ตอนที่ 40 รักใคร่   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 40 รักใคร่
ต๭นที่ 40 รักใคร่ เจิ้นหยวนอ๋องเมื่อเห็นวาชูเซี่ยนิ่งเงียบไปก็เป็นฝ่ายทูลตอบแทนนาง “ก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ของหยิงหลงและอวิ่นเชียนไม่ใคร่จะดีนัก รวมทั้งเขาเพิ่งจะรับตำแหน่งนี้ได้เพียงไม่นานอาจจะยังไม่มีอาศได้บอกต่อหยิงหลงในเรื่องนี้กเป็นได้พะย่ะค่ะ” เหล่าเชื้อพระวงศ์ที่มารับหน้าที่ขุนนางก็มีอยู่ไม่น้อยเป็นเรื่องธรรมดาในวังหลวง ทว่าตำแหน่งหัวหน้ากรมโยธาเป็นตำแหน่งที่สำคัญยิ่งนัก หากไร้ความสามารถก็คงไม่อาจดำรงตำแหน่งเช่นนี้ได้ ดูท่าแล้วหลี่เฉินเย่นผู้นี้ก็เป็นผู้มีความสามารถคนหนึ่ง เมื่อชูเซี่ยเห็นว่าเจิ้นหยวนอ๋องแก้ต่างให้ตนก็สบโอกาสแสร้งทำเป็นก้มหน้าลงอย่างหวดกลัว ก่อนจะเอ่ยทูลออกมาด้วยเสียงไม่มั่นคงนัก “เพคะ หม่อมฉันไม่ดีเอง เป็นเพราะท่านอ๋องแต่งโหรวเฟยเข้ามายังจวนอ๋องอีกคน หม่อมฉันจึงโศกเศร้าตลอดเวลา ตั้งแง่ไม่ยอมพูดคุยกับท่านอ๋องมาโดยตลอด หม่อมฉันจึงไม่ทราบเรื่องนี้เพคะ” นางพูดเช่นนี้ออกไปเพื่อให้นางดูคล้ายหญิงสาวที่กำลังหึงหวงสามีของตน เชื่อว่าฝ่าบาทต้องเชื่อพระทัยนางแน่ ไม่เช่นนั้นนางก็คงไม่ใช่วิธีเช่นนี้หรอก ฮอ่งเต้ถอนพระปัสสาสะออกมา “เรื่องของพวกเจ้าสามีภรรยา เจิ้นจะไม่เข้าไปยุ่งหรอกนะ ทว่า หยิงหลงเอ๋ย ตั้งแต่ครั้งอดตกาลชายแต่งหญิงสาวเข้าบ้านได้มากมาย ไม่ต้องกล่าวถึงผู้มีตำแหน่งอ๋องทั้งยังดำรงตำแหน่งหัวหน้าขุนนางกรมโยธาอีกด้วย มีดวงตาหลายคู่จับจ้องมาที่เขา เจ้าซึ่งเป็นพระชายาก็ควรจะเปิดใจยอมรับมันให้ได้” ชูเซี่ยหลุบตาลง ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ!” “ดี!” ทรังตรัสเช่นนั้นก่อนหันไปหาจงเจิ้ง “เจ้าไปเรียกตัวใต้เท้าหยางผู้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยกรมโยธาเข้ามา เขาคงรออยู่ข้างนอกก่อนแล้ว” ในใจชูเซี่ยนึกไปถึงหลี่เฉินเย่น ในที่สุดนางก็มีข้ออ้างที่จะไปเยี่ยมเขาโดยไม่โดนดุได้แล้ว นางจึงอยากไปดูเขาเสียหน่อย “เสด็จพ่อเพคะ หม่อมฉันอยากปรึกษาเรื่องนี้กับท่านอ๋องด้วยเพคะ เช่นนั้นให้ใต้เท้าหยางไปตำหนักจาวหยางด้วยกันกับหม่อมฮันดีหรือไม่เพคะ” ฮ่องเต้ทรงขมวดคิ้ว “เรื่องนี้...” “ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันทราบดีว่ายามนี้ท่านอ๋องมีอารมณ์ไม่สู้ดีนัก