ตอนที่25 เจอทางออก
1/
ตอนที่25 เจอทางออก
ชายาเกิดใหม่ของข้า
(
)
已经是第一章了
ตอนที่25 เจอทางออก
ตนที่25 เจอทางออก หลังจากพักผ่อนอย่างเต็มที่ ก็ได้เวลาออกเดินทาง เพียงเพราะบทสนทนาก่อนหน้านี้ของคนทั้งสองทำให้บรรยากาศระหว่างทั้งสองในยามนี้ต่างตกอยู่ในภวังค์ของตนเอง ตลอดระยะทางมิมีผู้ใดเอ่ยคำพูดออกมาสักคำ รถม้าเข้าเขตหุบเขาเทียนหลางก็ตอนฟ้าสางแล้ว ตลอดระยะทางที่มาที่นี่ถนนขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อทำให้ชูเซี่ยได้นอนจริงๆก็เพียงแค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น นางมิอาจหลับได้สนิท หลี่เฉินเย่นก็เช่นกัน เพียงแต่สาเหตุที่เขาพักผ่อนได้มิเต็มที่มิใช่ว่าเป็นเพราะเส้นทางบนถนน หากแต่เป็นเพราะเขาเฝ้ามองสตรีตรงหน้ายามหลับอยู่นานสองนานต่างหากเล่า ใบหน้าของนางยามหลับ ช่างดูสงบงดงามจนเขารู้สึกมองได้มิรู้เบื่อ เมื่อมาถึงบริเวณตีนเขาเทียนหลงซาน เดิมทีมีหมู่บ้านตั้งอยู่บริเวณนี้ และมีโรงเตี้ยมเล็กๆเปิดให้บริการผู้คนที่คอยสัญจรผ่านไปมา แต่จู่ๆรถม้ากลับหยุดลงกลางคันพร้อมกับเสียงที่ดังมาจากภายนอก หลี่เฉินเย่นเลิกม่านขึ้นเล็กน้อย นับว่าเป็นอากาศยามเช้าที่สดชื่นยิ่งนัก ต้นหญ้าริมทางยังคงมีน้ำค้างเกาะอยู่ดูระยิบระยับเล่นแสงอาทิตย์ยามเช้า “ท่านอ๋อง โรงเตี๊ยมที่เคยตั้งอยู่บริเวณนี้ถูกรื้อถอนไปแล้วพะย่ะค่ะ น่าแปลกนัก” คนคุมม้าชี้ไปยังบริเวณที่ดินว่างเปล่าตรงหน้าผืนหนึ่ง หลี่เฉินเย่นมองภาพตรงหน้า เขาเคยมาที่นี่มาก่อน หรือจะกล่าวให้ถูกคือเขาเคยผ่านแถวนี้มาก่อน จุดที่ถูกชี้เดิมมีโรงเตี๊ยมตั้งอยู่จริงๆ เพราะแม้บัดนี้จะถูกรื้อถอนไปกลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่าไปแล้ว แต่เข้าก็ยังเห็นร่องรอยและเศษซากที่ถูกหญ้าขึ้นปกคลุมอยู่ “พวกเขาอาจจะปิดเพราะกิจการไม่ดีก็เป็นได้”ชูเซี่ยกล่าวออกมาอย่างร่าเริง ทีนี้ล่ะ เขาก็มิอาจหาเหตุผลที่จะทิ้งนางไว้ที่นี่ได้อีกแล้ว แต่หลี่เฉินเย่นหาได้คิดเช่นนางไม่ เพราะเขาทราบดีว่าบริเวณนี้มีโจรภูเขาอาศัยอยู่เป็นกลุ่มใหญ่ การที่โรงเตี๊ยมกลายสภาพมาเป็นเช่นนี้อาจเป็นฝีมือของโจรภูเขากลุ่มนั้นก็เป็นได้ ทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าอยู่อาศัยบริเวณนี้อีก “เส้นทางข้างหน้าก็เป็นทางขึ้นเขาแล้ว เกรงว่าจะมิมีโรงเตี๊ยมอีกแล้ว หมู่บ้านแห่งนี้ก็ไม่ต้อนรับคนนอกอย่างพวกเรา มิมีทางเลือกอีกแล้ว ช่างเถิด!” “นี่อาจเป็นเบื้องบนที่ดลบันดาลให้ข้าต้องตามท่านขึ้นเขาไปด้วยก็เป็นได้”นางเอ่ยออกมาอย่างเริงร่า