ตอนที่42 คาดหวังอะไร
1/
ตอนที่42 คาดหวังอะไร
เล่ห์รักเมียตัวน้อย
(
)
已经是第一章了
ตอนที่42 คาดหวังอะไร
ตนที่42 คาดหวังอะไร จารวียิ้มอย่างเป็นสุข เธอยื่นมือไปหยิบกระเป๋าถือใบเล็กที่วางอยู่บนโต๊ะ “เสร็จแล้ว เราไปกันเถอะ” “เร็วไปไหม ตอนนี้เพิ่งบ่ายสองเอง เนี่ยหรอคนบอกว่าไม่รัก อยากไปจนแทบทนไม่ไหวขนาดนี้ยังจะ......” “ไปเถอะน่า ก็แกอ่ะพูดมาก ออกไปได้แล้ว” อังคณายักไหล่พลางส่ายหัวไปมา “ฉันไม่ไปอ่ะ แกกับเขาไม่ได้เจอกันตั้งหลายปีคงมีเรื่องอะไรอยากคุยกันเยอะแยะ เพราะงั้นฉันไม่ไปเป็นก้างขวางคอหรอก แต่ตอนแกจะกลับมา ห้ามลืมเอาของกินอร่อยๆมาฝากฉันเด็ดขาด” “ยัยอัง......” จารวีลากเสียงยาว อังคณาชำเลืองมองจารวีแวบหนึ่ง “วันนี้กระบี่เย้ยยุทธจักรเปิดให้เล่นแล้ว ฉันจะไปทำสงครามยุทธจักร แกอย่ามาโน้มน้าวฉันให้ยากเลย” “ก็ได้” จารวีไหวไหล่อย่างจนปัญญา อังคณาเป็นคนติดเกมมาก เธอสามารถนั่งเล่นเกมได้ชนิดที่ว่าต่อให้ฟ้าถล่มดินทลายก็ไม่หยุดเล่น จารวีมาถึงโรงแรมแชงกรีลาก่อนเวลายี่สิบนาที ที่หน้าประตูใหญ่มีพนักงานต้อนรับสาวสวยเดินเข้ามาทักทายเธอ “สวัสดีค่ะคุณผู้หญิง คุณคือคุณจารวีหรือเปล่าคะ” จารวีมองเธออย่างแปลกใจ ตัวเองเป็นคนมีชื่อเสียงหรือไงกัน ทำไมคนอื่นเจอแค่แวบเดียวก็จำได้แล้วล่ะ ในมือของพนักงานต้อนรับถือรูปภาพอยู่หนึ่งรูป เธอยกขึ้นเทียบกับใบหน้าของจารวี “นี่คือคุณใช่ไหมคะ” จารวีรับรูปภาพมาดู คิดไม่ถึงว่าคือตัวเธอเมื่อยังเด็ก เป็นรูปที่เธอกับมนต์ตรีกำลังเล่นว่าวอยู่ในสนามหญ้าด้วยกัน หัวใจดวงน้อยพลันรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด เวลาผ่านไปเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ไม่คิดเลยว่าเขายังคงเก็บมันไว้ พนักงานต้อนรับเชิญเธอเข้ามาภายในโรงแรม “คุณมนต์ตรีรอคุณอยู่ด้านในค่ะ” เธอนำทางเธอไปอย่างกระตือรือร้น หัวใจของจารวีเต้นโครมคราม เธอคิดว่าตัวเองมาถึงก่อนเวลายี่สิบนาทีก็นับว่าเร็วมากๆแล้ว แต่มนต์ตรีกลับมาถึงก่อนตัวเองเสียอีก จารวีจึงเอ่ยถามพนักงานสาวสวยออกไป “เขามาถึงตั้งแต่เมื่อไรคะ” พนักงานต้อนรับยิ้มบางๆพลางเอ่ย “ดิฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจค่ะ ดิฉันเข้างานมาเมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว ก็พบคุณมนต์ตรีอยู่ที่นี่แล้ว ถ้าหากว่าคุณผู้หญิงต้องการทราบ ดิฉันจะไปถามเพื่อนร่วมงานให้นะคะ” “เอ่อ ไม่เป็นไรค่ะ ฉันแค่ถามเฉยๆ” สองชั่วโมงที่แล้วก็มาถึงแล้วงั้นหรอ พี่มนต์ พี่อยากเจอฉันถึงขนาดนั้นเชียวหรือ... พี่มนต์เป็นถึงผู้บิหารของบริษัทซัวกรุ๊ปจำกัด ก็ควรจะมีงานมากมายให้ทำสิ เพียงแค่มารอเธอ ทำไมถึงยอมเสียเวลาไปมากมายขนาดนั้นกันนะ หัวใจของจารวีรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย คล้ายกับถูกกอบกุมไว้ด้วยมือใหญ่ของใครบางคน เมื่อผลักประตูให้เปิดออก ร่างกายที่สมส่วนสง่าผ่าเผยของมนต์ตรีปรากฎแก่สายตาของจารวี เขายังคงสวมชุดสูทสีขาวประณีตสะอาดสะอ้าน ช่างเหมาะสมกับบุคลิกของผู้ใส่ มนต์ตรีมองเธอเดินเข้ามาหาด้วยรอยยิ้มที่เบิกบาน เขาหยัดกายขึ้นเต็มความสูงพร้อมส่งสายตาเป็นประกายสว่างไสวมายังจารวี สิบปีที่ไม่ได้เจอกัน เธอโตขึ้นเยอะเลย นางฟ้าตัวน้อยที่ดูธรรมดา กลับโตขึ้นมาอย่างงดงามสะดุดตาผู้พบเห็น ครั้งที่แล้วที่เจอเธอเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เขายังไม่ทันได้มองเธอให้ดี ครั้งนี้ เขาได้มองเธออย่างถี่ถ้วนมากขึ้น เรือนร่างที่อ่อนหวานแช่มช้อยตั้งแต่หัวจรดเท้า ผมยาวสลวยดำขลับเงางาม ดวงตาใสแจ๋วรับกับใบหน้าเล็กสะอาดหมดจด ฟันซี่เล็กขาวผ่องเรียงตัวเป็นระเบียบ รอยยิ้มแสนหวาน ลักยิ้มที่ทั้งสวยและน่ารักเด่นชัดที่ข้างแก้ม คนที่ใจเขาเฝ้าคิดถึงเฝ้าเพรียกหา ก็คือเธอ..คนที่เขาหมายปอง จารวีเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ สองหนุ่มสาวโผเข้าหากัน ท่ามกลางบรรยากาศปลื้มปิติที่ได้พบหน้ากันอีกครั้ง มนต์ตรีค่อยๆกางวงแขนออก เพื่อที่จะสวมกอดเธอ จารวีชะงักถอยหลังไปหนึ่งก้าว เธอหลีกเลี่ยงอ้อมกอดของเขา สายตาของมนต์ตรีแสดงออกถึงความผิดหวังอย่างชัดเจน “ทำไมล่ะ ตอนนี้โตแล้วเลยไม่ชอบให้พี่กอดแล้วหรอ” จารวีนั่งลงบนโซฟา เธอยิ้มให้เขาพลางยักไหล่ “พี่มนต์ก็ วีโตแล้วนะ พี่ยังคิดว่าวีเป็นเด็กแปดขวบอยู่หรอคะ” ใช่แล้วล่ะ เธอโตขึ้นมากแล้วจริงๆ โตจนกลายเป็นหญิงสาวที่ดูกระดากอาย เหมือนเริ่มมีเส้นบางๆมาคั่นกลางระหว่างเขาและเธอ “โอเคๆ ไม่เป็นไร แต่สำหรับพี่แล้ว วีก็ยังเป็นเด็กที่น่ารักอยู่ดี” ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่ยอมละสายตาไปจากไปหน้าของเธอเลยแม้แต่น้อย สิบปีแล้วที่ไม่ได้เจอเธอ เขาจึงอยากจะมองเธอให้นานๆชดเชยให้กับเวลาที่เสียไป “วี พี่สั่งอาหารที่วีชอบมาเยอะแยะเลยนะ แต่ไม่รู้ตอนนี้วียังชอบทานอยู่หรือเปล่า” “อื้ม พี่มนต์สั่งอะไรมาวีก็ชอบทานหมดแหละค่ะ” ดวงตาของจารวีเผยรอยยิ้มที่ใสซื่อบริสุทธิ์ หนุ่มสาวรอเพียงไม่นานอาหารก็ถูกยกมาเสิร์ฟ ผัดเปรี้ยวหวานซี่โครงหมู ซุปลูกชิ้นรวมมิตร ข้าวเหนียวห่อกุ้ง แล้วก็ยังมี...