ตอนที่43 พี่สาวที่ผิดปกติ   1/    
已经是第一章了
ตอนที่43 พี่สาวที่ผิดปกติ
ต๭นที่43 พี่สาวที่ผิดปกติ บ้านของอังคณาห่างจากโรงเรียนไม่มากนัก จารวีคุยโทรศัพท์พลางเดินอ้อมมายังหน้าประตูโรงเรียน เธอมองเห็นรถของนิรันจอดอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่พอดี จารวีโบกมือลาให้อังคณาแล้วจึงก้าวขึ้นรถ ในมือถือโทรศัพท์พรางเอ่ยกับปลายสาย “โอเค ตอนนี้ฉันอยู่ปารีส เธออยากได้อะไรไหม” น้ำเสียงของยศพลผ่อนคลายลงกว่าเดิม “ไม่อยากได้อะไรค่ะ คุณกลับมาวันไหน” จารวีเอ่ยถาม “ทำไม คิดถึงฉันจนทนไม่ไหวงั้นสิ” น้ำเสียงของยศพลปิดบังความลำพองใจไว้ไม่มิด ในใจของจารวีรู้สึกรังเกียจเป็นอย่างมาก ใครคิดถึงคุณกัน ทางที่ดีไม่ต้องกลับมาตลอดไปเลย “ฮ่าๆ ฉันถึงบ้านแล้วนะ นี่ตกลงคุณจะกลับมาวันไหน” ทันใดนั้นก็มีเสียงผู้หญิงดังเล็ดลอดออกมาจากปลายสายของยศพล ยศพลเอ่ยกับจารวีว่า “อยู่บ้านเป็นเด็กดี อย่าซนล่ะ” พูดจบเขาก็กดวางสายโดยไม่รอให้เธอตอบกลับไป เช้าวันที่สอง จารวีเดินอ้อมไปยังสนามหญ้าด้านหลังตัวบ้าน เธอเห็นนิรันกำลังตรวจสอบความเรียบร้อยของรถ ดูๆแล้วอายุของนิรันน่าจะไม่ถึงสามสิบ เขาเป็นบอดี้การ์ดที่มีฝีมือคล่องแคล่วว่องไว มีผิวสีแทน ใบหนามคมเข้มบ่งบอกอารมณ์ที่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่ สายตาเย็นชาของเขา ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่กับคนแปลกหน้า ปกติจารวีไม่ค่อยได้คุยกับเขาเท่าไรนัก “พี่รัน...” จารวียื่นอยู่ด้านหลังของเขา ตะโกนเรียกพร้อมกับยิ้มให้ นิรันยืนตัวแข็งทื่อ สายตาแสดงออกถึงความอึดอัดใจ สรรพนามที่เธอใช้เรียกเป็นอะไรที่เขารับไม่ได้ เขาเป็นเพียงแค่บอดี้การ์ดของยศพล สถานะของเขาเปรียบเสมือนคนรับใช้ แต่จารวีเป็นผู้หญิงของยศพล ก็เท่ากับเป็นเจ้านายของเขา เขาจะยอมรับคำแทนตัวเองที่เธอร้องเรียกนี้ได้อย่างไรกัน “เอ่อ..คุณจารวี สวัสดีครับ” นิรันโค้งคำนับให้จารวีจนหัวของเขาแทบจะติดกับพื้นดิน จารวีรีบดึงให้เขายืดตัวขึ้นมา “ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ” นิรันเปิดประตูให้เธออย่างเร่งรีบ “คุณจารวีจะไปมหาวิทยาลัยใช่ไหมครับ” “ไม่ใช่ค่ะ วันนี้วันหยุด” “อ่อครับ ถ้าอย่างนั้นคุณจารวีจะออกไปซื้อของหรอครับ” “เปล่าค่ะ ฉันก็แค่อยากมาชวนพี่รันคุย เอ้อ พี่รันทำงานให้คุณยศพลมานานหรือยังคะ” “เปล่าครับ เพิ่งจะแค่สามปีเท่านั้น” นิรันยิ้มพลางตอบอย่างซื่อตรง “แล้วพี่รันเป็นคนเมืองSหรือเปล่าคะ” จารวียังคงชวนคุยต่อ “ไม่ใช่ครับ ผมเป็นคนชานตง” “อ่อ...