ตอนที่ 64 ฉันเคยสัญญากับคุณ   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 64 ฉันเคยสัญญากับคุณ
ต๭นที่ 64 ฉันเคยสัญญากับคุณ เหลืออีกแค่ห้าชั้น มันก็ไม่ไกล แต่ก็ไม่ใกล้ ถ้าขึ้นบันไดไปคนเดียวก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ตอนนี้เท้าของจารวียังปวดใช้เดินไม่ได้ จึงต้องให้เขาอุ้มขึ้นไปเท่านั้น จารวียอมแพ้ก่อน “โอย ช่างเหอะนา นี่ก็ดึกขนาดนี้แล้ว ขึ้นไปก็แค่ได้ตากลม พวกเรากลับกันเถอะ” ยศพลจ้องเธอแล้วเดินเข็นรถเข็นออกมา เข็นมาถึงหน้าทางขึ้นบันได หลังจากนั้นก็ยื่นมาอุ้มจารวีขึ้นมา จารวีมีรูปร่างผอมเพรียว การใช้แขนอุ้มเธอขึ้นมาไม่จำเป็นต้องใช้แรงอะไรเลย ยศพลจ้องเธอ “หรือไม่ต้องอุ้มแล้วจะดีกว่า” “อื้อ” จารวียื่นแขนออกคล้องคอของยศพล ที่จริงแล้วเธอยากที่จะเข้าใจ ว่าผู้ชายอย่างเขาจะทำอะไรประสาทๆ หลังเลิกงานก็ปล่อยไปพักผ่อน ไม่ไปเสวยสุข อยู่ๆก็จงใจออกตัวพาเธอที่กำลังอยู่ในสภาวะไม่สะดวกมาในที่ที่ลึกลับ ลิฟท์เสียแล้วก็ยังอุ้มเธอขึ้นไปอีก บ้าจริงๆเลย ขึ้นไปทำอะไรอ่ะ ตากลมเหรอ แขนของยศพลมีแรงเยอะมาก อุ้มจารวีขึ้นไปชั้นดาดฟ้าทีละก้าวทีละก้าว เหงื่อหยดลงมาจากหน้าผากของเขาแล้วหยดลงบนใบหน้าของเธอ จารวีอดไม่ได้ที่จะพูดว่า "หรือว่า พวกเราลงไปกันเถอะ! ฟ้าก็มืดแล้ว น่าจะหนาวนะ” ยศพลชำเลืองมองเธออย่างรวดเร็ว “ถ้าพูดจาซี้ซั้วอีกผมจะทิ้งเธอไว้นี่ล่ะ เธอเชื่อรึเปล่า” “ไอ้คนชั่ว…”จารวีกระซิบเสียงเบาๆ “อะไร?”ยศพลโกรธจนขึ้นเสียง จารวียิ้มแห้งๆ “ฉันพูดว่าข้าวโพดคั่วน่ะ ไม่รู้ว่าข้างบนจะมีรึเปล่า” สีหน้าของยศพลเพิ่งจะเริ่มดูอบอุ่นขึ้นมา ยิ้มอย่างชั่วร้าย ก้มลงไปที่หูของเธอแล้วพูดว่า “ข้างบนมีทุกอย่างแหละ รับประกันได้เลยว่าเธอจะต้องฟินอย่างแน่นอน…” แค่ประโยคเดียวก็ทำเอาจารวีหน้าแดงเป็นกุ้งที่นึ่งจนสุกแล้ว อีตาบ้านี่ แค่เอ่ยปากก็เป็นเรื่องแบบนี้อีกละ ในที่สุดก็ขึ้นไปถึงชั้นดาดฟ้า ยศพลก็พาจารวีไปนั่งบนเก้าอี้ ระเบียงของดาดฟ้าตึกนี้เป็นบาร์แบบเปิดโล่ง บางทีอาจเป็นเพราะลิฟท์เสีย วันนี้เลยไม่มีแขก มีแต่เพียงจารวีกับยศพลแค่สองคนเท่นั้น ยศพลแข็งแรงดีจริงๆ ถึงจะอุ้มจารวีขึ้นมาถึงข้างบน ก็ไม่หอบเลยสักนิด สั่งค็อกเทลมาขวดหนึ่งแล้วรินใส่แก้ว เดินล้วงกระเป๋ากางเกงไปนั่งตรงข้ามกับจารวี “เหอะๆ ตื่นเต้นใช่มั้ยล่า” “ตื่นเต้นเหรอ?”