ยามนางเอ่ยออกมาเช่นนั้นนางมิได้คิดอะไร แต่เขาคิด ทั้งยังรู้สึกรังเกียจเสียด้วย เขาตัดสินใจที่จะทิ้งนางไว้ที่โรงเตี๊ยมในคราแรกก็เพื่อความปลอดภัยของตัวนางเอง หากเกิดเหตุขึ้นกับนาง เขาเองก็มิทราบจะหาข้ออ้างอันใดไปแก้ตัวกับเสด็จพ่อของตนเอง “เจ้ารออยู่ที่นี่ เปิ่นหวางและนางจะขึ้นเขา ในยามอู่จะมีราชองครักษ์ตามมาสมทบกับเจ้าบริเวณนี้ เจ้าก็รอพวกเขาอยู่ที่นี่เถิด หากในอีกสองวัน เปิ่นหวางยังมิกลับมา เจ้าก็จงนำกระดาษแผ่นนี้ขึ้นเขาออกตามหาหญ้าหลินเฉ่าอีกแรงก็แล้วกัน” นางได้ยินที่เขาพูดทุกถ้อยคำ รู้สึกชื่นชมเขาอย่างมาก เขาสามารถแบ่งหน้าที่และการทำงานได้อย่างรอบคอบและว่องไวดียิ่ง เส้นทางบนเขาทั้งยาวและขรุขระ ชูเซี่ยเดินหิ้วสัมภาระห่อใหญ่ของนางเดินตามเขาต้อยๆ หลี่เฉินเย่นแม้จะเห็นก็มิได้รู้สึกสงสารหรืออยากช่วยเหลือนางแม้แต่น้อย นางเองก็มิได้คิดว่าเขาจะมีน้ำใจช่วยเหลือนางเช่นกัน เขาเดินตามทางของเขาไปเรื่อยๆไม่แม้จะหันกลับมามองนางสักนิด ตอนที่นางอยู่โลกเดิม นางก็เคยไปเข้าร่วมกิจกรรมปีนเขามาบ้าง ดังนั้นตอนเริ่มเดินนางจึงมิได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยอะไร ร่างกายของนางราวกับมีขุมพลังไหลเวียนอยู่ เดินทางมาเกือบครึ่งชั่วยามนางก็ยังมิรู้สึกเหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อย แม้แต่หลี่เฉินเย่นก็ยังรู้สึกประหลาดใจ แต่เขาก็มิได้เอ่ยอะไรออกมา เก็บความสงสัยไว้ในใจต่อไป จนกระทั่งเวลาผ่านไป “แม้จะเป็นสารทฤดูก็ประมาทมิได้ งูบางชนิดยังมิได้เริ่มเข้าสุ่การจำศีล เจ้าเองก็จงระวังตัวด้วย”เขาเอ่ยเตือนนาง ชูเซี่ยถึงขั้นตะลึงค้าง ไม่คิดว่าเขาจะมีใจเป็นห่วงนางด้วย นางจึงยิ้มน้อยๆตอบเขา“ท่านอ๋องโปรดวางใจ หม่อฉันจะระวังเพคะ” หลี่เฉินเย่นชะงักไปชั่วครู่“เปิ่นหวางเพียงมิอยากให้เจ้าเป็นตัวถ่วงของเปิ่นหวางเท่านั้น เจ้าอย่าได้หลงตนเองนัก”นี่เขาคิดผิดใช่หรือไม่ที่พานางขึ้นเขามาด้วย นี่เพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น กว่าจะถึงยอดเขาเทียนหลางต้องใช้เวลาอีกมาก ระยะทางระหว่างนั้นมิมีผู้ใดทราบได้ว่านางจะสร้างปัญหาอะไรให้เขาบ้าง ยิ่งเดินเส้นทางข้างหน้าก็ยิ่งขรุขระมากขึ้น รองเท้าของคนทั้งคู่เริ่มสกปรกเปียกแฉะ ชูเซี่ยนางหอบหิ้วห่อผ้าใบใหญ่ที่กินแรงนางมาตลอดทาง นางควรจะรู้สึกเหนื่อยถึงจะถูก แต่น่าแปลกที่นางมิได้รู้สึกเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย