ตอนที่ 37 เศร้าใจเพื่อนคนพวกเดียวกัน   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 37 เศร้าใจเพื่อนคนพวกเดียวกัน
ต๭นที่ 37 เศร้าใจเพื่อนคนพวกเดียวกัน หลี่เฉินเย่นปรายตามองหลิวมี่เหอก่อนจะเอ่ยปราม“อย่าได้ตีตนไปก่อนไข้ หมอหลวงยังไม่ได้กล่าวเช่นนั้นเลยไม่ใช่หรือ เจ้ากล่าวเช่นนี้คงไม่อยากให้เปิ่นหวางเดินได้อีกเลยตลอดชีวิตใช่หรือไม่” “แม้หมอหลวงจะไม่ได้กล่าวออกมาตรงๆแต่ความหมายก็เป็นเช่นนั้น ท่านอ๋อง นางทำร้ายท่านถึงเพียงนี้ท่านยังทำดีต่อนางอีกหรือ” หลิวมี่เหอร้องไห้ “ผู้ใดทำร้ายเปิ่นหวางกัน เปิ่นหวางไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยแค่มีชีวิตรอดกลับมาก็ดีแล้ว” หลี่เฉินเย่นเอ่ยเสียงเย็น ชูเซี่ยหวนนึกถึงฉากต่อสู้อันดุเดือดระหว่างเขาและกองโจรเหล่านั้น หัวใจของนางรู้สึกเจ็บปวดไปหมด หากตอนนั้นเขาไม่จำเป็นต้องถ่วงเวลาให้นางได้หนี ลำพังวิชายุทธที่เขาเหลืออยู่ก็คงจะช่วยให้เขาหนีรอดมาได้ไม่ยาก หากวันนั้นเขาไม่ช่วยนาง นางที่ต้องอยู่ในกำมือพวกโจรก็คงจะอยู่ไม่สู้ตายราวกับตายทั้งเป็นแน่ ชูเซี่ยคุกเข่าลงตรงหน้าเขาตั้งใจจะถอดรองเท้าของชายตรงหน้าเพื่อสำรวจดูอาการบาดเจ็บของเขาแต่ถูกเขาหยุดมือไว้ก่อน “ไม่ต้องดูหรอก หมอหลวงยังกล่าวว่าไม่สามารถรักษาได้ต่อให้เจ้าดูไปก็ไร้ประโยชน์ อีกอย่างจูเก๋อหมิงก็กำลังเดินทางกลับเมืองหลวง เขาเป็นถึงหมอเทวดาจะต้องรักษาขาของเปิ่นหวางได้แน่!” ชูเซี่ยมองออกว่าภายนอกของเขาพยายามทำตัวเฉยฉาไม่แยแสเช่นนี้แต่ข้างไหนจะต้องรู้สึกเจ็บปวดและวุ่นวายมากเป็นแน่ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถยอมรับได้หรอกหากตนเองต้องกลายเป็นผู้อัมพาตไปตลอดชีวิตไม่สามารถเดินเหินไปไหนมาไหนได้อีก นางอยากให้เขาอาละวาดออกมาให้สาแก่ใจเสียด้วยซ้ำ เขาแสดงท่าทีเฉยชาเช่นนี้คงไม่ต้องการให้ผู้ใดเป็นห่วงกระมัง แต่เขาจะทราบไหมนะว่านั่นกลับยิ่งทำให้ผู้อื่นเป็นห่วงเขายิ่งกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ หลี่เฉินเย่นเอ่ยกับชูเซี่ย “เจ้าพักผ่อนอีกสักหน่อยเถิด เปิ่นหวางจะสั่งให้คนไปทาบทามข่าวของอานเหยียนมาให้เจ้าเอง แท้จริงแล้วเจ้าไม่จำเป็นต้องตื่นตูมถึงเพียงนี้หรอก หากมีเรื่องเกิดขึ้นจริงป่านนี้วังหลวงคงโกลาหลไปแล้วล่ะ” ชูเซี่ยลองนึกตามก็จริงเช่นที่เขากล่าวมา ได้แต่หวังว่าเทียบยาเหล่านั้นและการออกไปตากแดดคงช่วยบรรเทาอาการของอานเหยียนน้อยไว้ได้ นางรับรู้ว่าเขาเป็นห่วงบาดแผลบนร่างกายของนางไม่น้อย