จารวีกะพริบตา ก็นิดหน่อยนะ “บังเอิญรึเปล่า” “จารวี หลับตาลงสิ…”เสียงของยศพลไม่สามารถปกปิดความลำพองใจได้ จารวีจ้องมองเขาด้วยความหวาดระแวง ผู้ชายคนนี้เป็นจอมเจ้าเล่ห์ แค่นึกถึงประโยคที่เขาพูด จารวีก็ไม่กล้าจะหลับตาลงแล้ว “หรือว่านายจะ….” “เพ้อเจ้อน่ะ ถ้ายังไม่หลับตาอีก ผมจะทิ้งเธอไว้นี่แล้วนะ…” ความอดทนของยศพลทนมาได้แค่สามนาทีเท่านั้น จารวียังคงหลับตาเหมือกเก่า ได้ยินแต่เสียงปัง จารวีตกใจจนสั่นไปทั้งตัว ลืมตาขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าทำเอาเธอตกใจ บนสุดของตึกสำนักงานหกตึก ที่ล้อมรอบอาคารมังกรทั้งสี่ทิศ มีดอกไม้ไฟปรากฎขึ้นมาพร้อมกัน ท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยดอกไม้ไฟที่เปล่งประกายเปล่งประกายในชั่วพริบตา แสงจากดอกไม้ไฟสะท้อนให้เห็นในใบหน้าเล็ก ๆที่ตกใจของจารวี ดอกไม้ไฟพุ่งทะยานขึ้นไป แล้วแตกกระจายอยู่บนท้องฟ้า เหมือนกับดวงดาวเล็กๆที่อยู่เต็มฟากฟ้าแล้วค่อยๆร่วงหล่นลงมา ดอกไม้ไฟปรากฏขึ้นมาฉากต่อฉาก ติดต่อกันครึ่งชั่วโมงแล้ว หัวใจของจารวีเต็มไปด้วยความตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เธอคิดถึงดอกไม้ไฟที่มัลดีฟส์ในครั้งนั้น ทันใดนั้นเธอก็ถูกจูบเบาๆที่หางตา ยศพลจุมพิตหยดน้ำตาของเธออย่างตื่นเต้น “จารวี เธอตื้นตันใจแล้วละสิ” ประโยคนี้ทำเอาจารวีตื่นขึ้นมาจากความสับสน เมื่อมองดูยศพลที่โกรธเหมือนเด็ก ยิ้มแล้วพูดว่า “นี่นายลงทุนอุ้มฉันขึ้นมา เพื่อจุดดอกไม้ไฟให้ฉันเหรอ?” ยศพลฟังเสียงของจารวีแล้วรู้ว่าเธอไม่ได้ฟิน จึงทำสีหน้าเย็นชา “เป็นไง ก็ดูๆไปเถอะ ใครจะจุดให้เธอกันล่ะ ก็แค่จุดไปงั้นๆ เธอไม่ชอบก็เรื่องของเธอสิ” จารวียื่นมีไปโน้มคอของเขา ยิ้มแล้วพูดเบาๆว่า “ฉันชอบนะ” ถ้าตาบ้านี่ตั้งใจจะทำสิ่งนี้เพื่อเธอด้วยใจจริงๆ ก็แปลว่าเขาแคร์เธอมาก และถ้าเป็นแบบนี้ ความฝันของเธอก็คงไม่ใช่เรื่องจริงแน่ๆ คงเป็นแค่เรื่องที่ตัวเองฝันไปมั่วๆ จารวีปลอบใจแบบนี้ กอดยศพลไว้แน่น ยศพลหัวเราะหึๆ แล้วพูดว่า “ในเมื่อเธอซึ้งใจขนาดนี้แล้ว