ตอนที่41 คนเดียวที่ไว้วางใจ
1/
ตอนที่41 คนเดียวที่ไว้วางใจ
เล่ห์รักเมียตัวน้อย
(
)
已经是第一章了
ตอนที่41 คนเดียวที่ไว้วางใจ
ตนที่41 คนเดียวที่ไว้วางใจ เลือดสีแดงสดไหลออกมาจากนิ้วมือของเธอเป็นสาย จารวีอุทานเสียงหลง “โอ้ย!” ยศพลเห็นดังนั้น จึงพุ่งเข้าหาเธอด้วยท่าทีที่ตื่นตระหนกร้อนรนเป็นอย่างมาก เขาไม่ลังเลที่จะเอานิ้วที่ได้รับบาดเจ็บของเธอใส่ไปในปากของตนเพื่อดูดซับเลือดที่ไหลออกมา เขาใช้ลิ้นดูดซับเลือดแทนเธออย่างนุ่มนวลและอ่อนโยน จากนั้นก็หาเศษผ้าชิ้นเล็กๆมาพันรอบๆบาดแผลไว้ “ปอกแอปเปิ้ลไม่เป็นทำไมไม่บอกล่ะ เธอนี่มันซื่อบื้อจริงๆเลย นั่งลง...” ยศพลอุ้มจารวีไปนั่งบนโซฟา จากนั้นเขาก็เดินไปหยิบแอปเปิ้ลมาหนึ่งลูกแล้วลงมือปอกเปลือกออกอย่างชำนาญ เปลือกของแอปเปิ้ลยังคงติดกันตั้งแต่หัวจรดหาง จนสุดท้ายเขาสบัดเบาๆเปลือกแอปเปิ้ลทั้งชิ้นจึงร่วงลงสู่พื้น จารวีเบิ่กตาโพลงด้วยความประหลาดใจ เธอคิดมาตลอดว่าคุณชายบ้านรวยคนที่ไม่ต้องลงมือทำอะไรด้วยตัวเอง มีข้าวมีน้ำมาประเคนให้ถึงที่แบบเขา ควรจะเป็นประเภทที่สิบนิ้วไม่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวมาสิ ไม่คิดเลยว่าเขาจะปอกเปลือกแอปเปิ้ลได้ชำนาญขนาดนี้ ยศพลเก็บมืดเข้าที่เดิมแล้วจึงเอาแอปเปิ้ลที่ปอกเรียบร้อยแล้วยัดใส่ในมือของเธอ “ต่อไปนี้ถ้าจะปอกอะไรก็บอกฉันแล้วกัน ขืนให้คนสะเพร่าแบบเธอทำอีกคงจะไม่เหลือนิ้วให้หั่น” ถึงแม้คำพูดของเขาจะเหมือนขวานผ่าซาก แต่ก็แฝงไปด้วยความรู้สึกที่เอาอกเอาใจ พลันดวงใจของจารวีก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด บางทีผู้ชายคนนี้อาจจะไม่ได้เลวร้ายแบบที่เธอคิด อย่างน้อยก็ยังมีสิ่งที่ทำให้เธอชอบในตัวเขา แม้จะน้อยนิดก็ตาม จารวีนั่งกินแอปเปิ้ลอยู่บนโซฟา ส่วนยศพลก็ไม่ได้กลับไปนอนอีกครั้ง แต่ทว่าเขาเดินเข้าไปในห้องหนังสือเล็กๆที่อยู่ติดกับห้องนอน เขากดเปิดคอม และจัดการทำงานที่คั่งค้างอยู่ จารวีแอบยื่นหัวเข้าไปมองอย่างเงียบเชียบ ใบหน้าของยศพลกลับไปเคร่งขรึมบึ้งตึงตามเดิม ก่อนหน้านี้เธอก็เคยได้ยินจากพี่สาวบ่อยๆ ตั้งแต่ยศพลอายุกำลังจะย่างเข้าเลขสอง เขาก็ได้เข้าไปกุมบังเหียนของบริษัท เด็ดขาด ฉลาด ว่องไว มีสายตาที่เฉียบแหลม โหดเหี้ยมอำมหิต... นี่คือยศพลในความทรงจำของจารวีในช่วงแรกๆ ทว่ายิ่งเวลานานวันที่เธอได้อยู่ใกล้ชิดกับเขา ความคิดเหล่านี้ก็ยิ่งทวีคูณเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว จารวีนึกฉงน ร่างกายของผู้ชายคนนี้แข็งแรงมากจริงๆ เขาเพิ่งจะนอนไปได้สองชั่วโมงกลับลุกขึ้นมาทำงานได้ราวกับว่าได้นอนมาเต็มที่ หลังจากที่จารวีกินแอปเปิ้ลเสร็จ เธอก็กลับไปที่เตียงและหลับไปอีกครั้ง เธอลืมตาตื่นขึ้นมาในเช้าวันที่สอง ก็เห็นยศพลที่กำลังผูกเนคไทหันหน้ามองมายังตัวเอง “ฉันต้องไปดูงานต่างประเทศระยะหนึ่ง เธอคิดว่าควรจะแสดงความห่วงใยสักหน่อยไหม” “เอ่อ.. ค่ะ!” จารวีรีบลุกจากเตียงอย่างรวดเร็ว ยังมีอีกหลายอย่างที่เธอต้องการจากเขา ดังนั้นเธอก็ควรทำอะไรให้เขาพอใจสักหน่อย ครึ่งชั่วโมงถัดมา จารวียกจานขนมเค้กรูปหมีน้อยที่อบเสร็จแล้วขึ้นมาข้างบน จากนั้นจึงวานให้น้าอามช่วยหากล่องและถุงมาใส่ให้ “เค้กก้อนนี้ฉันลงมือทำเอง คุณเอามันไปทานบนเครื่องบินนะ” ยัยบื้อนี่คิดว่าบนเครื่องบินไม่มีอะไรให้กินหรือยังไง ยศพลคลี่ยิ้มที่มุมปาก เขารู้สึกชอบบรรยากาศแบบนี้มาก ชอบที่จารวีทั้งน่ารักทั้งเชื่อฟังเขา และยิ่งเมื่อเธอแสดงความเป็นห่วงเป็นใยต่อเขา เขายิ่งรู้สึกดี ยศพลก้มลงจรดริมฝีปากลงบนหน้าผากของเธอ “อยู่บ้านเป็นเด็กดีรอฉันกลับมา ดูแลตัวเองดีๆด้วยล่ะ ไม่ใช่เอะอะก็เป็นลมล้มพับ” “ฉัน......” ใบหน้าของจารวีร้อนผ่าว เธอจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ฉันอยากไปเรียน หยุดมาตั้งนานแล้วกลัวว่าจะตามไม่ทัน” ยศพลยืนนิ่งและจ้องมองเธอชั่วครู่หนึ่ง “อืม แต่ต้องให้นิรันไปส่ง” “ค่ะ! โอเคค่ะ!” จารวีคลี่ยิ้มด้วยความดีใจ นอกจากเรียนแล้ว เธอยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องทำ เพียงแต่ว่าสิ่งเหล่านั้นต้องไม่ให้ยศพลรู้โดยเด็ดขาด ตอนนี้เธอยอมอยู่ใต้อาณัติของเขา ก็เพื่อแลกมาซึงอิสระของตัวเองในวันข้างหน้า เวลาหนึ่งเดือนที่อยู่ที่นี่ ถ้าเธอต้องอยู่เฉยๆโดยไม่ทำอะไร เธอคงเป็นบ้าไปก่อนแน่ๆ “นี่โทรศัพท์ของเธอ เก็บไว้ดีๆด้วยล่ะ อย่าทำหายอีก” ยศพลว่าพลางทิ้งโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ ของที่ขายไปแล้ว คิดไม่ถึงว่ายศพลจะนำมันกลับคืนมาได้อย่างง่ายดาย จารวีตกใจอ้าปากค้าง ดูเหมือนว่าทุกสิ่งที่เธอทำ ไม่มีสิ่งไหนที่สามารถหลุดรอดสายตาอันเฉียบแหลมของเขาไปได้เลย จริงๆแล้วในเมืองSแห่งนี้ ผู้ชายคนนี้นี่เขามีอิทธิพลมากขนาดไหนกันนะ ครั้งที่แล้วที่เธอเข้าคุก แม้แต่ตำรวจยังไม่กล้าต่อกรกับเขาเลย ครั้งนี้ที่ขายโทรศัพท์กับรถไป ยังถูกเขาหาเจอได้อย่างรวดเร็ว ภายในใจลึกๆของจารวีแฝงไปด้วยความกลัวระคนหวาดระแวง ยศพลแทบจะมองเธอออกอย่างทะลุปรุโปร่ง “จารวี เธออย่าคิดจะเล่นอะไรแผลงๆล่ะ อย่าว่าแต่เมืองSนี้เลย แม้กระทั่งทวีปเอเชียแปซิฟิกเธอก็อย่าคิดว่าจะหนีพ้นจากสายตาฉันไปได้” ผู้ชายคนนี้กำลังทำให้เธอกลัวมากแล้วจริงๆ หลังจากส่งยศพลเสร็จแล้ว จารวีก็นั่งรถไปมหาวิทยาลัยโดยมีนิรันเป็นคนขับไปส่ง แต่ทว่า เธอสั่งให้นิรันจอดรถที่ด้านนอกของมหาวิทยาลัย เหตุเพราะไม่อยากให้เพื่อนๆเห็นว่าเธอนั่งรถหรูหราขนาดนี้มาเรียน เด็กนักเรียนธรรมดาๆคนหนึ่งนั่งรถหรูหรา ทั้งยังมีคนขับคอยรับส่ง ใครเห็นก็จะคิดว่าเธอมีเสี่ยเลี้ยงเป็นแน่ ถึงแม้เมื่อก่อนนั้น บ้านพูลสวัสดิ์ก็นับว่าเป็นตระกูลที่มีฐานะในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่รวยขนาดที่จะซื้อรถหรูเพื่อไว้ใช้ขับมาส่งที่มหาวิทยาลัย ถึงแม้ว่าคุณลุงของเธอจะเป็นเจ้าของบริษัทยาหวนจำกัด แต่สถานการณ์ของบริษัทก็ไม่ได้ราบรื่นมากนัก ถึงจะไม่ได้แย่ขนาดต้องเลิกล้มกิจการ แต่ก็ไม่ได้ทำกำไรมากเท่าทีควร จารวีเจออังคณาที่หน้าประตูมหาวิทยาลัยพอดี อังคณาขยับแว่นไปมาพร้อมวิ่งพรวดพราดเข้ามาหาเธอ เธอทำหน้าราวกับไม่ได้เจอกันมาสิบชาติก็ไม่ปาน “นี่! ยัยวี แก.. แกยังมีชีวิตอยู่จริงๆด้วย!!” “นี่ แกอย่ามาโอเว่อร์ให้มันมากได้ป่ะ วันก่อนฉันยังโทรหาแกอยู่จำไม่ได้หรือไง” “โถ่ ฉันก็แค่ล้อเล่นเองน่า! เย้ๆ ในที่สุดแกก็กลับมาเรียนซะทีนะ แกรู้ไหม หลายวันที่แกไม่อยู่อ่ะฉันเหงาขนาดไหน ไม่มีใครกินข้าวเป็นเพื่อน ไม่มีใครเรียนเป็นเพื่อน ไม่มีใครเม้าท์เป็นเพื่อน แถมไม่มี......” “โอ้ยนี่ พอได้แล้ว” จารวีและอังคณาเดินเข้าไปในมหาวิทยาลัยด้วยกัน เมื่อเดินเข้าไปถึงที่ที่ลับตาคน จารวีก็เอ่ยขึ้นมา “ครั้งที่แล้วที่ฉันบอกให้แกโทรศัพท์อ่ะ แกโทรหรือยัง” “อ่อ ที่แกบอกให้ฉันโทรหาพี่มนต์ตรีอ่ะหรอ! แต่เอ๊ะ แกตามหาพี่เขาไปทำไมกัน” อังคณาทำหน้ายู่ “ยัยอังคณา นี่สรุปแกโทรให้ฉันหรือยัง” “เอ่อ..ขอโทษนะแกฉันลืมอ่ะ วันนั้น ประจำเดือนของฉันมาแล้ว ฉันก็เลยลืมสนิทเลย..” อังคณาเอ่ยอย่างรู้สึกผิด “ยัยอังคณา ฉันเลิกคบกับแกซะดีไหม” “อ๊ะ ไม่เอาอ่ะ แกอย่าเลิกคบกับฉันเลยนะๆๆ” ยัยเพื่อนตัวดีออดอ้อน “โอเคๆ ฉันยอมแล้ว บอกความจริงให้ก็ได้ ฉันโทรแล้ว แต่คนที่รับเป็นผู้หญิง แถมยังหยั่งเชิงเพื่อจะรู้ให้ได้ว่าฉันคือใคร ฉันว่านะ ยัยผู้หญิงคนนั้นต้องฉลาดเป็นกรดแน่ๆ อีกไม่นานเธอต้องรู้แน่เลยว่าฉันเป็นเพื่อนซี้กับแก...” อังคณายกมือขึ้นจัดกรอบแว่นด้วยความเดือดดาล “อาจจะเป็นสุรีย์วัลย์” “อืม ก็เป็นไปได้...” หลังจากอังคณาพูดจบ พลันเสียงโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น เธอหยิบโทรศัพท์ออกมา หน้าจอโชว์หมายเลขที่ไม่คุ้นเคย “เอ๊ะ นี่เบอร์ของใครกัน ไม่เคยเห็นเลย...” จารวีชะโงกหัวเข้าไปดู “เบอร์พี่มนต์ตรี...” เธอรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก จารวีเคยเห็นเบอร์ของมนต์ตรีเพียงแวบเดียวเท่านั้น แต่มันกลับตราตรึงอยู่ในหัวสมองของเธอ ทุกสิ่งบนโลกนี้ล้วนแปลกประหลาด บางทีสิ่งที่พบเจอทุกวันกลับจำไม่ได้ แต่พอเป็นเรื่องหรือคนที่ตัวเองชอบ เห็นแค่เพียงแวบเดียวก็จำได้อย่างขึ้นใจ อังคณายื่นโทรศัพท์ให้จารวี “แกรับเถอะ” ภายในใจของจารวีเต้นรัวจนแทบจะทะลุออกมา เธอสูดหายใจเข้า โทรศัพท์ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มว่าถ้าปลายสายไม่กดรับก็จะไม่หยุดโทร “รับสิ อย่าให้คนอื่นต้องรอนาน” จารวีลังเลเล็กน้อย “ฉันกลัวว่าจะเป็นสุรีย์วัลย์...” อังคณาเสนอความคิดเห็น “งั้นเอางี้ ฉันรับเอง ถ้าเป็นสุรีย์วัลย์ฉันก็ด่าเธอสักฉาด จากนั้นก็ปิดเครื่อง แต่ถ้าเป็นพี่มนต์ตรี ฉันค่อยให้แกคุย...” จารวีไม่ได้พูดอะไรต่อ ตาจ้องมองไปที่หน้าจอโทรศัพท์ที่ไฟยังคงกระพริบ แล้วจึงพยักหน้าลงช้าๆ “ฮะ..ฮัลโหลว นะ..นั่นใครคะ” อังคณาพูดอย่างอึกๆอักๆ เห็นได้ชัดว่าเธอตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย “ฮัลโหลว คุณรู้จักจารวีหรือเปล่าครับ” น้ำเสียงอบอุ่นนุ่มนวลดังเล็ดลอดออกมาจากปลายสาย จารวีไม่รีรอที่จะยื่นมือไปดึงโทรศัพท์ออกจากมือของอังคณา “ฉันเองค่ะ พี่มนต์...” เสียงเรียก“พี่มนต์”ของเธอยังคงอ่อนหวานเหมือนเมื่อสิบปีก่อน เด็กหญิงที่บริสุทธิ์และใสซื่อคนนั้น “ฮ่าๆ วี วีอยู่ที่ไหน ให้พี่ไปรับไหม” “วี เอ่อ.. ตอนนี้ยังไม่สะดวก วีอยู่กับเพื่อนน่ะค่ะ” จารวีไม่อยากเปิดเผยในสิ่งที่ตัวเองอยากจะพูด คำพูดของปลายสาย ทำให้มนต์ตรีรู้สึกหดหู่ “วี เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน วีพอมีเวลาไหม เราไปกินข้าวกันสักมื้อนะ...” จารวีมองไปยังอังคณา เธอลังเลเล็กน้อย เธออยากเจอเขามาก คิดถึงจนแทบบ้า แต่ว่า... อังคณาแย่งโทรศัพท์ไปจากมือของจารวี ทั้งยังตัดสินใจแทนเธอเสร็จสรรพ “โอเค วันนี้บ่ายสามโมง พี่มนต์ว่างไหมคะ” “อื้ม ว่างสิ.. เดี๋ยวพี่ไปรับนะ” “เอ่อ.. ไม่เป็นไรค่ะ พวกเราไปเองดีกว่า พี่มนต์จองสถานที่ให้เรียบร้อย ไม่ต้องมารับนะคะ...” จารวีแย่งโทรศัพท์กลับมาอีกครั้ง เธอไม่อยากให้เขารับรู้ถึงสถานการณ์ของเธอในตอนนี้ “โอเค งั้นเจอกันที่ห้องอาหารของโรงแรมแชงกรีลานะ” หลังจากวางสาย ภายในใจของจารวียังคงสับสน เธอยกสองมือขึ้นกุมใบหน้าที่ร้อนผ่าวของตัวเอง