แต่เมื่อเอ่ยถึงจุดนี้ก็น่าประหลาดนักที่ยามนี้นางกลับแทบไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรอีกแล้ว หลังจากนอนหลับไปตื่นหนึ่งแม้ว่าบาดแผลจะไม่ได้จางหายไปแต่นางกลับไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกต่อไป ในยามนี้นางไม่มีเวลามาสนใจสำรวจร่างกายของตนเองอีกแล้ว นางมีอีกสองคนที่นางห่วงยิ่งไม่อยากให้พวกเขาเป็นอะไรไป “ถ้าเช่นนั้นข้าจะนอนพักเสียหน่อย ท่านก็รีบกลับไปพักรักษาตัวเสียด้วย ดูแลรักษาตัวให้ดีๆ ข้าเชื่อว่าท่านจะต้องกลับมายืนขึ้นได้อีกครั้ง” นางพูดด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมด้วยความหวังและความปรารถนาของนาง “ดีหรือไม่ดี เปิ่นหวางก็ไม่เป็นอะไรทั้งนั้น ตลอดชีวิตเปิ่นหวางเดินทางมานักต่อนักแล้วยามนี้ได้พักเสียหน่อยก็คงดี!” ซ่งอิว่นเชียนเอ่ยปัดอย่างไม่สนใจ หลิวมี่เหอดวงตาแดงก่ำ “เหตุใดจึงไม่เป็นไร ท่านจะต้องหายดี ท่านอ๋องมีวรยุทธสูงส่ง ในภายภาคหน้าจะต้องเป็นวีรบุรุษที่นั่งบนอาชาฆ่าฟันศัตรูได้อย่างกล้าหาญ จะให้มานั่งอยู่เฉยๆเป็นคนพิการตลอดไปเช่นนี้ได้เช่นไรกัน” หลี่เฉินเย่นไม่พอใจในคำพูดของนางเป็นอย่างมาก ก่อนจะไม่สนใจนางอีก “องครักษ์!” มีองครักษ์นายหนึ่งวิ่งเข้ามาในห้อง “ท่านอ๋อง กระหม่อมอยู่นี่พะย่ะค่ะ!” “เจ้านอนพักดีๆเล่า หมอหลวงอนุญาติให้ลงจากเตียงได้เมื่อใดค่อยลงมา” หลี่เฉินเย่นหันกลับมากำชับนางอีกครั้ง “ข้าทราบแล้ว!” ชูเซี่ยไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก ยามนี้ความรู้ผิดกำลังกัดกินหัวใจน้อยๆของนาง หลี่เฉินเย่นหันมาสั่งองครักษ์ “พาเปิ่นหวางกลับ!” “พะย่ะค่ะ” เมื่อองครักษ์ผู้นั้นหามหลี่เฉินเย่นออกไปหลิวมี่เหอก็วิ่งตามออกไปเช่นกัน ชูเซี่ยมองเห็นความเจ็บปวดในแววตาของเขาก่อนมันจะหายไปในชั่วพริบตา เขาเป็นชายหนุ่มที่องอาจและแข็งแกร่งมาตลอดมาบัดนี้กลับไปสามารถเดินเหินได้อีกต่อไป แม้จะกลับไปนอนยังต้องให้ผู้อื่นคอยช่วยหามไปส่ง ชูเซี่ยรู้สึกปวดใจยิ่งนักนางล้มตัวนอนนิ่งๆอยู่บนเตียงบรรทมถอนหายใจออกมาอย่างหนัก ในใจนึกอยากตามหมอหลวงมาเพื่อพูดคุยถามถึงอาการของหลี่เฉินเย่นเหลือเกิน ยามนี้อาการขององค์ชายน้อยยังทรงตัว อาการตัวเหลืองทุเลาลงแล้วทว่าชูเซี่ยทราบดีว่าปัญหายังไม่จบเพียงเท่านี้แน่ ยังไม่อาจนับได้ว่าอาการขององค์ชายน้อยพ้นขีดอันตรายไปได้ นางหยิบตำราการฝังเข็มทองขึ้นมาอ่านอีกครั้ง เมื่อยามเริ่มหยิบมาอ่านในใจของนางก็ยังกระวนกระวายไม่เป็นสุข