งั้นคืนนี้ให้เธอต้องรุกก่อนนะ” จารวีเกือบจะเลือดพุ่ง รู้สึกไม่สบายใจมาตั้งนานแล้ว ตาบ้านี้ในสมองมันคิดแต่เรื่องพรรนี้สินะ วันต่อมา ณ บริษัทซัวกรุ้ปจำกัด เลขาเดินเข้ามาในห้องทำงานของมนต์ตรีในยามเช้าตรู่ “ท่านประธานคะ ฉันติดต่อกับเลขาของคุณยศพลแล้วค่ะ คำตอบที่ได้มาก็คือ คุณยศพลบอกว่าเขาไม่มีเวลาจะพบกับคุณค่ะ” ใบหน้าที่ขาวใสของมนต์ตรีไร้ซึ่งอารมณ์และความรู้สึก “แต่ว่า บ่ายวันนี้มีแฟชั่นโชว์ที่เกาะทองดิฉันได้สอบถามเกี่ยวกับเรื่องนี้และได้ทราบมาว่าเขาจะเข้าร่วมงานนี้ด้วย ฉันคิดว่านี่โอกาสที่สามารถพบเขาได้ ลองไปดูก่อนว่าจะสามาถเจรจากันได้หรือไม่ค่ะ” “อืม โอเค คุณจัดการให้หน่อยนะ” พอเลขาจัดตารางทำงานเสร็จก็เดินออกมาอย่างรวดเร็ว สายตาของมนต์ตรีมองไปที่รูปของผู้หญิงบนโต๊ะทำงานอย่างควบคุมไม่ได้ เบื้องลึกในใจเขารู้สึกสับสนอย่างมาก จากที่ไม่ค่อยสนใจ กลับเริ่มต้องคุยให้ได้ ภายในใจเริ่มรู้สึกเหือดแห้ง เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่า จารวีจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือกรุ้ปขนาดใหญ่อยู่เบื้องหลัง ทันใดนั้นมือถือก็ดังขึ้น เขาหยิบมือถือขึ้นมารับสาย เสียงที่ปลายอีกด้านของโทรศัพท์ทำให้เขารู้สึกสดชื่นขึ้นมา “วี สบายดีมั้ย” “อื้ม วีสบายดีค่ะ พี่มนต์ เรื่องที่วีขอร้องให้พี่ช่วย พี่ได้เรื่องว่ายังไงบ้างแล้วคะ” ผ่านไปแค่หนึ่งวันหนึ่งคืน เธอก็แทบรอไม่ไหวที่จะโทรมาติดตามสอบถาม ดูเหมือนว่าเรื่องนี้สำคัญกับเธอมาก สมมติว่ายศพลเป็นคนที่อยู่ข้างกายเธอจริงๆ เธอให้ยศพลช่วยสืบหาน่าจะง่ายกว่านี้ ทำไมต้องมาขอความช่วยเหลือจากคนไกลอย่างเขาด้วย ในตอนที่มนต์ตรีนิ่งไปสักพัก จารวีก็ถามขึ้นมาอีกหนึ่งคำถาม “พี่มนต์ รึว่าเป็นเรื่องที่ตรวจสอบยากคะ?” มนต์ตรีรีบดึงสติกลับมา หัวเราะเบาๆ เสียงหัวเราะกระจายไปถึงเธอที่อยู่ปลายสาย “ฮ่ะๆ ไม่ใช่ แค่เพราะว่าวีให้เวลาพี่น้อยไปต่างหาก แต่ว่า พี่มีคำตอบที่แน่ชัดแล้วสองสามข้อ คือลุงของวีไม่ได้อยู่ในเรือนจำของเมืองเอส แต่ถูกกักขังอยู่รึเปล่าพี่ก็ยังรู้ไม่แน่ชัด แต่ว่าถ้าอ้างตามคำพูดของวี ว่าต้องเข้าคุก ก็คงต้องมีการผ่านกระบวนการของศาล