ทว่าหม่อมฉันก็รู้อีกด้วยว่านท่านอ๋องเป็นผู้ที่แยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวเป็น เขาไม่มีวันนำเรื่องส่วนตัวของเขามาทำให้การใหญ่ต้องเสียเป็นแน่เพคะ” แล้วนางก็เอ่ยต่อด้วยเสียงที่เบาลง “ทั้งหม่อมฉันยังอยากใช้โอกาสนี้ทำให้ท่านอ๋องรับรู้ถึงความสามารถที่ตนเองมีอยู่เพื่อลบความพิการทางกายของเขา ให้เขาได้รับรู้วาคุณค่าของชีวิตเราไม่ใช่อยู่ที่ร่างกายแต่อยู่ที่ภายในต่างหาก เพื่อทำให้เขาเข้มแข็งขึ้นด้วยนะเพคะ” ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรนางด้วยความสงสัยทั้งยังประหลาดใจ “หยิงหลง เจ้าช่างทำให้เจิ้นรู้สึกประหลาดใจ” หยิงหลงรู้สึกเศร้าเสียใจขึ้นมา นางพยายามก้มหน้าซ่อนน้ำตา “หม่อฉันทูลลาเพคะ!” เจิ้นหยวนอ๋องก็สบโอกาสนี้ทูลลาด้วยเช่นกัน ใต้เท้าหยาง ชูเซี่ยและเจิ้นหยวนอ๋องทั้งสามเดินทางไปยังตำหนักจาวหยางเพื่อไปปรึกษาหารือเรื่องปัญหาภัยแรงกับหลี่เฉินเย่น เมื่อมาถึงตำหนักจาวหยางซึ่งเป็นที่พำนักชั่วคราวของหลี่เฉินเย่น นางก็ได้ยินเสียงข้าวของแตกกระจายมาจากภายในตามด้วยเสียงร้องคำรามดุดันของเขาดังเล็ดลอดออกมา เวิรอี้รู้สึกเสียใจอย่างมาก วันนั้นท่าทางของเขายังดูไม่แยแสต่อสิ่งใดเลยแท้ๆ ทั้งอยู่ดูเหมือนจะไม่เก็บมันมาคิดมากเสียด้วยซ้ำ วันนั้นเขาคงทรมานใจมากเลยกระมัง นางหันกายกลับไปเอ่ยกับเจิ้นหยวนอ๋อง “ท่านทั้งสองรออยู่นี่สักเดี๋ยวเถิด ข้าขอเข้าไปดูเสียหน่อย” เจิ้นหยวนอ๋องรับคำนางก็จะเอ่ยเตือน “ยามนี้เข้าอารมณ์ไม่ดี เจ้าก็ระวังตัวด้วย” ชูเซี่ยพยักหน้า ในใจรู้สึกอึดอัดนัก นางเป็นหมอเคยเห็นอาการบาดเจ็บมาก็มาก ทว่าเขาเป็นเช่นนี้ก้เพื่อช่วยเหลือนาง หากชีวิตนี้เขาไม่อาจเดินได้อีกนางก็ไม่สมควรมีชีวิตอยู่จริงๆ ชูเซี่ยค่อยๆเปิดประตูเข้าห้อง เหล่าขันทีนางกำนัลเมื่อเห็นนางก็รู้สึกโล่งใจถอนหายใจกันยกใหญ่ “ถวายบังคมพระชายา!” ชูเซี่ยเห็นว่าในมือของขันทีมีกระโถนอยู่ใบหนึ่ง นางก็รับรู้ได้ในทันทีว่าแม้แต่ยามที่เขาต้องการจะถ่ายเบายังไม่อาจช่วยเหลือตนเองได้ เขาจะต้องรู้สึกว่าตนเองไร้ค่ามากเป็นแน่ เป็นภาระให้ผู้อื่น เมื่อคิดเช่นนี้ไม่แปลกที่เขาจะไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ หลี่เฉินเย่นไม่ได้หันหน้ามามองนางแม้แต่น้อย เขาเพียงจัดแจงเสื้อผ้าของตนให้เรียบร้อยก่อนจะเอ่ยเสียงไม่พอใจออกมา “เจ้ามาทำอะไรที่นี่ หมอหลวงอนุญาตให้ลงจากเตียงได้แล้วหรือ” ชูเซี่ยสั่งการให้คนออกจากห้องไปให้หมด