ทว่าเมื่ออ่านไปสักพักนางกลับรู้สึกว่าในตำราเล่มนี้น่าสนใจเป็นอย่างมากจนในที่สุดนางก็อ่านมันอย่างละเอียดและตั้งใจจนไม่ปล่อยให้ตัวอักษรเล็ดลอดไปแม้แต่ตัวเดียว เมื่อนางอ่านมาถึงบทที่สามก็พบว่ามันมีการกล่าวถึงโรคของมารดาและเด็กที่เป็นโรคตัวเหลืองตั้งแต่กำเนิด แม้จะไม่มีการวินิจฉัยที่ชัดเจนหรือข้อมูลที่ละเอียดเท่ายุคของนางทว่านี้ตำราเล่มนี้มีการกล่าวถึงวิธีรักษาโดยการฝังเข็มอยู่ด้วย นางไม่กินไม่ดื่มนั่งอ่านตำรานี้ทั้งคืน ทั้งยังปิดบังไม่ใช่เสี่ยวจี๋และมามาทราบว่านางแอบเอาตนเองเป็นหนูทดลองเข็มอีกด้วย ตลอดหลายวันที่ผ่านมานั่งใช้ร่างกายเกือบทุกส่วนของตนเองในการทดลองฝังเข็ม แต่ละครั้งที่นางลงเข็มนางรู้สึกกระตือรือร้นอย่างมาก นางมีความสุขกับการเรียนรู้สิ่งแปลกใหม่เหล่านี้จนแทบจะลุกขึ้นมาร้องเล่นเต้นรำเลยทีเดียว กรอาบน้ำในวันนี้เมื่อเสี่ยวจี๋เห็นว่ามีเข็มฝังอยู่ในร่างของนางก็ตกใจเสียขวัญจนร้องไห้ออกมาทั้งยังถามว่านางเจ็บหรือไม่ ชูเซี่ยเพียงยิ้มอยู่เช่นนั้น ภายในใจของนางรู้สึกซาบซึ้งที่เสี่ยวจี๋เป็นห่วงนางถึงเพียงนี้ หลายปีมานี้นอกจากคนในครอบครัวแล้วก็ไม่มีผู้ใดทำดีกับนางมากเท่านี้อีกแล้ว อย่างน้อยนางก็ไม่เคยพบผู้ใดที่หลั่งน้ำตาให้นางเพียงแค่กลัวนางเจ็บตัว รอยแผลที่หน้าผากของนางยามนี้กลายเป็นรอยสีชมพูจางๆแล้วถ้าไม่สังเกตดีๆก็คงเห็นไม่มีผู้ใดเห็นยิ่งเมื่อมีผมหน้าม้าลงมาปกคลุมก็ไม่มีผู้ใดเห็นเป็นแน่ ฮองเฮาก็ทรงพระเมตตาส่งขี้ผึ้งทาแผลอย่างดีมาให้นางทว่าทามาหลายวันก็ไม่ได้ทำให้รอยแผลหายไปแต่อย่างใด ขาของนางก็ยังไม่หายดีนัก หมอหลวงวินิจฉัยว่านั่นเป็นเพราะนางมัวแต่เดินไปมาไม่ยอมรักษาตัวอยู่นิ่งๆทำให้บาดแผลที่ขาจนป่านนี้ก็ยังไม่หายดี เมื่อหลี่เฉินเย่นทราบข่าวก็สั่งให้คนมาถ่ายทอดคำสั่งของนางว่าไม่อนุญาติให้นางลงจากเตียงบรรทมเป็นอันขาดจนกว่าแผลที่ขาจะหายดี หลายวันมานี้หลี่เฉินเย่นไม่ยอมมาเยี่ยมดูนางเลยสักครั้ง เดิมทีนางก็อยากเป็นฝ่ายไปเยี่ยมเยียนเขาเช่นกันทว่าเขาเคยถ่ายทอดคำสั่งให้หมอหลวงอย่าได้ปล่อยนางลงจากเตียงเป็นอันขาดตราบใดที่แผลของนางยังไม่หายดี นางจึงไม่ดื้อรั้นอะไรเพราะนางไม่อยากให้เขาโกรธนาง แต่นางก็ยังเป็นห่วงเขามากนักจึงส่งเสี่ยจี๋ไปสืบข่าวคราวของเขาว่าอาการของอีกฝ่ายเป็นเช่นไรบ้าง เมื่อเสี่ยวจี๋กลับมาก็รายงานนางว่าหลี่เฉินเย่นยามนี้ก็อยู่ในขั้นตอนการรักษาเช่นกัน อาการดีขึ้นเรื่อยๆตามลำดับ อาการขององค์ชายน้อยก็ทรงตัว