มันเป็นไปไม่ได้ที่จะถูกพาตัวไปยังเรือนจำในทันทีน่ะ วีทนรอก่อนสักสองสามวันนะ” จารวีผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด “ได้ค่ะ รบกวนด้วยนะคะ พี่มนต์ พี่ดีกับวีมากเลยจริงๆ” “ฮ่ะๆ อย่าพูดอย่างนั้นเลย มันเป็นเรื่องที่พี่ควรทำ พี่เคยรับปากกับวีแล้ว ว่าพี่จะดูแลวีไปตลอดชีวิต” มนต์ตรีพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังและมั่นใจ พี่รับปากกับวีแล้ว ว่าพี่จะดูแลวีไปตลอดชีวิต พี่รับปากกับวีแล้ว ว่าพี่จะดูแลวีไปตลอดชีวิต เขากำลังคุยกับเธออยู่เหรอ? ทำไมเรื่องนี้มันช่างเจ็บปวดเหลือเกิน? เขาจะดูแลเธอไปตลอดชีวิต แล้วเธอมีคุณสมบัติดีพอที่จะให้ดูแลเขารึเปล่า? เธอก็เป็นแค่เมียเก็บคนนึงก็เท่านั้น พอวางสาย จารวีก็ถือมือถือนิ่งๆ พี่มนต์ พี่มนต์ของเธอ ชาตินี้ คงไม่ได้อยู่ด้วยกันอีก น้ำตาไหลออกมาเหมือนไข่มุกที่แตกสลาย เธอนึกไปถึงเสียงของเขา รอยยิ้มของเขา และท่าเดินของเขาอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ เธอคิดไม่มากพอ คิดถึงไม่พอ ในสมองของเธอเต็มไปด้วยภาพของเขา “จารวี ฉันทำให้เธอจริงๆนั่นแหละ ดอกไม้ไฟเมื่อคืนก็ทำเพื่อให้เธอซาบซึ้งจนถึงตอนนี้เลยเหรอ” ยศพลเข้ามากอดเธอจากด้านหลัง จารวีคิดว่าเขาเดินออกไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าเขาจะยังอยู่ที่นี่ ยังไม่ทันจะเปลี่ยนซิมมือถือกลับเลย ใจของเธอเต้นเร็วจนแทบจะหลุดออกมา “ฉันหิวแล้วอ่ะ พวกเราลงไป….” “เมื้อกี้เธอโทรหาใคร?” ยศพลจ้องมองตาที่ใสแจ๋วของเธอ ในสมองของจารวีว่างเปล่า แทบจะเก็บมือถือไปไม่ทัน “คุณชายครับ มือถือคุณดังครับ..” นิรันหยิบมือถือส่งให้ยศพล ยศพลรับสายและฟัง จากนั้นก็เดินตรงไปที่หน้าต่าง “ท่านประธานคะ พรุ่งนี่ที่เกาะทองคำมีแฟชั่นโชว์ค่ะ ในงานนี้จะมีบริษัทผลิตเสื้อผ้าชั้นนำเข้าร่วมมากมาย นี่เป็นโอกาสที่ดีในการเรียนรู้เกี่ยวกับอุตสาหกรรมเสื้อผ้า ที่จริงก่อนหน้านี้พวกเราก็เคยมีแบรนด์ทำแบบเสื้อผ้ามาสองสามแบบ แต่ไม่ได้ขยายออกตลาดสักเท่าไหร่นัก ถ้าครั้งนี้เข้าใจได้ถึงสภาพของตลาด พวกเราจะต้องโจมตีบริษัทน้องวีจำกัดได้ทันทีอย่างแน่นอนค่ะ” “อือ จัดการให้ฉันด้วย ถึงเวลาเดี๋ยวฉันไปเข้าร่วมเอง” จารวีรีบเปลี่ยนซิมมือถืออย่างพะวงใจ ยศพลยืนอยู่ตรงหน้าของเธอแล้ว “พวกเราลงไปกินข้าวกันเถอะ” “เธอยังไม่ตอบเลยว่าเมื่อกี้เธอคุยกับใคร” “อ้อ อังคณาไง ใช่แล้ว ฉันอยากจะยืมหนังสือเพื่อนมาอ่านนะ นายช่วยไปส่งฉันหน่อยสิ” “ยืมหนังสือ?”