นางกำนัลต่างก็ย่อกายคำนับแล้วเดินออกไป ชูเซี่ยเดินไปหยุดอยู่ข้างหลังเขา ภายในห้องมืดสลัวนางจึงเดินไปที่หน้าต่างใช่ตะขอเกี่ยวม่านยาวสีทองให้เปิดออกจนภายในห้องกลับมาสว่างไสวอีกครั้ง ชูเซี่ยจ้องใบหน้าคมคายของชายหนุ่มตรงหน้านางอยู่นานใบหน้าของเขาซูบผอมลงเล็กน้อย ดวงตาคมกล้าบัดนี้มีสีแดงก่ำดูๆแล้วใบหน้าเข้าคล้ายจะแก่ลงไปหลายปีเลยทีเดียว หัวใจของชูเซี่ยปวดหนึบไปหมด แต่นางก็ไม่ได้แสดงความเจ็บปวดออกมาทางสีหน้าแม้แต่น้อย นางทำเพียงจ้องมองเขาแล้วแย้มยิ้มออกมาน้อยๆ แล้วค่อยๆชูมือขึ้นก่อนวาดเป็นกลมๆ “ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าพวกเราแข็งกันหรือว่าใครหายก่อน ข้าชนะแล้ว!” หลี่เฉินเย่นตวัดสายตามองนางด้วยความหงุดหงิดก่อนจะยิ้มเยาะออกมา “ทำไมหรือ จะมาเยาะเย้ยเปิ่นหวางงั้นหรือ ใช่แล้วล่ะ เจ้าหายดีแล้ว เปิ่นหวางก็นเป็นอำพาตนั่งนิ่งอยู่ตรงนี้ นั่งอยู่เช่นนี้ตลอดไป” ชูเซี่ยเดินเข้าไปไกล้เขาก่อนจะย่อกายลงตรงหน้านางคว้ามือหนาของเขามากอบกุมเอาไว้ ดวงตากลมโตของนางมีน้ำตาคลอหน่วย นางจ้องสบประสานสายตาของเขาอยู่นิ่งๆก่อนจะเอ่ยออกมาในที่สุด “ข้าเรียกชื่อท่านได้หรือไม่เจ้าคะ” เขาอยากจะยิ้มเย็นชาใส่นางทว่ามุมปากของเขาไม่อาจจะทำเช่นนั้นได้ เค้าไม่สามารถยิ้มเย็นใส่นางได้ บางอย่างในหัวใจของเขาสั่นไหวอย่างรุ่นแรง เขาจ้องมองนางนิ่งๆ “ตามใจเจ้า!” ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็ไม่อาจปฎิเสธนางได้ลง “อวิ่นเชียน ท่านเชื่อใจข้าหรือไม่” ชูเซี่ยเอ่ยเรียกเชื่อเขาเสียงเบา เขาไม่ได้ตอบนาง ทำเพียงแค่ใช้ดวงตาแดงก่ำที่ฉายชัดถึงอ่อนแอและเศร้าโศกมองนางเงียบๆ “ท่านต้องเชื่อข้าแน่นอนอยู่แล้ว เช่นนั้นข้าก็จะเชื่อตนเอง ท่านต้องกลับมาดีได้ดังเดิมแน่เป็นเช่นเมื่อก่อนสามารถเหาะเหินไปไหนมาไหนได้” หลี่เฉินเย่นดึงมือนางออก ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “เจ้าอย่าได้ให้ความหวังแก่เปิ่นหวังอีกเลย เปิ่นหวางเพิ่งจะทำใจยอมรับความเป็นจริงได้แท้ๆ” ชูเซี่ยนางส่ายศีรษะก่อนหัวเราะอย่างดื้อดึง “ท่านรู้จักมองโกลหรือไม่ ที่นั่นมีทุ่งหญ้ากว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาเลยเชียวล่ะ ทุ่งหญ้าเป็นประกาย ทุ่งหญ้าที่ไม่รู้จบยาวไปจนถึงสุดขอบฟ้าเลยนะเจ้าคะ ทั้งสวยงามแล้วน่าทึ่ง ข้าเฝ้าฝันอยากจะไปขี่ม้าที่ทุ่งหญ้าแห่งนั้นสักครั้ง ควบม้าไล่จับหนุ่มน้อย