เกาลัดคั่วอีกหนึ่งจาน ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่จารวีชอบกิน ทั้งๆที่เวลาผ่านไปสิบปีแล้ว เขาก็ยังจำได้ว่าเธอชอบกินอะไร พลันหัวใจของจารวีก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา จารวีเบิกตาโพรงด้วยความประหลาดใจ “ที่นี่ก็มีเกาลัดคั่วด้วยหรอคะ” “ฮ่าๆ พี่สั่งให้พนักงานไปซื้อมาจากข้างนอกน่ะ ร้านลุงสิงไงวีจำได้ไหม ตอนเด็กๆวีชอบวิ่งไปที่ร้านของลุงบ่อยๆ ตอนนั้นที่อุ้มตุ๊กตาไปน้ำลายก็ไหลไป พี่ยังจำได้ชัดเจนแจ่มแจ้งเชียวล่ะ” “จำได้สิคะ! ตอนนั้นแม่กลัวหนอนแมลงวันมาก เลยไม่ค่อยให้วีทานขนมหวาน วีชอบทานเกาลัดคั่วแม่ก็ไม่ยอมซื้อให้ทาน วีก็เลยชอบเดินไปแอบมองที่หน้าร้านลุงสิงบ่อยๆ แค่ได้ดมกลิ่นก็สบายใจแล้วค่ะ ฮ่าๆๆ” ตอนนั้น พี่มนต์ชอบแอบซื้อเกาลัดคั่วมาหนึ่งถุง แล้งจูงมือเธอไปในที่ที่ผู้ใหญ่จะหาไม่เจอ จากนั้นก็แกะเกาลัดให้เธอทานทีละเม็ด เป็นเพราะพี่มนต์ปอกเกาลัดให้ทาน จารวีก็เลยคิดมาตลอดว่าจะแต่งงานกับเขาคนเดียวเท่านั้น ในตอนนั้นความตั้งใจของเธอแน่วแน่มาก ความทรงจำในวัยเด็กฉายชัดขึ้นพร้อมกัน ใบหน้าของเขาทั้งสองถูกแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มที่เบิกบานใจ “นี่ ตอนเด็กๆวีน่ารักมากเลยนะ หน้ากลมๆ ตาก็กลมๆ ลักยิ้มก็บุ๋มๆ” มนต์ตรีหยิบเกาลัดมาหนึ่งเม็ด เขาแกะเปลือกออกอย่างหมดจดพลางยื่นไปวางไว้ตรงหน้าของจารวีเหมือนเมื่อสิบปีที่แล้ว ราวกับว่าเวลาถอยหลังกลับไปยังช่วงเวลานั้นอย่างรวดเร็ว สายตาอ่อนโยนของมนต์ตรีมองจารวีด้วยความรักใคร่ ดวงตาของเธอสบเข้ากับสายตาของเขา ดวงตาสองคู่สบกระสานกันชั่วขณะหนึ่ง ราวกับว่ามีประกายไฟลุกโชนถ่ายทอดมายังเขาทั้งสองอย่างน่าอัศจรรย์ เธอคิดถึงเขามาสิบปี เขาก็ตามหาเธอมาสิบปี เวลานี้ ในสายตาของเขามีเพียงใบหน้าของจารวี และในสายตาของจารวีบ่งบอกถึงความอิ่มเอมใจ และมีเพียงดวงตาที่สว่างไสวของเขา ใช่แล้ว เธอรักเขาอย่างไม่ต้องสงสัย ระยะห่างระหว่างเขาและเธอสั้นลงอย่างไม่รู้สึกตัว ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น จารวีรู้สึกตัวขึ้นจากความสับสนงงงวย เธอค้นพอว่าตัวเธอนั้นอยู่ห่างจากมนต์ตรีไม่ถึงหนึ่งคืบ บ้าไปแล้ว นี่ฉันหน้ามืดตามัวหรือไงกัน เมื่อสักครู่นี้เกิดอะไรขึ้นกันนะ อีกนิดก็...... ไม่ได้ เธอจะทำแบบนี้ไม่ได้นะจารวี ตอนนี้เธอไม่ใช่หญิงสาวบริสุทธิ์อีกต่อไปแล้ว เธอมันสกปรก เธอไม่คู่ควรกับพี่มนต์เลยสักนิด และยิ่งไปกว่านั้นก็คือพี่มนต์เขามีคนที่หมายปองในใจอยู่แล้ว มนต์ตรีลังเลใจไปชั่วขณะหนึ่ง เขาจึงตัดสินใจกดรับโทรศัพท์ เสียงที่ดังเล็ดลอดออกมาจากปลายสายเป็นเสียงของสุรีย์วัลย์เป็นแน่แท้ “มนต์คะ วันมะรืนฉันจะไปงานเลี้ยงที่ลานเจียแมนชั่น คุณพาฉันไปซื้อชุดราตรีหน่อยสิคะ” สีหน้าของจารวีแปรเปลี่ยนเป็นความกระอักกระอ่วน โชคดีที่เมื่อสักครู่เธอไม่ได้ทำอะไรที่เกินเลยลงไป สายตาของมนต์ตรีแสดงออกถึงความละอายใจ เขายื่นมือไปปิดลำโพงโทรศัพท์พลางเอ่ยกับจารวีเสียงเบา “พี่ไปคุยโทรศัพท์ก่อนนะ...” มนต์ตรีเดินหายออกไปจากห้อง เธอได้ยินเสียงเล็ดลอดเข้ามาอย่างไม่ชัดถ้อยชัดคำนัก “ผมมาทานข้าวข้างนอก......โอเค” น้ำเสียงของเขาฟังดูอบอุ่นนุ่มนวล เห็นได้ชัดว่าเขาคงรักคู่หมั้นของตนเองมาก ภายในใจของจารวีว่างเปล่า ก่อนหน้านี้เธอเข้าใจผิดมาตลอดสินะ เขานัดเธอออกมา ก็เพียงเพราะเขาเห็นเธอเป็นน้องสาวเท่านั้น แต่ตัวเธอเองกลับคิดว่า...... จารวี! นี่เธอกำลังคิดอะไรอยู่! เธอไม่คู่ควรกับเขา ไม่คู่ควรเลยสักนิด... หลายนาทีผ่านไปมนต์ตรีเดินกลับเข้ามาในห้อง ใบหน้าชุ่มเหงื่อ แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มจืดชืด เขานั่งลงตรงข้ามจารวี “พี่ขอโทษนะ...” จารวียิ้มให้เขาอย่างไม่ติดใจอะไร “ไม่เป็นไรค่ะ เอ่อ...คู่หมั้นของพี่มนต์ใช่ไหมคะ” สายตาของมนต์ตรีบ่งบอกถึงความลำบากใจ แต่เขาก็พยักหน้ารับช้าๆ “วี ก่อนหน้านี้พี่ตามหาวีมาตลอด แต่คุณลุงบอกว่าวีเสียชีวิตแล้ว ท่านบอกว่าครอบครัววีประสบอุบัติเหตุ แล้วทุกคนก็เลย...” น้ำเสียงของเข้าอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าลังเลเล็กน้อยก่อนจะถามออกไป “ครอบครัวของวีประสบอุบัติเหตุจริงหรือเปล่า” จารวีหยุดชะงักมือที่กำลังใช้ตะเกียบคีบอาหาร ดวงตาของเธอพลันเศร้าหมอง “จริงค่ะ แต่เกิดขึ้นปีไหน วีก็ไม่ค่อยแน่ใจ คุณแม่ท่านจากวีไปแล้ว ส่วนคุณพ่อก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย วีถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล หลังจากนั้นคุณลุงก็ไปรับวีมาอยู่ด้วย...” มนต์ตรีค่อยๆยื่นมือหนาไปกุมมือของเธอพลางจ้องมองใบหน้าเรียวเล็กอย่างไม่ละสายตา “วี พี่ขอโทษนะ เวลาที่วีต้องการพี่ที่สุดพี่กลับไม่ได้อยู่ข้างๆ วีอภัยให้พี่ได้ไหม ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พี่จะไม่ให้วีต้องทุกข์ทรมานอีกแล้ว” จารวียิ้มรับบางๆพลางออกแรงดึงมือตัวเองกลับมา “พี่มนต์ วีรับรู้ถึงน้ำใจของพี่นะคะ แต่ว่าตอนนี้พี่กำลังจะแต่งงาน วีไม่อยากรบกวนพี่” เธอพูดเตือนสติเขา “วี พี่ขอโทษ ถ้าพี่รู้ว่าวียังมีชีวิตอยู่ พี่ไม่มีทางตกลงหมั้นกับสุรีย์วัลย์แน่ๆ” “พี่มนต์......” จารวีเสมองไปทางอื่น เธอพยายามสกัดกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา แต่ไหนแต่ไรมา โลกใบนี้ไม่เคยยุติธรรมกับเธอเลย แค่คำว่า “ความสุข” เธอยังไม่เคยได้รับมันเลย “พี่ตกลงหมั้นกับคุณสุรีย์วัลย์ไปแล้ว หน้าที่ของพี่คือต้องดูแลเธอให้ดี ส่วนวี วีคิดว่าอีกไม่นานก็คงจะพบกับคนที่ทำให้วีมีความสุขได้เหมือนกัน...” จารวีลุกขึ้นยืน พยายามฝืนยิ้มอย่างยากลำบาก รอยยิ้มของเธอจืดชืดไร้ชีวิตชีวา เธอพยายามสะกดอารมณ์ไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมา อย่าทำให้เขาเปลี่ยนใจ อย่าทำให้เขาเปลี่ยนความรู้สึก อย่าพาตัวเองก้าวเข้าไปในวังวนของความรักที่ไม่มีทางเป็นไปได้อีกเลย จารวีเตือนตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า มนต์ตรียืนขึ้นเต็มความสูง สายตาจ้องมองเธออย่างเจ็บปวด “พี่มนต์ วีอิ่มแล้ว งั้นวีไปก่อนนะคะ” “วี ให้พี่ไปส่งนะ ตอนนี้วีอยู่ที่ไหนหรอ พี่เคยไปบ้านพูลสวัสดิ์อยู่ครั้งหนึ่ง ซึ่งตอนนี้กลายเป็นบ้านร้างไปแล้ว บริษัทคุณลุงของวีก็ถูกคนอื่นรับซื้อไป นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่หรอวี” มนต์ตรีเอ่ยถามพลางรั้งข้อมือของจารวีไว้ จารวีช้อนสายตาขึ้นมองเขา “ฮ่าๆ เรื่องพวกนี้เดี๋ยววีจัดการเองค่ะพี่มนต์ วีไปก่อนนะคะ” “วี...” จารวีเลือกที่จะปฏิเสธความหวังดีที่มนต์ตรีมีให้ พร้อมกับเร่งฝีเท้ากลับออกจากโรงแรมแชงกรีลาให้ไวที่สุด เธอคิดว่าตัวเองกำลังเพ้อฝันอะไรอยู่งั้นหรอ เธอไม่เหมาะสมกับที่นี่เลยสักนิด พี่มนต์เขามีคนของเขาตั้งนานแล้ว จารวี นี่เธอกำลังหวังอะไรอยู่หรอ! จารวีกลับมาถึงบ้านของอังคณา ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นความมืดมิด อังคณาเอาโทรศัพท์ของจารวีมาวางไว้ตรงหน้า “เร็วเข้า วิญญาณคอยตามติดชีวิตแกโทรมา” จารวีเปิดโทรศัพท์ขึ้นมา มีสายที่ไม่ได้รับจากยศพลหลายสิบสาย ไปดูงานต่างประเทศก็ยังว่างโทรมาหรือไง จารวีรีบกดโทรศัพท์ต่อไปยังปลายสาย เสียงจากปลายสายที่ดังเล็ดลอดออกมาของยศพลแสดงออกถึงความโมโหฉุนเฉียวอย่างถึงที่สุด “จารวี นี่เธอไปตายที่ไหนมา!!” “เมื่อสักครูฉันเรียนอยู่ เลยรับโทรศัพท์ไม่ได้” จารวีค่อยๆเริ่มที่จะเรียนรู้วีธีการโกหกหน้าตายโดยไม่มีพิรุธเลยสักนิด อังคณาชูนิ้วหัวแม่มือพลางเขย่าให้เธอไปมา “จริงหรอ” “จริงสิ ฉันกล้าโกหกคุณที่ไหนกัน” “อืม งั้นก็ดี เพราะถ้าเธอโกหกฉัน เธอตายแน่...” “ไม่กล้าหรอกค่ะ”
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่42 คาดหวังอะไร
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A