ทำไมผู้หญิงของยศพลคนนี้จะต้องไปยืมหนังสือคนอื่นด้วย ผมไปซื้อให้เธอเองก็ได้นี่” “ไม่ใช่ มันเป็นหนังสือเฉพาะทางน่ะ หาซื้อตามร้านไม่ได้หรอก” ยศพลพูดเบา ๆ "ในโลกนี้ยังมีอะไรที่ไม่สามารถใช้เงินซื้อได้เหรอ" มี มีสิ แค่นายไม่รู้ก็เท่านั้น คำพูดเหล่านี้จารวีไม่กล้าที่จะพูดออกมา แค่กล้าที่จะคิดในใจแต่ไม่พูดออกมา “ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้นก็ได้ ฉันแค่จะไปยืมหนังสือมาอ่านก็แค่นั้น” “เธออยู่ไหน ผมจะให้นิรันไปเอามาให้” ความหมายของเขาชัดเจน เขาไม่ต้องการให้เธอออกไปข้างนอก ให้เธออยู่บ้านเหมือนนกขมิ้นที่ถูกกักขังในกรงทอง จารวีไม่ได้ขัดขืนอะไร “ไปสิ พวกเราไปกินข้าวกันเถอะ” ยศพลอุ้มจารวีขึ้นมา แล้วเดินไปที่ห้องอาหาร หลังจากมื้อเช้า ยศพลสั่งให้นิรันไปส่งเขาที่บริษัทก่อน แล้วค่อยไปบ้านอังคณาเพื่อยืมหนังสือ ที่จริงแล้วตอนที่ยศพลออกไป จารวีได้โทรไปบอกเรื่องนี้กับอังคณาไว้ก่อนแล้ว อยู่กับยศพล รู้สึกผ่านไปอย่างกระวนกระวายจริงๆ เหมือนอยู่กับสายลับหลบซ่อยอย่างไงอย่างนั้น วันแบบนี้เมื่อไหร่จะจบสิ้นกันนะ “คุณจารวี หนังสือของคุณมาแล้วครับ” นิรันเอาหนังสือสี่ห้าเล่มไปวางที่ห้องหนังสือของจารวี “ขอบคุณค่ะ” จารวีพยักหน้าเบาๆ พบว่าขาดไปเล่มหนึ่ง เลยเตรียมที่จะบอกกับนิรัน แต่ในใจคิดว่าอังคณาอาจจะลืม เลยจะโทรไปยืนยันกับเธออีกที “โหล อัง หนังสือที่ให้มาขาดไปเล่มนึงป่ะ” อังคณาถือมือถือพลางหาไปหนังสืออยู่นาน ถึงจะตอบกลับไป “อ๊ะ ขาดไปเล่มนึงจริงๆด้วย วี ฉันมีเรื่องไรจะบอกเธอน่ะ” “อะไร?” “คือ แกจำตอนที่ลุงแกโดนรถชนจนกองที่พื้นรึเปล่า” ในสมองของจารวีเปล่งประกาย และถามอย่างจริงจังว่า “ทำไมเหรอ” “ตอนนั้นฉันเห็นป้ายทะเบียนรถของรถคันนั้น แล้วฉันประหม่าจนลืมบอกเธอน่ะ แต่วันนี้ฉันเห็นมันอีกครั้ง” “อะไรเหรอ บอกฉันมาเร็ว ... "จารวีเครียด จริงจังและไม่สบายใจ 
已经是最新一章了
加载中