ไม่ได้แย่ลงไม่ได้ดีขึ้น ทุกวันดื่มนมไปได้เท่าใดก็อาเจียนกลับออกมาจนหมดซึ่งหากเทียบกับเด็กทารกทั่วไปแล้วนับว่าอ่อนแอกว่าคนอื่นๆมากนัก อาการของเจิ้นหยวนเฟยดีขึ้นมากแล้ว สิ่งแรกที่นางทำหลังจากร่างกายเพิ่งฟื้นตัวไม่ใช่การไปดูบุตรชายของตนแต่อย่างใด ยามที่นางสวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์เรียบร้อยนางก็เดินทางมาคุกเข่าคำนับชูเซี่ยด้วยตนเองทันที ชูเซี่ยถูกนางทำให้ตกใจจนต้องรีบพยุงนางลุกขึ้นมา จริงอยู่ที่พิษในร่างของนางจะถูกถอนไปจนหมดแล้วแต่ยามนี้พระชายาเจิ้นหยวนยังอยู่ในช่วงอยู่เดือนร่างกายยังนับว่าอ่อนแอนัก หลังจากมาพบชูเซี่ยแล้วนางก็ยังต้องการที่จะไปขอบคุณและขออภัยหลี่เฉินเย่นด้วยตนเองเช่นกันทว่ากลับถูกเจิ้นหยวนอ๋องห้ามไว้ ท่านอ๋องถอนหายใจออกมาขณะเอ่ยปรามภรรยาตน “หลังจากท่านหมอเทวดาจูเก๋อเข้ามาดูอาการของเขา สองวันมานี้เขาก็ขังตัวเองอยู่ภายในห้องไม่ยอมกินไม่ยอมดื่ม เสด็จพ่อเสด็จแม่ทรงเป็นห่วงจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ แต่ไม่มีผู้ใดกล้าทูลเรื่องนี้แก่เสด็จยายเพราะทรงชรามากแล้วไม่อยากให้พระองค์เป็นห่วงจนพระวรกายทรุดลงไปอีกคน ยามนี้เจ้าไปเขาก็ไม่มีทางยอมให้เจ้าเข้าพบหรอก!” ชูเซี่ยตะลึงก่อนจะหันขวับมองเสี่ยวจี๋ทันทีแต่เสี่ยวจี๋กลับก้มหน้าลงไม่กล้าสบตากับนาง เสี่ยวจี๋นางต้องรู้แน่ว่าอาการของท่านอ๋องไม่ได้ดีขึ้นแต่อย่างใดทว่านางคงกลัวว่าชูเซี่ยจะเป็น ห่วงจนไม่ยอมอยู่เฉยๆรักษาตนเองสุดท้ายจึงจำใจต้องปิดบังความจริงเอาไว้ พระชายาเจิ้นหยวนได้ยินเช่นนั้นนางยิ่งเศร้าสลดใจมากยิ่งขึ้น “บุญคุณอันใหญ่หลวงนี้พวกเราสองสามีภรรยาไม่รู้จะตอบแทนเขาเช่นไร ขอเพียงแค่ให้เขาสามารถหายดีขึ้นในเร็ววันแม้ต้องแลกด้วยขาคู่นี้ของข้า ข้าก็ยอมแต่โดยดี!” เจิ้นหยวนอ๋องดึงร่างของนางไว้ “วันนี้พูดอะไรไปก็ไม่อาจทำอะไรได้ พวกเราก็รอให้อวิ่นเชียนอารมณ์เย็นกว่านี้ก่อนเถิดแล้วจึงค่อยไปเยี่ยมเขาดีหรือไม่ หยิงหลงเองก็ยังบาดเจ็บอยู่พวกเราก็อย่ารบกวนการพักผ่อนของนางเลย กลับกันเถิด!” พระชายาเจิ้นหยวนจึงพยักหน้ารับก่อนจะหันมากุมมือของชูเซี่ยไว้พร้อมเอ่ยกำชับ “เจ้าต้องนอนพักผ่อนให้มากหน่อย อย่าได้ฝืนทำอะไรอีกเล่า รอเจ้าดีขึ้นพวกเราจะพาเจ้าไปเยี่ยมลูกบุญธรรมดีหรือไม่ ท่านอ๋องและข้าปรึกษากันแล้วว่าจะให้เจ้าเป็นแม่บุญธรรมให้อานเหยียน หยิงหลง หากว่าไม่ได้เจ้า ชีวิตของพวกเราสองแม่ลูกก็คงไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้จนถึงตอนนี้หรอก” ดูแล้วพระชายาเจิ้นหยวนคงยังไม่ทราบถึงอาการของอานเหยียนกระมัง