ชานตงหรอคะ ฮ่าๆเยี่ยมไปเลย” นิรันไม่ค่อยเข้าใจจุดประสงค์การคุยกันครั้งนี้เท่าใดนัก เขายกมือขึ้นเกาใบหน้าไปมาด้วยความอึดอัดเคอะเขิน “ฉันมีเรื่องให้พี่รันช่วยหน่อยจะได้ไหมคะ” “เรื่องอะไรครับ เชิญคุณจารวีสั่งได้ตามสบาย” “เอ่อ.. คือมีที่นึงที่ฉันอยากจะไปน่ะค่ะ แต่มันค่อนข้างไกล” “ที่ไหนหรอครับ” “เอ่อ.. เป็นสถานพักฟื้นผู้ป่วยทางจิตแห่งนึงน่ะค่ะ อยู่ห่างจากที่นี่ประมาณสองชั่วโมง” จารวีลองหยั่งเชิงเอ่ยออกไป นิรันขมวดคิ้วอย่างลำบากใจ คุณชายแค่บอกว่าให้ไปรับไปส่งเธอไปมหาวิทยาลัย แต่ไม่ได้อนุญาติให้พาเธอไปที่อื่นได้ แต่ก็ไม่ได้สั่งห้ามว่าไม่ให้ไปนี่นา นิรันมีความคิดขัดแย้งและลังเลกับตัวเองสักพัก “พี่รันไมต้องห่วงนะคะ ฉันจะไม่ทำให้พี่เดือดร้อน ถ้าคุณยศพลถามฉันจะบอกเองว่าเป็นคนบังคับให้พี่พาไป” จารวีรับปากอย่างจริงจัง นิรันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงพยักหน้ารับปาก “โอเคครับ แต่ว่าคุณจารวีอย่าอยู่นานนะครับ” “โอเคค่ะ! ขอบคุณนะคะพี่รัน” จารวีดีใจอย่างถึงที่สุด เธอไม่คิดว่าคนแบบนิรันจะพูดโน้มน้าวง่ายขนาดนี้ ในเวลาต่อมา รถขับพาเธออกจากเมืองSอย่างรวดเร็วโดยมุ่งหน้าไปทางสถานพักฟื้นผู้ป่ายทางจิต นิรันจอดรถไว้ด้านนอก “คุณจารวีครับ ผมรออยู่ด้านนอกนะครับ คุณอย่าอยู่นานนะครับ” “อื้มม ฉันรู้แล้วค่ะ” จารวีไม่ได้ตรงไปยังห้องผู้ป่วยทันที แต่เธอไปหาแพทย์เจ้าของไข้ของพี่ก่อน ครั้งที่แล้วเธอรู้มาว่านายแพทย์คนนั้นชื่อคุณตนัส การมาของเธอในครั้งนี้ เธอแค่อยากรู้สาเหตุของการป่วยที่แท้จริงของพี่ “คุณพยาบาลคะขอสอบถามหน่อยค่ะ นายแพทย์ตนัสอยู่ไหมคะ” นางพยาบาลที่เคาน์เตอร์ชี้นิ้วไปยังบันไดทางด้านซ้ายพลางเอ่ย “นายแพทย์ตนัสอยู่ชั้นสองห้องหมายเลขสามค่ะ ทางที่ดีคุณรีบไปเลยนะคะเพราะอีกสิบนาทีคุณหมอก็ลงเวรแล้วค่ะ” จารวีมองโทรศัพท์พลางนึก ใกล้จะถึงเวลารับประทานอาหารแล้วนี่นา เธอหันไปขอบคุณนางพยาบาล พลางรีบวิ่งไปยังชั้นสอง เมื่อวิ่งมาถึงห้องหมายเลขสาม เธอก็พบว่านายแพทย์ตนัสกำลังปิดประตูห้อง จารวีจึงรีบวิ่งเข้าไปหาเขาอย่างกระหืดกระหอบ “ขอโทษนะคะ คุณคือนายแพทย์ตนัสหรือป่าวคะ” นายแพทย์ตนัสในชุดกาวน์สีขาวจ้องมองเธออย่างตั้งใจพลางพยักหน้าช้าๆ “ใช่ครับ แล้วคุณคือ...” “ฉันเป็นญาติของยุพินค่ะ ยุพินคือคนไข้ของคุณใช่ไหมคะ” นายแพทย์ตนัสงุนงงเล็กน้อย “ใช่ครับ คุณมีอะไรหรือเปล่า” จารวีฉีกยิ้มบางๆพลางโค้งตัวให้เขา “ฉันมีเรื่องอยากจะถามคุณหมอหน่อยน่ะค่ะ ไม่ทราบว่าคุณหมอพอจะมีเวลาว่างไหมคะ” นายแพทย์ตนัสก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ “ได้ครับ ผมให้เวลาคุณครึ่งชั่วโมง” พูดจบเขาก็เปิดประตูห้องทำงานออกอีกครั้ง จารวีซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก “ขอบพระคุณมากๆเลยค่ะ” หลังจากทั้งคู่นั่งลงเป็นที่เรียบร้อย จารวีเอ่ยถาม “ก่อนหน้านี้พี่ของฉันยังปกติดีอยู่ค่ะ ฉันเลยคิดไม่ตกเลยว่าทำไมเธอถึงกลายเป็นโรคประสาทไปได้” นายแพทย์ตนัสลังเลไปชั่วขณะหนึ่ง “คืองี้นะครับ ผู้ป่วยบางคนเมื่อพบเจอกับสถานการณ์อะไรที่สะเทือนใจอย่างรุนแรงแล้วเขาคนนั้นไม่สามารถรับมือได้ ก็เลยทำให้เกิดโรคทางจิตเวชตามมา” “ฉันรู้ค่ะ แต่ฉันรู้จักพี่สาวฉันดี เธอไม่ได้เป็นคนที่มีจิตใจอ่อนแอ ปกติเธอเป็นคนเข้าสังคมเก่ง เธอไม่เหมือนคนอื่น เธอเป็นโรคหัวใจ บางที่เธอก็ชอบหลีกหนีผู้คนที่วุ่นวาย แต่ยังไงเธอก็เป็นคนที่เข้ากับคนง่าย ฉันคิดว่าแค่อกหักไม่มีทางทำให้เธอกลายเป็นโรคประสาทได้แน่ๆค่ะ” จารวีเอ่ยอย่างวิตกกังวล นายแพทย์ตนัสเงียบไปสักพัก “เกี่ยวกับเรืองที่คุณพูด ผมคิดว่า...คืองี้นะครับ อันที่จริงแล้วตอนนี้ผมยังไม่ค่อยแน่ใจ เพราะว่าพี่สาวของคุณเป็นกรณียกเว้น” “ยังไงคะ” จารวีได้ยินนายแพทย์ตนัสบอกดังนั้น ในใจเธอจึงค่อนข้างสับสน “คือ... เพราะการวินิจฉัยอาการทางจิตไม่สามารถยึดหลักพยาธิวิทยาทั่วไปมาตัดสินชี้ขาดได้ แต่ต้องวินิจฉัยโดยการยึดหลักจิตวิทยาและพฤติกรรมของผู้ป่วยเป็นหลัก ดังนั้น ขีดจำกัดของแต่ละคนก็มีไม่เท่ากัน ถ้าหากว่าเป็นคนที่มีพฤติกรรมที่ผิดแผกแปลกแยกไปจากคนอื่น ทางการแพทย์จะวินิจฉัยว่าเป็นโรควิกลจริต” จารวีพยักหน้าตามอย่างช้าๆ จริงๆแล้วสิ่งที่เธอยากที่จะทำความเข้าใจก็คือ พี่มี่เรื่องที่จิตใจของตัวเองยอมรับไม่ไหว แต่ถ้าพี่เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจกำเริบ ยังดูเป็นไปด้มากกว่ากลายเป็นคนวิกลจริตเช่นนี้เลย “ถ้าอย่างนั้น ที่คุณหมอบอกว่าพี่เป็นกรณียกเว้น หมายความว่ายังไงคะ” นายแพทย์ตนัสเงียบไปสักครู่แล้วจึงเอ่ยออกมา“พี่สาวของคุณ มาสถานบำบัดผู้ป่วยทางจิตนี้ด้วยตัวเองครับ” “อะ...