ตอนที่77 การจากลา   1/    
已经是第一章了
ตอนที่77 การจากลา
ต๭นที่77 การจากลา ในค่ำคืนที่แสนสนุกทุกคนต่างก็คร่ำเคร่งอยู่ในนั้นและต่างก็เต้นรำไปไม่มีใครมาสังเกตตรงสุดมุมของตลาดนี้พวกเขาเกิดอะไรขึ้น นี่เป็นครั้งแรกที่โล่หวินหลานสังเกตเห็นว่าโม่ฉีหมิงมีเสน่ห์มากขนาดนี้หลังจากที่เขาสวมใส่หน้ากากความหล่อเหลาของเขาทำให้ทุกคนรู้สึกน่าทึ่ง นางเหมือนกำลังจะแสดงอำนาจของตนเองนางจับผ้าสีแดงขึ้นก้มหน้าลงเอาผ้าคล้องใส่ลำคอของเขาความเรียวยาวของนิ้วมือกำลังผูกโบว์ให้เขาอย่างสวยงาม “ข้าบอกว่าห้ามดึงออกก็อย่าดึงออก”นางตั้งใจพูดด้วยความทรงอำนาจและตั้งใจแสดงความเป็นเจ้าของต่อหน้าหญิงผู้นั้น “ไม่ดึง”โม่ฉีหมิงพูดด้วยความโปรดปราญรักใคร่ สายตาของทั้งสองไม่ได้จับจ้องหญิงผู้นั้นอีกแต่กลับมองความวุ่นวานของตลาดแต่เต็มไปด้วยผู้คนเหมือนน้ำที่ไหลมาไม่ไหยุดความสัมพันธ์ของทั้งสองคนสนิทและใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้นทำให้หญิงสาวผู้นั้นยิ่งโมโห มือของนางกำเป็นหมัดแน่นๆนางกัดริมฝีปากด้านล่างไว้นางกวาดสายตาที่เย็นชามามองเขาทั้งสองสีหน้าที่อยากเข้าไปจับเขาทั้งสองแยกออกจากกันแต่ก็มิกล้าทำเยี่ยงนั้น นางกลัวสายตาอันเฉยชาของชายผู้นั้นถึงแม้เขาจะดูหล่อเหลาไม่มีฐิติแต่แววตาของเขาก็ทำให้นางหวาดกลัวเหมือนกัน แววตายอันเปล่งประกายของโล่หวินหลานจู่ๆก็มองไปยังหญิงผู้นั้นหญิงผู้นั้นกำลังจ้องมองนางเหมือนกำลังจะกลืนกินนางไปสีหน้าให้เห็นถึงความเกลียดที่มีต่อนางและความรักใคร่ที่มีต่อโม่ฉีหมิง เป็นหญิงสาวผู้ที่มีรักข้างเดียวอีกแล้วหรือโล่หวินหลานก้มหน้าลงมองใบหน้าที่เย็นชาของโม่ฉีหมิงทำไมมาพักผ่อนหย่อนใจยังต้องเจอเรื่องแบบนี้?หรือนี่เกิดเรื่องจากใบหน้าที่เจ้ามีมันไม่เหมือนใคร? “สาวน้อยเอ๋ยฟ้ามืดลงแล้วทำไมยังไม่กลับบ้านกลับช่องบิดาเจ้าไม่เป็นห่วงหรือไง?”โล่หวินหลานขมวดคิ้วขึ้นและพูดถึงอยากให้นางอย่ามาร้องห่มร้องไห้แถวนี้อีก “ที่นี่เป็นเมืองอูข้าจะกลับบ้านหรือไม่กลับบ้านมันเกี่ยวอะไรกับเข้า?”หญิงผู้นั้นใช้น้ำเสียงไม่ดีในการตอบกลับใบหน้าของนางเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาและกำลังเดินจากไป หญิงผู้สวมใส่เสื้อสีแดงคร่ำเคร่งเข้าไปในท่ามกลางเสียงที่วุ่นวายที่เต็มไปด้วยผู้คนสัญจรไปมาทันใดนั้นหญิงผู้สวมใส่เสื้อสีแดงก็หายไปในพริบตาโล่หวินหลานจ้องมองไปสักพักแบบสติหลุดพอสติกลับมาอีกทีก็สังเกตเห็นเย่หวินกับฉินหยิ่นกลับมาแล้ว เย่หวินทำสีหน้าเขินอายมองลงบนพื้นและฉินหยิ่นด้วยเช่นกันโล่หวินหลานเห็นว่าทั้งสองเหมือนจะไม่ปกติทำไมออกไปเล่นครู่เดียวกลับมาก็หน้าแดงขนาดนี้? หรือว่าพวกเขา…… จู่ๆโล่หวินหลานก็เข้าใจขึ้นทันทีลืมเรื่องที่หญิงผู้นั้นมาสร้างเรื่องกวนใจนางดึงเสื้อของเย่หวินและยิ้มใส่นางอย่างมีเล่ห์สนัย “เย่หวินเกิดอะไรขึ้น?ทำไมถึงต้องหน้าแดง?ฉินหยิ่นรังแกเจ้าหรือป่าว?”โล่หวินหลันจับมือของเย่หวินไว้ถามขึ้นด้วยสีหน้าเหมือนกังวลและมุมปากกระตุกขึ้นสื่อให้เห็นถึงรอยยิ้มที่หลบไว้ไม่ได้ “ไม่ไม่มีเจ้าค่ะ”เย่หวินก้มหน้ายิ้มแฉ่งสีหน้าของเหมือนหญิงสาวที่กำลังมีความรัก โล่หวินหลานทำหน้านิ่วและเขม้นตามองฉินหยิ่นเขาถูกนางมองจนรู้สึกอายและหันหลังไปมองท้องฟ้าข้างนอกจู่ๆก็พูดขึ้น“ดาวบนท้องฟ้าเยอะมากเลย!” ทุกคนต่างก็เงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าและทำหน้าทึ่งทักษะการเปลี่ยนเรื่องคุยของเจ้าก็แย่ไปนะ!ค่ำคืนนี้ไม่มีดาวแม้แต่ดวงเดียว เทศกาลระบำผีของค่ำคืนนี้ก็ปิดท้ายไปด้วยเรื่องที่วุ่นวายจากเกิดจากหญิงสาวผู้นั้นตอนที่พวกเขากลับไปตอนโล่หวินหลานขึ้นรถนางไม่คิดเหลียวมองโม่ฉีหมิงเลยและระหว่างทางกลับไปก็ตั้งใจไม่พูดไม่จากับเขา บรรยากาศบนรถเต็มไปด้วยความอึดอัดโล่หวินหลานหลับตาลงพยายามทำให้ตัวเองหลับแต่หัวสมองของนางคิดแต่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้จนทำให้นางนอนไม่หลับสักที ผ่านไปสักครู่หูของนางเหมือนมีมือใหญ่ๆของโม่ฉีหมิงมาสัมผัสผ่านมือของเขาค่อยๆจับแก้มของนางนิ้วของเขาค่อยๆจับแก้มของนางอย่างเบาๆทำให้หน้านางเริ่มร้อน “ข้าไม่รู้จักนางส่วนเรื่องที่นางเอาผ้ามาถวายให้ข้าข้าก็ไม่รู้เหมือนกันผ้าที่ข้าชอบยังไงก็ผืนนี้ผืนเดียว”โทนเสียงแหบๆของโม่ฉีหมิงมีความอ่อนโยนปะปนอยู่คำอธิบายของเขาทำให้นางรู้แล้วว่าเขาใส่ใจนาง นางแกล้งหลับไหลและพลิกตัวไปหน้าหันหลังทิศทางที่กำลังกลับขนตาอันหนายาวของนางสั่นขึ้นลงไปตามทางที่รถม้าวิ่งและรู้สึกไม่พอใจในการกระทำของหญิงสาวเมื่อกี้ถ้าเขาไม่ได้ถอดหน้ากากให้เห็นถึงใบหน้าที่หล่อเหลาหญิงผู้นั้นจะถวายผ้าผืนนั้นให้เขาอย่างเยี่ยงไร? โม่ฉีหมิงเห็นการกระทำที่ดูเหมือนเด็กของนางเลยยื่นมือไปกุมมือนางเพื่อดึงนางเข้ามาใกล้ตัวเองนางจับมือตัวเองแน่นๆไม่ให้เขาดึงเขาจึงค่อยๆปล่อยมือนางเขาใช้โอกาสที่นางเผลอจับมือนางแล้วดึงนางเข้าไปใกล้โดยทันที “หวินหลานห้ามเจ้าโกรธ”โม่ฉีหมิงจ้องตานางไว้ริมฝีปากบางๆของเขาขยับไปตามคำพูดน้ำเสียงของเขาเหมือนกำลังสั่งนาง ทันใดนั้นถือโอกาสที่โล่หวินหลานยังไม่ได้เอ่ยปากพูดเขาประกบริมฝีปากของเขาลงไปริมฝีปากของนางอย่างรุนแรงโล่หวินหลานรู้สึกกับจูบที่นางไม่ได้เตรียมตัวและตอบจูบเขาไปแบบงงๆเวลาผ่านไปสักพักเขาค่อยๆถอนจูบออกจากริมฝีปากของนาง ริมฝีปากที่ผ่านการจูบของเขาบวมแดงและเหมือนหนังจะลอกนางได้กลิ่นคาวจากเลือดออกจากริมฝีปากตัวเองนางแลบลิ้นออกมาเลียมีกลิ่นคาวเต็มปากเลยนางจ้องไปยังโม่ฉีหมิงสายตาของนางเหมือนกำลังจะด่าเขาชุดใหญ่ โม่ฉีหมิงรู้ว่าตัวเองป่าเถื่อนไปหน่อยแต่เขาก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ทุกอย่างที่จูบริมฝีปากของนางเหมือนมีอะไรบางอย่างฉุดรั้งเขาไว้จนไม่อาจถอนตัว “หวินหลานเจ้าเป็นของข้าเป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียว”โม่ฉีหมิงแสดงความเป็นเจ้าของอย่างบ้าอำนาจและเหมือนคำพูดของเขาจะทรงอำนาจมากในค่ำคืนที่เงียบสงบ โล่หวินหลานถูกเขากอดไว้ในอ้อมกอดอย่างแน่นๆโดยไม่สามารถต้านทานได้ร่างกายที่แข็งแรงของเขาติดกับตัวของนางมากจนถ่ายทอดความอบอุ่นให้กันได้และไม่ยอมแยกออกจากกันนางยื่นมือไปจับร่างเขาไว้เขาทั้งสองหันหน้าเข้าหากัน นางรู้ว่าโม่ฉีหมิงไม่มีใจให้หญิงอื่นใดอย่างแน่นอนแต่ว่าแค่มีใครมาสารภาพรักโม่ฉีหมิงก็ไม่ได้ในใจนางเหมือนรู้สึกว่าจะโดนคนอื่นแย่งของรักของหวงไป นางยื่นมือตัวเองไปประกบไว้ตรงแผงหน้าอกของเขาอย่างแรงๆเหมือนจะระบายทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงอ้อมกอดเขา พวกเขาเที่ยวสถานที่ที่ควรไปและของที่ควรเล่นในเมืองอูจนหมดแล้วโม่ฉีหมิงพาโล่หวินหลานเที่ยวรอบเมืองเมืองอูจนหมดที่ๆเล่นได้ที่ๆไปได้พวกเขาก็มักจะทิ้งรอยเท้าไว้ ตั้งแต่คืนนั้นที่มีเรื่องมาขัดขวางพวกเขาที่ๆโล่หวินหลานและโม่ฉีหมิงไปนางมักจะสำรวจก่อนว่ามีสาวสวยไหมเหมือนมันทำให้นางเป็นโรคขี้กังวลกลัวสาวสวยเจอเขาแล้วสารภาพรักกับเขา