นี่มันเกิดอะไรขึ้น เมื่อกี่ฉันทำอะไรลงไป พูดอะไรออกไปบ้างนะ เมื่อได้สติกลับมา เธอก็คิดได้ว่าตัวเองตัดสินใจทำตามอำเภอใจตนเองไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าตัวเองกำลังจะได้เจอพี่มนต์ บ้าไปแล้ว นี่มันบ้าชัดๆเลย อังคณาสังเกตเห็นความรู้สึกสับสนอลหม่านแต่ทว่าเต็มไปด้วยความสุขของเพื่อนอย่างชัดเจน “นี่ ยัยวี ดูท่าทางแกจะรักผู้ชายคนนี้มากเลยล่ะสิ” จารวีนวดคลึงใบหน้าไปมา “แกจะบ้าหรือไง พี่มนต์เขามีคู่หมั้นแล้ว” “เหอะ ปากแข็ง! นี่..แต่ฉันรู้สึกว่ายัยสุรีย์วัลย์อะไรนั่นต้องไม่ใช่คนดีแน่ๆเลย!” อังคณาเอ่ย จารวีก้มหน้าสำรวจการแต่งกายของตนเอง เธอยืนหมุนตัวไปมาอยู่หน้าอังคณา “วันนี้ฉันแต่งตัวดูไม่ดีหรือเปล่าอ่ะ” อังคณาเอามือเท้าคาง ตั้งใจพินิจพิเคราะห์ “เห้อ ก็ในเมื่อแกไม่ได้รักเขาจะแต่งตัวยังไงก็ไม่เห็นเป็นไรเลยหนิ” จารวียื่นมือไปเคาะหัวยัยเพื่อนตัวแสบ “นี่ ตั้งใจหน่อยสิ ถึงฉันจะไม่ได้รักเขา แต่เขาก็เป็นคนที่ฉันเชื่อใจที่สุดนะ” ถูกต้องแล้ว ตั้งแต่ที่คุณลุงหายตัวไป พี่สาวก็มาเป็นบ้า คนที่เธอสามารถไว้ใจและพึ่งพิงได้ก็มีแค่มนต์ตรีคนเดียว “อือ ฉันพูดจริงๆนะยัยวี แกน่ะใส่อะไรก็สวย ช่วยไม่ได้นี่เนอะ ก็แกเกิดมาสวย ต่อให้ใส่เสื้อผ้าขาดๆก็ยังสวยแบบไม่มีที่ติเลยล่ะ” “ยัยอังคณา แกเลิกเล่นซะทีได้ไหม!” จารวีเริ่มจะหัวเสีย “โอเค ก็ได้ๆ จริงๆแล้วชุดนี่มันดูธรรมดาไปนิดนึงน่ะ แกยังมีชุดอีกเยอะแยะอยู่ที่บ้านฉันนี่นา ฉันจำได้ว่ามีชุดผ้าชีฟองอยู่ชุดนึง เวลาแกใส่แล้วดูสวยอย่างกับนางฟ้าแหนะ ยังไงซะก็นัดกับคนอื่นทั้งที ก็ควรแต่งตัวดูดีเพื่อให้เกียรติเขาหน่อย” “โอเค งั้นก็ตามนี้” จารวีเรียนคาบเช้าเสร็จอย่างกระวนกระวายใจ พอตกบ่ายเธอจึงกลับบ้านไปพร้อมอังคณา หลังจากเปลี่ยนชุดเสร็จ เธอจึงจัดการทำผมให้เรียบร้อย ผมดำขลับของเธอยังคงยาวเรียงตัวสลวย จารวีมองตัวเองในกระจก หันซ้ายหันขวาก็ยังไม่ค่อยพอใจ เธอจึงหยิบลิปสติกของอังคณามาทาบางๆอีกชั้นหนึ่ง พลันริมฝีปากของเธอก็แวววาวชุ่มชื้นยิ่งขึ้น เดรสผ้าชีฟองสีเขียวมิ้นท์แขนสั้นแต่งชายระบายบาน ขับให้เธอสวยโดดเด่นราวกับหญิงสาวบริสุทธิ์สดใส “โอเคแล้วจ้า สวยแล้วจ้า จะสายแล้วด้วยจ้า” อังคณายืนมองยัยคุณวีคนสวยที่ส่องกระจกนานนับชั่วโมง ส่องจนแทบจะทะลุเข้าไปในกระจก จึงอดค่อนแคะเพื่อนไม่ได้
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่41 คนเดียวที่ไว้วางใจ
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A