นางสังเกตเห็นว่ายามที่พระชายาเอ่ยถึงบุตรชายของต้นดวงตาของท่านอ๋องที่ยืนอยู่หลังนางกลับแดงก่ำขึ้น ชูเซี่ยจึงยิ้มตอบนาง “ดี ท่านก็ดูแลตัวเองให้ดีๆเล่า ยามนี้ท่านยังอยู่เดือน อากาศสารทฤดูก็เย็นนักอย่าได้เดินไปไหนมาไหนส่งเดชเข้าใจหรือไม่” พระชายาแย้มยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน “อื้อ ได้ ข้าเชื่อเจ้า!” เมื่อคล้อยหลังทั้งคู่นางก็หันกายกลับตั้งใจจะไปดูอาการหลี่เฉินเย่นด้วยตนเอง ทว่ามามากลับรีบถลาเข้ามาหยุดนางไว้ “พระชายา หม่อมฉันไม่ใช่ว่าจะห้ามทันนะเพคะ แต่หลายวันมานี้อารมณ์ของท่านอ๋องไม่สู้ดีนัก เมื่อวันก่อนก็สั่งให้คนมาบอกให้ท่านพักผ่อนอยู่เฉยๆ หากทันยังดื้อดึงจะไปและท่านอ๋องเห็นว่าท่านยังไม่หายดีต้องยิ่งโมโหมากขึ้นแน่เพคะ” ชูเซี่ยหรือจะฟังนางยืนกรานดังเดิม “หากพวกเจ้าไม่พาข้าไป ข้าไปเอง!” มามาและเสี่ยวจี๋สบตากันอย่างหมดหนทาง “หากว่าพระชายาต้องการไปจริงๆเช่นนั้นหม่อมฉันช่วยท่านแต่งกายเองเพคะ” เมื่อกล่าวจบนางก็ไปจัดเตรียมน้ำให้นายของตนไว้ล้างหน้าล้างตา ในขณะที่ชูเซี่ยแช่น้ำอยู่นั้นมามาก็เอ่ยขึ้นมาลอยๆ “หม่อมฉันได้ยินมาว่าวันนี้ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งให้ประหารชีวิตหมอหลวงซั่งกวนเนื่องด้วยไม่อาจรักษาองค์ชายอานเหยียนได้เพคะ” ชูเซี่ยชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองมามาอย่างไม่มั่นใจในสิ่งที่ได้ยิน “ยามนี้อาการขององค์ชายน้อยทรงตัวแล้วเหตุใดจึงยังมีรับสั่งให้ประหารหมอหลวงอีกเล่า” มามาถอนหายใจออกมาหนักๆ “พระชายาไม่ทราบเรื่องนี้ ท่านหมอซังกวนผู้นี้ถูกสั่งคุมขังก่อนที่ท่านจะกลับมาเสียอีก ยามนั้นอาการขององค์ชายน้อยแย่นัก ท่านหมอหลวงซั่งกวนเป็นผู้ดูแลพระชายาและองค์ชายน้อนในยามนั้น แต่ก็ไม่สามารถทำให้องค์ชายน้อยดีขึ้นได้ ฮ่องเต้ทรงกริ้วหนักจึงรับสั่งจำคุกรอสำเร็จโทษซึ่งก็คือวันนี้เพคะ!” ที่มามาเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาไม่ได้มีจุดประสงค์อื่นใดเขาเพียงต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของชูเซี่ยเพียงเท่านั้น นางได้ยินมาว่าหลายวันมานี้ท่านอ๋องอารมณ์ร้ายกาจไล่นางกำนัลออกจากวังไปหลายคน แม้แต่โหรวเฟยยังถูกส่งตัวออกจากวังไปแล้วเช่นกัน เกรงว่าหากพระชายาดื้อรั้นไปพบคงถูกท่านอ๋องอาละวาดใส่เป็นแน่ มามาไม่อาจทนเห็นพระชายาของตนไปพบกับเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ได้ ในเมื่อไม่อาจห้ามได้ยามนี้ขอเพียงแค่เบี่ยงเบนความสนใจได้เพียงสักนิดก็ยังดี ฝ่าบาทมีรับสั่งประหารท่านหมอซั่งกวนนั้นอาจจะเป็นเพราะเบื้องหลังมีคนคอยยุแยงตะแคงรั่วก็เป็นได้ สำนักหมอหลวงก็เป็นสถานที่ที่มีการแก่งแย่งชิงดีกันไม่ใช่น้อย หากมีคนต้องการจะขึ้นไปแทนตำแหน่งหัวหน้าหมอหลวงของท่านหมอซั่งกวนเขาก็ต้องกำจัดหินก้อนใหญ่ออกไปจากทางให้ได้เสียก่อน ในบรรดาหมอที่รักษาสตรีและเด็กก็มีเพียงสามคนเท่านั้น คนแรกคือหมอหลวงซั่งกวน อีกคนคือหลงเฟย คนสุดท้ายก็คือเฉินเผย หลงเฟยรักและนับถือในตัวท่านหมอซั่งกวนเป็นอย่างมาก เพราะตั้งแต่เขาเข้าวังมาก็คอยติดตามเรียนรู้การรักษาจากท่านหมอซั่งกวนมาโดยตลอด เฉินเผยเข้าวังก่อนหลงเฟยอยู่หลายปีนัก หลังจากหลงเฟยเข้ามาในสำนักหมอหลวงก็ได้รับความโปรดปรานจากเยี่ยนพ่านอีกด้วย ตั้งแต่นั้นมาหลงเฟยก็มีฝีมือโดดเด่นน่าจับตาอย่างมากแม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังเห็นถึงความสามารถอันโดดเด่นของเขา เยี่ยนพ่านก็ยิ่งส่งเสริมหน้าที่การงานของหลงเฟยมากขึ้นไปอีก มาในวันนี้สบโอกาสที่พระราชนัดดามีโรคที่รักษาได้ยากทำให้ฝ่าบาททรงกลัดกลุ้มเรื่องนี้อย่างมาก เฉินเผยจึงเสนอให้ท่านหมอซั่งกวนและหลงเฟยไปเป็นหมอประจำตัวองค์ชายน้อยไปเสียเลย และเมื่ออาการขององค์ชายไม่ดีขึ้นเขาก็ทูลต่อฝ่าบาทว่าเป็นเพราะท่านหมอซั่งกวนสั่งเทียบยาแรงเกินไปสำหรับเด็กแรกเกิดอย่างองค์ชายน้อย ฝ่าบาทที่ทรงกริ้มเสียจนไม่ได้สั่งให้คนสืบเรื่องราวให้แน่ชัดก็มีรับสั่งให้ประหารท่านหมอซั่งกวนทันทีในวันนี้ยามอู่สถานที่คือประตูอู่เหมิน หมอหลวงทุกคนต่างอกสั่นขวัญแขวนไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยคำอุทธรณ์แทนท่านหมอซั่งกวนเหลือเพียงก็แต่หลงเฟยและท่านหมอหลาน ท่านสองไปเข้าพบใต้เท้าเยี่ยนพ่านเพื่อให้ท่านออกหน้ายื่นคำร้องอุทธรณ์ต่อฝ่าบาท ใต้เท้าเยี่ยนพ่านจึงเขียนจดหมดคำร้องตรงไปยังห้องทรงอักษรของฝ่าบาท แต่ทว่าฝ่าบาทกลับมิยอมพบทั้งยังรับสั่งว่าผู้ใดที่มาขอร้องแทนท่านหมอซั่งกวนผู้นั้นจะโดนลงโทษไปด้วย! ใต้เท้าเยี่ยนพ่านหมดปัญญาท้ายที่สุดเขาก็เดินคอตกกลับไปพร้อมจดหมายคำร้อง หากยังเป็นเช่นนี้ ท่านหมอซั่งกวนก็ยากจะหนีความตายในครั้งนี้พ้นแล้ว กระต่ายตายจิ้งจองร้องไห้ ยามนี้ท่านหมอทั้งหลายในสำนักหมอหลวงต่างก็หวาดกลัว ไม่กล้าคิดว่าผู้ใดจะต้องตกเป็นรายต่อไปที่ทูกฝ่าบาทรับสั่งประหาร 
已经是最新一章了
加载中