แต่ในเมื่อเดินทางมาไกลพอสมควรแล้วนางก็ควรจะหยุดพักเสียหน่อย ดูท่าแล้วหลังจากที่นางผ่านการตายมาครั้งหนึ่ง จำทำให้ร่างกายของนางกลายพันธุ์ไปเสียแล้ว นางลอยยิ้มขำกับตนเอง ได้แต่หวังว่าคงไม่กลายเป็นมนุษย์แมงมุมหรอกนะ ถึงนางจะชื่นชอบมนุษย์แมงมุมมากเพียงไหน แต่ก็มิคิดจะเป็นเองหรอกนะ แต่จู่ๆนางก็ได้ยินเสียงประหลาดแว่วมา นางจึงหยุดเดินและพยายามเงี่ยหูฟังอีกครั้ง“หยุดก่อน!”นางเอ่ยกระซิบเสียงเบา แม้จะเบาแต่หลี่เฉินเย่นก็ได้ยินเสียงเรียกของนาง เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยหันกายกลับมามองนาง“ทำไมหรือ เดินไปอีกหน่อยก็จะได้หยุดพักแล้ว”เขาคิดว่านางเหนื่อย เมื่อเจอหินก้อนใหญ่ข้างทางจึงอยากหยุดพัก ชูเซี่ยยังพยายามตั้งใจฟังเสียงเมื่อครู่อีกครั้ง ก่อนจะหันหน้ามาถามเขา“ท่านอ๋องได้ยินเสียงอะไรแปลกๆหรือไม่” หลี่เฉินเย่นตั้งสมาธิฟังเสียงรอบตัวทันที ก่อนจะส่ายศีรษะเล็กน้อย“มีเสียงที่ไหนกัน รอบด้านล้วนเงียบสงบ” “จริงหรือเพคะ แต่หม่อมฉันได้ยินเสียงเหมือนสัตว์นะเพคะ”ชูเซี่ยถามออกมาอย่างประหลาดใจ นางได้ยินจริงๆ หลี่เฉินเย่นส่งเสียงฮึออกมา“เจ้าหรือที่ได้ยิน หากเปิ่นหวางมิได้ยินเจ้ามีหรือจะได้ยิน”เขากล่าวมาก็ถูก ท่านอ๋องเป็นผู้มีวรยุธ ประสาทสัมผสของเขาย่อมต้องดีกว่านางอยู่แล้ว ยามนี้ท้องฟ้ากลับกลายเป็นสว่างจ้าแล้ว ดวงอาทิตย์ขึ้นมาอวดโฉมอย่างเต็มที่ สาดส่องไปทั่วพื้นที่ทุกอาณาบริเวณ ชูเซี่ยเงยหน้ามองท้องฟ้าที่บัดนี้สาดแสงแดดลงมาไม่ใช่แค่แดดอ่อนๆเหมือนเมื่อครู่อีกแล้ว พื้นที่รอบๆป่ายังคงเงียบสงบ แต่สักพักหูนางก็เริ่มได้ยินเสียงประหลาดเหมือนเมื่อครู่อีกครั้ง เป็นไปได้หรือไม่ว่าเป็นเพราะนางเหนื่อยเกินไปหูจึงฝาด แต่เป็นไปมิได้ นางมิได้รู้สึกว่าร่างกายนางจะเหนื่อยล้าตรงไหน แต่ท่านอ๋องมิได้ยิน ก็คงเป็นนางที่หูฝาดไปเองจริงๆ “เมื่อครู่เป็นข้าที่หูแว่วไปเอง!” สีหน้าดูแคลนถูกส่งมาจากบุรุษตรงหน้า ก่อนเขาจะหันกลายเริ่มออกเดินอีกครั้ง แต่จู่ๆสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป และตั้งใจเงี่ยหูฟังเสียงอีกครั้ง ก่อนจะรีบฉุดดึงนางเข้าพุ่มไม้ข้างทางทันที ดวงตาคมเย็นเยียบลง เสียงนั้นเริ่มดังใกล้เข้ามาชัดขึ้นเรื่อยๆ และดังก้องอยู่ในหูของคนทั้งสอง เป็นเสียงของสุนัข! ชูเซี่ยรู้สึกแปลกใจมิน้อย กลางภูเขาลำเนาไพรเช่นนี้ จะมีสุนัขอาศัยอยู่ได้อย่างไรกัน หรือจะเป็นหมาป่า สิ้นความคิด คำตอบที่นางสงสัยก็มาปรากฎตรงหน้า ทางขึ้นเขามีสุนัขหลายตัวกำลังวิ่งตรงมายังบริเวณที่นางและท่านอ๋องยืนอยู่เมื่อครู่ เมื่อนางเพ่งดูดีๆแล้ว นั่นเป็นสุนัขทิเบตมิใช่หรือ สวรรค์ ทำไมท่ามกลางป่าเขาเช่นนี้จึงมีสุนัขทิเบตอาศัยอยู่ได้ สุนัขพันธุ์นี้มีนิสัยดุร้าย ก้าวร้าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันคิดว่ามีผู้บุรุกเข้ามายังอาณาเขตของมันเช่นพวกนาง ก็จะจู่โจมทันที หลี่เฉินเย่นจับด้ามกระบี่เหน็บไว้ข้างเอวแน่น เขาทำตัวราวกับเสือดาวหนุ่มที่ปราดเปรียวพร้อมจะจู่โจมเหยื่อทุกเมื่อ เขาผลักร่างของชูเซี่ยให้หลบหลังเขาโดยที่มิรู้ตัว ชูเซี่ยซ่อนกายหลังแผ่นหลังกว้างของเขา ดวงตาของทั้งคู่ลอบมองผ่านพุ่มไม้ไปยังสุนัขเหล่านั้น เดิมทีพวกมันควรลงจากเขาไปแล้ว แต่จู่ๆก็เปลี่ยนท่าทีหยุดยืนอยู่กับทีและดมกลิ่นไปรอบๆ “จมูกของสุนัขไวมาก พวกมันน่าจะรู้ว่าพวกเราอยู่บริเวณนี้แต่แรกแล้ว”นางกระซิบข้างๆหูเขา “อีกสักครู่หากเกิดอะไรขึ้น เจ้าห้ามออกไปจากพุ่มไม้นี่เป็นอันขาด เข้าใจหรือไม่”ซ่งอวิ่นเฉียนกระซิบตอบนางเสียงหนักแน่นเฉียบขาด นางผงกหัว สองมือน้อยเกาะเสื้อด้านหลังเขาไว้แน่นไม่กล้าขยับกายส่งเดช พวกมันรู้ว่าพวกเราสองคนอยู่แถวนี้จริงๆ เธอได้ยินเสียงหนึ่งในพวกมันหอน ก่อนจะมีเสียงหอนต่อเป็นทอดๆ ก่อนที่สุนัขทีเบตที่อยู่บริเวณนี้จะพุ่งตัวมาบริเวณพุ่มไม้ที่พวกเราหลบซ่อนทันที หลี่เฉินเย่นดึงกระบี่ออกจากฝัก มีเสียงหวือดังขึ้น ตามด้วยเสียงใบมีดที่ตวัดวาดผ่านไปมา ชูเซี่ยเห็นแค่เพียงประกายแสงวาดผ่านพุ่มไม้เป็นระยะเท่านั้น ก่อนนางจะเห็นว่าเขาแทงกระบี่เข้าตรงกลางหัวของสุนัขตัวหนึ่ง เลือดไหล่ทะลักกระเด็นถูกตัวเขาจนเลอะไปหมดทั้งร่าง สุนัขที่ถูกแทงก็ล้มลงกับพื้นและขาดใจตายทันที การกระทำของเขามิเพียงทำให้พวกมันตื่นกลัว ตรงกันข้ามพวกมันยิ่งดูโหดร้ายมากขึ้นเป็นเท่าตัว พวกมันคำรามขู่ก่อนจะพุ่งกระโจนเข้าหาหลี่เฉินเย่นอย่างรวดเร็ว สุนัขทิเบตเคลื่อนไหวได้รวดเร็ว แต่หลี่เฉินเย่นเองก็มีวิชาตัวเบาแก่กล้า แต่ทว่าหากเขาใช้วิช่ตัวเบาหลบหนี ผู้ที่แย่ย่อมเป็นสตรีที่หลบอยู่หลังพุ่มไม้ขนาดนี้ เขาเชื่อว่าพวกมันต้องเปลี่ยนเป้าหมายไปที่นางเป็นแน่ เขาย่อมมิอาจบุ่มบ่ามตัดสินใจ ชายหนุ่มดึงตัวชูเซี่ยออกมาจากพุ่มไม้ก่อนจะใช้วิชาตัวเบาพานางเหาะเหิน ก่อนจะตวัดดาบไปยังสุนัขทิเบตตัวหนึ่ง แต่มันสามารถกระโดดหลบได้อย่างฉิวเฉียด ชูเซี่ยไม่เคยประสบพบเจอเหตุการณ์ฆ่าฟันเช่นนี้ต่อหน้าต่อตามาก่อน จึงตกใจเป็นอย่างมาก นางเป็นหมอที่มาจากโลกที่มีแต่ความสันติและความเจริญ ใบหน้างามตอนนี้ซีดเผือดราวกับกระดาษ ได้แต่ปล่อยกายให้หลี่เฉินเย่นลากนางไปมา ซ้ายทีขวาที เพียงเพราะสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทำให้ในที่สุดนางก็ก้าวเท้าพลาด ทำให้รู้สึกเจ็บแปลบบริเวณข้อเท้าของตน แต่นางก็มิได้ร้องออกมาสักแอะ เพราะในสถานกาณ์เช่นนี้ต้องจะต้องมีสติกับเหตุการณ์ตรงหน้าให้ได้มากที่สุด ท่ามกลางฝูงสุนัขทิเบตเหล่านั้น นางสังเกตเห็นว่ามีอยู่ตัวหนึ่งมิได้ลงมือโจมตีใดๆเลย มันทำตัวราวกับว่ามันเป็นยอดฝีมือที่ยังไม่ถึงเวลาออกโรงแสดงฝีมือออกมา แต่เพียงชั่วพริบตาเดียวที่มันสบโอกาสก็พุ่งเข้าโจมตีทันที ชูเซี่ยมองเห็นการเคลื่อนไหวเช่นนั้น นางก็นึกออกทันที“ท่านอ๋องฆ่าตัวทางซ้ายเพคะ มันเป็นจ่าฝูง!” ตัวจ่าฝูงจะเป็นตัวที่คอยออกคำสั่งให้ตัวที่เหลือทำตาม หลี่เฉินเย่นก็ทราบเรื่องนี้ดีอยู่แล้วก็ผลักชูเซี่ยเข้าไปหลบหลังพุ่มไม้ เขาทะยานขึ้นฟ้า ก่อนจะพุ่งตัวลงมายังพื้นราวกับลูกธนูดอกหนึ่ง ตวัดดาบเข้าตรงกลางลำตัวของตัวจ่าฝูงเพียงฉับเดียว สุนัขจ่าฝูงก็ตายในทันที ตอนนี้เหลือสุนัขอยู่เพียงสามตัวเท่านั้น แต่ไม่มีตัวไหนกล้าเข้ามาโจมตีพวกนางอีกแล้ว พวกมันทำเพียงแค่ใช้สายตาดุร้ายมองมาเท่านั้น หลี่เฉินเย่นสบโอกาสที่พวกมันไม่เข้ามาทำร้ายก็จัดการสังหารพวกมันทันที ไม่ถึงหนึ่งเค่อ สุนัขทีเบตก็ตายไม่เหลือ ฉากการต่อสู้ในครั้งนี้แม้จะไม่ทำให้ชูเซี่ยตกใจมากนัก แต่ก็ทำให้นางรู้สึกว่ามันน่ากลัวสำหรับเธออยู่ดี ลี่เฉินเย่นเช็ดเลือดออกจากกระบี่ของตนจนเกลี้ยง ก่อนจะเก็บคืนฝัก เขาหันกายมามองชูเซี่ยเล็กน้อย ดวงตาของเขาฉายแววประหลาดใจ “ไม่ได้ตกใจใช่หรือไม่”น้ำเสียงของเขาที่ถามนางมิได้แสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใย นางฟังเป็นน้ำเสียงเยาะเย้ยเสียมากกว่า แต่ถึงเขาจะพูดกับนางเช่นนี้ ก็ยังยื่นมือของตนเองมาให้นาง “ลุกขึ้น!” ชูเซี่ยวางมือของนางลงบนฝ่ามือหนาของเขา ชายตรงหน้าออกแรงฉุดนางเพียงเล็กน้อยก็นางก็ลุกขึ้นยืนได้ แต่ทว่าความเจ็บแปลบบริเวณข้อเท้าข้างซ้ายทำให้นางอุทานออกมา “เป็นอะไรไป ข้อเท้าพลิกหรือ”หลี่เฉินเย่นขมวดคิ้วมองดูนาง ชูเซี่ยลองขยับข้อเท้าของนางดูอีกครั้ง“หม่อมฉันยังเดินต่อไปได้เพคะ มิได้เจ็บมากมายอะไร” หลี่เฉินเย่นมองนางนิ่ง เขามิอยากรั้งอยู่ที่นี่ไว้นานนัก ไม่ปลอดภัย “ยามนี้พวกเราต้องรีบออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด สุนัขพวกนั้นมิใช่สัตว์ป่าจะต้องมีคนเลี้ยงพวกมันไว้แน่ หากเจ้าของพวกมันทราบเรื่องว่าเราฆ่าสุนัขที่เลี้ยงไว้ตายจนหมด คงจะมีเรื่องยุ่งยากตามมาอย่างแน่นอน!” “ไฉลจึงมีผู้เลี้ยงสุนัขกลางหุบเขาลึกเช่นนี้”นางถามอย่างมิเข้าใจ “บริเวณนี้เป็นที่อาศัยของโจรภูเขา!”