญาตให้เธอปิดเครื่อง ถ้าเกิดจารวีเกิดเรื่องขึ้นมาฉันจะติดต่อเธอไม่ได้” เสียงทุ้มต่ำเต็มไปด้วยน้ำเสียงที่ข่มขู่ อังคณาที่อยู่ปลายสายกลัวจนเหงื่อไหลท่วมไปทั้งตัว จารวี คงไม่เกิดเรื่องกับเธอจริงๆใช่มั้ย ยศพลวางหูโทรศัพท์ แล้วมองไปที่ยุพิน ตอนนี้ยุพินตกใจจนไม่พูดอะไรออกมาสักคำเดียว “ไม่ต้องห่วง ฉันจะไปหาเดี๋ยวนี้แหละ…” ยศพลใช้โทรศัพท์ของตนโทรออกหาใครบางคน “ใช้เครือข่ายอินเตอร์เน็ตไม่ว่าของค่ายไหนก็ตาม ไปตามหาเดี๋ยวนี้ ในระยะพื้นที่สามเมตรรอบเมืองเอส แล้วก็หาตัวจารวีมาให้ฉัน” “รับทราบค่ะ ประธานยศพล!”ปลายสายเป็นเสียงตอบรับของผู้หญิงที่มีประสบการณ์และความสามารถในการทำงาน ยศพลวางสาย หันไปมองยุพิน จากนั้นก็หันหลังกลับแล้วเดินจากไป ณ สถานีตำรวจท้องที่แห่งหนึ่งในเมืองเอส สารวัตรต้มแก่กับปอกำลังเล่นหมากรุกกันอยู่ พอสารวัตรต้มแก่นึกถึงการเลื่อนตำแหน่งของตนเอง ก็มีความสุขเป็นอันมาก นั่งไขว่ห้างเขย่าขา ดื่มชา ฮัมเพลง มีความสุข “หัวหน้า ผู้หญิงคนนี้ไม่กินอะไรมาสามวันแล้วจริง ๆ แต่ก็ยังไม่ตายนะครับ”ปอพูดอย่างเป็นกังวล อย่างไรเสียก็ละอายใจกับสิ่งผิดๆที่ทำลงไป แม้ว่าตอนที่ยามมาจะเน้นยำหลายครั้งว่าผู้หญิงคนนี้เป็นขโมย แต่เห็นได้ชัดว่าเธอไม่มีท่าทางที่เหมือนขโมยเลย “ไอ้ปอ ชีวิตคนเรามีโอกาสแค่ครั้งเดียว ถ้าแกไม่คว้ามันไว้ให้ดี ก็จะเป็นเหมือนกับฉัน อายุจะห้าสิบแล้วแต่ก็ยังเป็นตำรวจยศ เล็ก ๆ อยู่เลย เข้าใจรึเปล่า….”ปอทำหน้าทำตาเหมือนได้รับการสั่งสอน “เข้าใจครับ เข้าใจ…” เสียง“ปัง!”ดังขึ้น ประตูใหญ่ถูกคนถีบเข้ามา ร่างที่ดุดันราวกับสัตว์ร้ายของยศพล มาพร้อมกับบอดี้การ์ดสวมชุดสูทสีดำสวมแว่นกันแดดสีดำสิบกว่าคนบุกเข้ามาในสถานีตำรวจภูธร “พวกนายมาทำอะไรที่นี่?”สารวัตรต้มแก่ยันตัวขึ้น จับปืนที่ข้างเอวพลางซักถามยศพล ถึงจะเป็นที่มีความกล้า แต่คงไม่กล้ามาทะเลาะหาเรื่องกันในสถานีตำรวจภูธร นอกเสียจากว่าคนคนนั้นจะเบื่อชีวิตแล้วจริง ๆ ยศพลหรี่ตา โบกมือไปตบหน้าสารวัตรต้มแก่หนึ่งฉาดใหญ่ สารวัตรต้มแก่ถูกตบจนมีเลือดไหลออกจากจมูก เขาหนีไปหลบที่มุมกำแพง ตะโกนออกมาอย่างลุกลี้ลุกลนว่า”เร็วเข้า รีบแจ้งความเร็ว….” ณ วินาทีนั้นเพิ่งฉุกคิดได้ว่าตนเองเป็นตำรวจ จึงรีบกวักมือเรียกปอ “ไป ไป ไปเรียกคนอื่นมา ขอกำลังเสริมจากส่วนกลาง…” ยศพลกระทืบไปที่หน้าอกของเขา ทืบไปบนหน้าอกของเขาด้วยแรงอย่างกับสัตว์ป่า สารวัตรต้มแก่ร้องตะโกนออกมาด้วยความเจ็บปวด“พวกแกกล้าดียังไงห้ะ นึกไม่ถึงเลยว่าจะกล้าทำร้ายเจ้าหน้าที่…” “บอกมา จารวีถูกขังอยู่ที่ไหน?”“บอกมา จารวีถูกขังอยู่ที่ไหน?” ต้มแก่สารวัตรต้มแก่ส่ายหัว“พวกแกพคือวกฝ่าฝืนกฎหมาย...” ยศพลหยิบกริชสั้นออกมาจากบอดี้การ์ดคนหนึ่ง แล้วจ่อที่คอของสารวัตรต้มแก่ “เออ กูเป็นพวกฝ่าฝืนกฎหมาย ถ้ายังไม่บอกอีกกูจะส่งมึงไปนรก” 
已经是最新一章了
加载中