อะไรนะคะ” จารวีตกตะลึงเป็นอย่างมาก ก่อนหน้านี้เธอเข้าใจผิดมาตลอด เธอคิดว่ายศพลเป็นคนทำให้พี่เป็นบ้า คิดไม่ถึงเลยว่าพี่เป็นจะเป็นคนสมัครใจมาที่นี่เอง นี่... นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ “คืองี้นะครับ หลังจากคนไข้ยุพินมาที่นี่ เธอพูดว่าเธอได้พบเจอกับสิ่งที่สะเทือนใจ แล้วมักจะเกิดภาพหลอนขึ้นมาในจินตนาการ เธอบอกว่ามีคนพยายามมจะฆ่าเธอ ผมเลยพยายามโน้มน้าวให้เธอไปรักษาที่โรงพยาบาลจิตเวช แต่เธอไม่ยอมไป เธอยืนยันว่าจะเข้ารับการบำบัดที่นี่” จารวีรับฟังอย่างเงียบๆ “แต่เนื่องจากการแสดงออกของเธอเหมือนคนปกติทุกอย่าง ไม่เหมือนกับคนที่มีอาการทางจิต ทางเราเลยไม่รับ... จนกระทั่งหลังจากนั้น... เธอกินเนื้อและดื่มเลือดของตัวเอง ทางเราก็เลยรีบรับเธอมา เพราะคนที่มีพฤติกรรมเช่นนี้เป็นอาการของคนวิกลจริต” นายแพทย์ตนัสเอ่ยมาถึงตรงนี้ ในใจของเขายังคงหวาดผวา เพราะว่าตั้งแต่เขาเป็นหมอมา นี่คืออาการป่วยที่น่ากลัวที่สุดที่เคยพอเจอ “กินเนื้อ ดื่มเลือดตัวเองเนี่ยนะคะ!!” จารวีโพล่งออกไปอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ทำไมถึงเป็นแบบนั้นไปได้ นี่ไม่ใช่พี่สาวคนเดิมที่เธอรู้จัก พี่เป็นคนอ่อนโยนใจดี แล้วทำไมถึงมีอาการป่วยเช่นนี้ นี่ต้องไม่ใช่เรื่องจริงแน่ๆ นายแพทย์ตนัสมองเห็นจารวีหน้าถอดสี เขาเลยกดเปิดคอมฯพร้อมกับเปิดไฟล์วิดีโอขึ้นมา “นี่คือพฤติกรรมของคนไข้ยุพินในวันนั้น เธอถูกช่างภาพคนหนึ่งที่เดินผ่านมาถ่ายไว้ได้พอดี หลังจากนั้นทางเราจึงขอเก็บวิดีโอนี้ไว้เพื่อประกอบการรักษา คุณดูนะครับ” นายแพทย์ตนัสกดเปิดวิดีโอ ถึงภาพในวิดีโอนั้นจะไม่ค่อยชัดเจนนัก แต่จารวีมองเพียงแวบเดียวก็รู้แล้ว นั่นคือพี่จริงๆ... เธอมองเห็นหัวที่ยุ่งเหยิง ดวงตาอิดโรยเหมือนคนไร้ชีวิตของพี่ เธอนั่งอยู่บนพื้นกำลังแทะเล็มไปที่ข้อมือของตัวเอง เนื้อส่วนนั้นถูกกัดจนฉีกขาด เลือดสีแดงสดไหลออกจากมุมปากของเธอ... “ปิดเถอะค่ะ” จารวีไม่มีเรี่ยวเรียงที่จะดูต่อไป ในใจของเธอสับสนราวกับเส้นด้ายที่พันกันจนยุ่งเหยิง เป็นไปไม่ได้ พี่คะ... ทำไมพี่ถึงเป็นแบบนี้ เวลาผ่านไปเนิ่นนาน จารวียืนขึ้นพลางหันไปกล่าวขอบคุณนายแพทย์ตนัส “ขอบพระคุณมากๆนะคะคุณหมอ ดิฉันขอคุยกับพี่หน่อยได้ไหมคะ” “ได้สิครับ แต่จากอาการของคนไข้แล้ว ผมแนะนำว่าคุณคุยกับเธอตอนที่มีพยาบาลควบคุมดูแลอยู่ด้วยน่าจะดีกว่านะ และถ้าหากมีเหตุสุดวิสัยอะไรเกิดขึ้น คุณต้องรีบกลับออกมาทันทีนะครับ ไม่เช่นนั้น ทางเราก็ไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยของคุณได้” “เข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ” จารวีเดินออกมาจากห้องทำงานของนายแพทย์ตนัสด้วยดวงใจที่หนักอึ้ง แต่ทว่า เธอไม่ได้ทำตามคำแนะนำที่นายแพทย์ตนัสบอก แต่กลับตรงไปหายุพินคนเดียวตามที่ตั้งใจไว้ หลายปีมาแล้ว เธอมีความเข้าอกเข้าใจยุพินเสมอ เธอเชื่อว่าเธอไม่มีทางทำร้ายเธอแน่นอน จารวีล้วงเข้าไปในกระเป๋า หยิบกล่องข้าวที่เธอนำติดตัวมาด้วยออกมา ข้างในกล่องคือเกี๊ยวที่เธอห่อเองกับมือ ยุพินยังเหมือนครั้งที่แล้ว เธอยืนเงียบๆอยู่ริมหน้าต่างพลางทอดสายตาออกไปด้านนอก ข้อมือของเธอพยุงไว้กับโครงเหล็กดัดของหน้าต่าง แขนเสื้อเลิกขึ้นเล็กน้อยเผยให้เห็นแขนที่ผอมซีดจนเหลือแต่เนื้อติดกระดูก ด้านบนมีรอยแผลใหญ่ที่ดูโหดร้ายทารุณ จิตใจของจารวีดิ่งลงยิ่งกว่าเดิม...นั่นคือรอยที่พี่กัดเองใช่ไหม จารวีคิดไม่ออกว่าพี่ไปเอาความกล้าหาญจากไหนมาทำร้ายตัวเองขนาดนั้น... ถ้าให้เธอคิดว่าพี่ตัวเองเป็นบ้า สู้คิดว่าพี่กำลังหาทางระบายความกลั้นกลุ้มที่อยู่ภายในใจซะยังดีกว่า “พี่คะ วีมาแล้ว” จารวีเดินไปหยุดลงที่ข้างกายของยุพิน พลางดึงให้เธอนั่งลงบนเก้าอี้ “พี่คะ วีห่อเกี๊ยวมาให้ พี่ลองชิมดูสิว่าฝีมือวีพัฒนาขึ้นบ้างหรือเปล่า” เธอยกกล่องเกี๊ยวออกมาพร้อมเปิดฝาออก จากนั้นใช้ตะเกียบคีบเกี๋ยวยื่นไปตรงหน้าของยุพินพลางเอ่ยอย่างระมัดระวัง “พี่คะ ลองชิมสักคำสิ” สายตาของยุพินจ้องมองเธอด้วยความว่างเปล่า ไม่พูดไม่จาและไม่อ้าปากกินเกี๊ยวที่เธอยื่นให้ ทันใดนั้นเธอก็ยื่นมือมาคว้ากล่องเกี๊ยวแล้วคว่ำมันลงบนศีรษะของจารวี จารวีไม่ทันได้ระวังตัว เกี๊ยวที่ร้อนผ่าวไหลตั้งแต่บนศีระลงมายังใบหน้าและลำคอของจารวี จารวีร้อนจนกระถดถอยหลังหนีพลางรีบหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำซุปเกี๊ยวออกจากใบหน้าของเธอ โชคดีที่ไม่ใช่น้ำร้อน ไม่อย่างนั้นเธอคงโดนลวกจนเสียโฉมเป็นแน่ “ฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่าๆๆ....” ยุพินหัวเราะอย่างบ้าคลั่งราวกับว่ากำลังดูอะไรที่น่าขำขันมากๆ ในเวลานั้น พยาบาลที่คอยเฝ้าอยู่ด้านนอกรีบร้อนวิ่งเข้ามาด้านในพลางถือเข็มฉีดยาตรงไปฉีดให้ยุพิน
已经是最新一章了
加载中