เขากัดฟันพูดก่อนจะชิงแย่งห่อสัมภาระใบใหญ่ของนางไปถือแทน“รีบเดินกันเถิด เราต้องรีบออกจากบริเวณนี้ให้เร็วที่สุด เจ้า เจ้า ดูเจ้าเถิด ขึ้นเขายังคิดจะเอาอะไรมามากมาย” หลี่เฉินเย่นตำหนินางเสียงเย็น “ทุกอย่างในห่อผ้าล้วนแต่เป็นสิ่งจำเป็นทั้งสิ้น ต้องใช้ประโยชน์ได้อย่างแน่นอน”ชูเซี่ยพยายามอธิบายให้ชายตรงหน้าอย่างใจเย็น นางเห็นว่าเขาตำหนินางก็จริง หากแต่กระทำของเขาก่อนหน้านี้และการที่แย่งห่อผ้าของนางไปถือแสดงถึงความอ่อนโยนออกมาหลายส่วน ทำให้ทรวงอกของนางรู้สึกอุ่นซ่านอย่างประหลาด หลี่เฉินเย่นมิได้กล่าวอะไรกับนางอีก แต่สองมือของเขาคอยประคองร่างของนางเดินตลอดทาง ทำให้ยามนี้ร่างกายของคนทั้งคู่แนบชิดกันเสียจนหลี่เฉินเย่นได้กลิ่นหอมสะอาดจากเส้นผมและเสื้อผ้าของนาง ภายนอกเขาอาจจะแสดงท่าทีเฉยชา แต่ภายในใจกับสับสนวุ่นวาย หลิวหยิงหลงที่เขารู้จักมาตลอดระยะเวลาหลายปี แม้จะมิใช่คนขี้ขลาด แต่นางเป็นคนกลัวเลือดอย่างที่สุด เห็นเลือดแล้วจะหมดสติทุกครั้ง แต่เหตุการณ์เมื่อครู่นางดูหวาดลัวอยู่บ้างแต่มิได้กลัวเลือดแม้แต่น้อย ทั้งยังมีสติคิดรอบคอบในยามเขาต่อสู้อยู่กับสุนัขเหล่านั้นนางยังสามารถชี้ตัวหัวหน้าจ่าฝูงได้อย่างง่ายได้ หากมิมีความรู้หรือช่างสังเกตจริงๆย่อมมิอาจทราบได้ว่าตัวไหนคือจ่าฝูง แม้แต่เขายังต้องให้นางเตือนสติจึงจะทราบ ภายในใจของชูเซี่ยยามนี้หวาดผวาอย่างนัก แต่มิใช่เพราะเรื่องเมื่อครู่ นางหวาดกลัวสายตาที่เต็มไปด้วยความระแวงสงสัยจากเขาต่างหากเล่า เดิมทีนางเองก็มิอยากหลวงลวงผู้ใดทั้งสิ้นอยู่แล้ว แต่เพื่อความปลอดภัยของนางและการใช้ชีวิตในฐานะหลิวหยิงหลงต่อจากนี้ไป นางก็เลี่ยงมิได้ที่จะต้องโกหกคนรอบข้าง สมองของนางคิดภาพฉากการลงโทษคนประหลาดเช่นนางโดยฝีมือของผู้คนยุคนี้ อย่างการเผาทั้งเป็น นางก็ขนลุกชูชันขึ้นทันที ไม่ได้ นางต้องหาวิธี แต่จะใช้วิธีใดได้บ้างเล่า เพราะเหตุการณ์เมื่อวานก็แทบจะทำลายภาพลักษณ์ของหลิวหยิงหลงคนเดิมไปจนหมดสิ้นแล้ว นางต้องคิดหาวิธีที่รอบคอบรัดกุมเพื่อหาข้ออ้างเรื่องการกระทำของนางในสองวันมานี้ให้ได้เพื่อมิให้ผู้ใดสงสัยมากไปกว่านี้
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่25 เจอทางออก
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A