นึกไม่ถึงว่าสมัยคนสมัยก่อนมันเปิดเผยขนาดนี้ถ้าเดินอยู่ในตลาดเจอคนหน้าตาสวยครบสมบูรณ์แบบบอกว่าจะแต่งก็แต่งเลยทักษะการจีบเพศตรงข้ามถือว่าเก่งกว่าสมัยนี้เยอะ โล่หวินหลานนั่งอยู่บนชิงช้าแล้วนึกถึงเรื่องที่มาเที่ยวเมืองอูสองสามวันนี้พวกเขาหลีกเลี่ยงเรื่องวุ่นวายและการแย่งชิงกันในวังอยู่ที่นี่พวกเขาสามารถใช้ชีวิตเป็นสงบสุขได้ค่อยๆหยุดคิดเรื่องพวกนั้นเหมือนรู้สึกสบายใจมากยิ่งขึ้น ความคิดของนางร่องรอยอย่างไม่แน่นอนนางไม่รู้ว่าทำไมฟ้าลิขิตให้นางข้ามภพมาอย่างนี้แต่ยังไงนางไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็อยากมีชีวิตที่สงบสุขถ้าโม่ฉีหมิงยอมอยู่กับเขาแบบสงบและพอเพียงทั้งสองคนรักใคร่ซึ่งกันและกันคงไม่ต้องสนอะไรเยอะแยะ...... “หวินหลานหวินหลาน......”โม่ฉีหมิงใช้เสียงที่เย็นชาของนางดึงนางกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงนางรีบกลับหันหน้าไปมองตาของเขาเขาจับแก้มนางไว้“กำลังคิดอะไรอยู่?” โล่หวินหลานอมยิ้มเบาๆทำเหมือนไม่ได้คิดอะไร“ป่าวไม่ได้คิดอะไรแค่เหม่อ” นางไม่อยากให้โม่ฉีหมิงรู้ความในใจของนางเพราะยังไงนางเคยสัญญากับเขาว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไปถ้ามีวันหนึ่งเขาสองคนเบื่อชีวิตแบบนี้แล้วนางอย่างลากเขาไปด้วยแบบไม่ลังเล “มีความในใจก็พูดอย่าเก็บไว้คนเดียว”โม่ฉีหมิงเห็นนางทำหน้าตาจริงจังขนาดนี้เขาเลยใช้มือของเขาไปกดหน้าผากและโซนคิ้วของนางคิ้วที่ขมวดไว้ของนางก็ค่อยๆคลายลง โล่หวินหลานพยักหน้าดูตัวเองในกระจกและลูบเครื่องประดับที่อยู่บนผมไม่ได้จับโดนปิ่นหยกของตัวเองทันใดนั้นนางรู้สึกเจ็บหัวเบาๆปิ่นหยกอันนั้นก็เสียเข้ามาในผมของนางโดนทันที “ไปกับเถอะไปกินมื้อเช้ากันตอนค่ำมีเรื่องต้องทำ”โม้ฉีหมิงจับมือนางไว้และใช้มืออีกครั้งหมุนล้อรถเข็นเดินออกไปถึงหน้าประตู มีเรื่องต้องทำ?หรือว่าจุดมุ่งหมายที่พวกเขามาที่นี่ไม่ใช่มาเที่ยวแต่มาทำธุระ? โล่หวินหลานทำหน้าสงสัย“เรื่องอะไร?” “เดี๋ยวข้าจะบอกเจ้าตอนค่ำๆ”โม่ฉีหมิงตอบกลับแบบไร้คำตอบ หลังจากที่ทั้งสองกินมื้อเช้าเสร็จโม่ฉีหมิงและฉินหยิ่นก็หายไปเลยสิ่งที่ดีท่ีสุดที่พวกเขามาเมืองอูคือมาสัมผัสและเรียนรู้จุดเด่นของที่นี่นางควรซื้อของอะไรกลับไปเล่นสักหน่อย โล่หวินหลานรู้ว่าโม่ฉีหมิงคิดอะไรอยู่มาสัมผัสถึงสิ่งที่เป็นจุดเด่นของที่นี่มาซื้อของฝากอะไรพวกนี้ล้วนเป็นข้ออ้างของเขาหมดถ้าบอกว่าพาฉินหยิ่นมาทำธุระนางถึงจะเชื่อ แต่นางก็ไม่ได้ว่าอะไรตอนเช้าโม่ฉีหมิงมีธุระคงจะไปจัดการอะไรบางอย่าง นางพักอยู่ที่ตำหนักซันส่วยแห่งนี้มานานขนาดนี้ยังไม่เคยเดินเที่ยวในนี้เลยโล่หวินหลานจึงลากเย่หวินไปรอบๆสวนนึกไม่ถึงว่ามันจะใหญ่ขนาดนี่นางรู้สึกน่าทึ่ง “พระชายาเจ้าค่ะมาดูที่นี่เจ้าคะที่นี่มันชิงช้าเจ้าคะ”เย่หวินเรียกนาง โล่หวินหลานเดินไปดูทิศเหนือของสวนมีกำแพงตรงมุมกำแพงมีชิงช้าที่สร้างด้วยโซ่เหล็กเพื่อความสวยงามของชิงช้าบนโซ่ยังประดับไปด้วยใบไม้และดอกไม้สดตรงพื้นมีแผ่นไม้ปูไว้ดูๆแล้วเหมือนจะสนุก นางยื่นมือไปปัดๆแผ่นไม้และนั่งลงไปเย่หวินยืนอยู่ข้างคอยผลักนางเบาๆมีลมอันแผ่วเบาพัดผ่านหูของนางไปนางหลับตาลงและค่อยๆสัมผัสเสียงลมที่ยิ่งอยู่ยิ่งแรงเหมือนตัวเองกำลังลอยอยู่บนท้องฟ้า ถ้าเป็นอย่างงนี้ไปตลอดก็คงดีชีวิตไม่มีความกังวลใดๆ ในตำหนักซันส่วยแห่งนี้สิ่งที่นางชอบที่สุดก็คือชิงช้าเย่หวินเอาเสื้อคลุมออกมาคลุมไว้บนตัวนางพวกเขาใช้เวลาทั้งวันนั่งอยู่ที่นี่ “เย่หวินเจ้าเคยมาที่นี่กับหมิงอ๋องไหม?”โล่หวินหลานมองไปยังเย่หวินที่นั่งอยู่ข้างๆ เย่หวินนั่งคิดไปสักพักแล้วตอบกลับ“นี่เป็นครั้งแรกหมิวอ๋องขาไม่ค่อยดีเลยไม่สะดวกออกมาข้างนอกบ่อยๆเจ้าค่ะ” โล่หวินหลานพยักหน้าถ้าเป็นแบบนี้ตำหนักซันส่วยแห่งนี้และตำหนักซันส่วยที่เราไปครั้งก่อนเขาให้คนอื่นช่วยซื้องั้นหรือ?” แสงแดดจากทิศตะวันตกค่อยๆสอดส่องกระทบมาทั่วพื้นที่เป็นแสงสีแดงสวยงามของยามเย็นแสงสีแดงค่อยๆเลือนหายไปจากท้องฟ้าโล่หวินหลานค่อยๆแกว่งชิงช้าไปชายแรงเย่อปรากฎตรงหลังนางทันทีทันใดและผลักนางแกว่งขึ้นอย่างรุนแรง เสียงลมแรงพัดผ่านข้างหูของนางอย่างรุนแรงเหมือนตัวเองกำลังลอยไปกับลมนางจับโซ่เหล็กสองข้างไว้แน่นๆทันใดนั้นรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาและหันหน้ากลับไปมองทีแท้คือโม่ฉีหมิงนี่เองเหมือนจิตใจของนางกลับมาสงบอีกครั้งและเปล่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นสวนที่ไม่ค่อยใหญ่มากขนาดนั้น “ฮ่าๆๆสูงขึ้นอีกหน่อย!”โล่หวินหลานหัวเราะอย่างสนุกสนาน มุมปากโม่ฉีหมิงกระตุกขึ้นเหมือนเขากำลังเผยยิ้มออกมาเล็กน้อยผลักให้นางแกว่งสูงมากยิ่งขึ้นและมองผมของนางที่กำลังพริ้วไหวบนท้องฟ้ารู้สึกเหมือนทุกอย่างดีไปหมด 
已经是最新一章了
加载中