ถึงเวลานั้นท่านก็ไปด้วยกันกับข้า ข้าไล่จับหนุ่มเลี้ยงวัวท่านก็ไล่ตามสาวเลี้ยงแกะดีหรือไม่” น้ำเสียงของนางช่างไพเราะราวกับมีเวทมนต์ทำให้เขาเฝ้าจินตนาการตามคำพูดของนางก่อนจะได้สติจึงหันมามองจ้องนางอีกครั้ง “เจ้าเป็นหญิงออกเรือนแล้วยังคิดไปไล่ตามหนุ่มน้อยที่ใดอีก” ชูเซี่ยขยับรอยยิ้มซุกซน “แต่ว่า นั่นคือความใฝ่ฝันของข้านะเจ้าคะ!” หลี่เฉินเย่นนิ่งเงียบไป “เช่นนั้นเปิ่นหวางเป็นหนุ่มน้อยให้เจ้า เจ้าก็ไล่ตามเปิ่นหวางแล้วกัน!” ชูเซี่ยปั้นสีหน้าจริงจังมองมายังเขา “แต่ว่าข้าไม่อยากเป็นสาวเลี้ยงแกะนี่เจ้าคะ” หลี่เฉินเย่นยิ้มออกมาได้ในที่สุด “งั้นก็ไม่มีทางเลือกแล้ว เปิ่นหวางไปไล่ตามสาวเลี้ยงแกะคนอื่นก็แล้วกัน!” ชูเซี่ยยืนขึ้นเท้าสะเอวก่อนทำสีหน้าดุร้ายใส่เขา “หากเป็นชั้นนั้นท่านก็จงระวังหูของตนไว้ให้ดี ข้าไม่ดึงหูท่านก็แปลกแล้วล่ะ” กล่าวจบใบหน้านางก็แดงซ่านทันที นางกล่าวออกไปเช่นนั้นไม่เท่ากับว่านางกำลังบอกเขาว่านางมีใจให้เขาหรือ เมื่อมาลองนึกดูให้ดีแล้วบางทีนางอาจตกหลุ่มรักเขามานานแล้วก็เป็นได้เพียงแต่นางไม่เคยกล้าที่จะยอมรับความรู้สึกตนเองเลยสักครั้ง หลี่เฉินเย่นเองก็เขินอายอยู่เช่นกัน ใบหน้านางในยามนี้ช่างน่าเอ็นดูและโง่งมในเวลาเดียวกัน ช่างทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกรักและเอ็นดูยิ่งนัก มันทำให้เขารู้สึกว่าหากไม่ใช่ว่าขาทั้งสองข้างของเขาใช้การไม่ได้แล้วล่ะก็ ชายหนุ่มก็คงเดินปรวบนางไว้ในอ้อมกอดของตนเป็นแน่ เขาดึงมือของนางไว้ก่อนถามขึ้น “เจ้าดีขึ้นแล้วจริงหรือ” ชูเซี่ยกระซิบตอบเขาเบาๆ “ดีขึ้นมากแล้ว” แม้ว่าแผลที่ขาของนางจะยังไม่หาดี ทั้งยังอักเสบอยู่แต่ในเมื่อนางไม่รู้สึกเจ็บนางก็จะถือว่าหายดีแล้ว “อื้อ!” เขายังคงกุมมือนางไว้เฉยๆ ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก คำพูดก่อนหน้านี้ของนางทำให้เกิดบรรยากาศอึดอัดระหว่างพวกเขาทั้งสองอย่างมาก เมื่อก่อนหลี่เฉินเย่นรังเกียจที่จะอยู่ใกล้นางยิ่งนัก แต่ในยามนี้เขากลับอยากให้มีนางอยู่ข้างกายเขาตลอดไป ชูเซี่ยนึกถึงเจิ้นหยวนอ๋องและใต้เท้าหยางขึ้นมาได้ว่าพวกเขาทั้งคู่รอนางอยู่ข้างนอก หากแต่นางไม่รู้จะเอ่ยกับหลี่เฉินเย่นเช่นไรดีจึงลุกขึ้นมาแล้วทำท่าทีร้อนใจ “ข้ามาหาท่านครั้งนี้ก็เพราะว่าเสด็จพ่อให้คำถามที่ยากมากๆแก่ข้า” หลี่เฉินเย่นนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้ามองนาง “เสด็จพ่อโทษเจ้าที่ทำให้เปิ่นหวางเป็นเช่นนี้หรือ เค้าทำให้เจ้าลำบากใจงั้นหรือ” ชูเซี่ยรีบกล่าวปฎิเสธออกไปทันที “เปล่าเจ้าค่ะ เสด็จพ่อไม่ได้โทษว่าเป็นความผิดของข้าแม้แต่น้อย ต้องโทษที่ข้านี่!” นางเล่าเรื่องของท่านอ๋องซั่งกวนให้เขาฟังทั้งหมด ก่อนจะเอ่ยถึงปัญหาที่ฮ่องเต้ทรงถามนาง หลี่เฉินเย่นประหลาดใจยิ่งนัก “เสด็จพ่อให้เจ้าอ่านฎีกาของพระองค์งั้นหรือ” แม้จะไม่มีข้อห้ามได้ที่กล่าวห้ามสตรีข้องเกี่ยวกับงานของบุรุษทว่าก็เป็นธรรมเนียมที่ผู้คนต่างรับรู้กัน ไม่ว่าจะเป็นนางกำนัล หรือหญิงสาวสามัญชนก็ตาม อีกอย่างเหตุใดนางจึงขวัญกล้าถึงเพียงนี้ ถึงขั้นไปขัดขวางรับสั่งของท่านพ่อเพียงเพื่อช่วยหมอหลวงท่านหนึ่งเท่านั้น แม้จะตกใจเพียงใดเขาก็ยังรู้สึกชื่นชมในความกล้าหาญของนางอีกด้วย เสด็จพ่อทรงเข้มงวดมาตลอด พวกเขาซึ่งเป็นลูกเองยามเมื่ออยู่ต่อหน้าพระพักต์ยังไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยขัดพระองค์ด้วยซ้ำ “ข้าก็ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดเสด็จพ่อจึงให้ข้าอ่านมัน ทั้งยังถามวิธีแก้ปัญหาของข้าอีกด้วย ข้าไม่เข้าใจแม้แต่น้อยแต่ก็ไม่กล้าพูดจาส่งเดชออกไปจึงได้แต่มาขอร้องท่าน!” พูดไปนางก็ดึงมือเขามาเหย่าไปมาเบาๆ ส่งเสียงออดอ้อนน่าสงสาร “ท่านจะช่วยข้าใช่หรือไม่” “เจ้านี่นะ จากนี้ไปห้ามหาเรื่องใส่ตัวเองอีกเข้าใจหรือไม่” เขาเอ่ยอย่างระอา ชูเซี่ยยกยิ้มประจบ “ไม่มีครั้งหน้าอีกแล้วเจ้าค่ะ!” นางลุกขึ้นยืน “ข้าให้เจิ้นหยวนอ๋องและใต้เท้าหยางรออยู่ข้างนอก พวกเราไปหารือกับพวกเขากันเถิด” “เดี๋ยวก่อน!” หลี่เฉินเย่นหยุดนางไว้ “ทำไมหรือเจ้าคะ” นางหันกายกลับมามองเขา “เจ้าช่วยเปิ่นหวางอาบน้ำแต่งกายให้เรียบร้อยหน่อยเถิด!” ชูเซี่ยหน้าแดงวูบวาบไปหมด “อาบน้ำพอได้ ทว่าแต่งตัวให้ท่าน เรียกขันทีให้มาช่วยดีหรือไม่เจ้าคะ” หลี่เฉินเย่นปรายตามองนาง “มีส่วนใดของเปิ่นหวางที่เจ้าไม่เคยเห็นหรือ” ชูเซี่ยกัดริมฝีปากของตนเองเบาๆ นางรู้สึกอายเป็นอย่างมาก เหตุการณ์ครั้งก่อนนางไม่รู้สึกอะไรเลยนอกจากเจ็บมีหรือจะมานั่งสำรวจตรวจตราเขา นางจัดเตรียมเสื้อผ้าให้เขาวางเรียบร้อยแล้วใบหน้างามขึ้นสีแดงระเรื่อไปทั้งหน้ายามช่วยเขาถอดเสื้อผ้าออกจากร่าง สีหน้าของนางดูลำบากใจและกังวลอย่างยิ่ง “เจ้าไปเตรียมน้ำอุ่นเช็ดตัวให้เปิ่นหวาง” ดวงตากลมโตเบิกกว้างทันที “เช็ด...เช็ดตัวหรือ” “รีบไป!” หลี่เฉินเย่นส่งเสียงหนักแน่นให้นาง ชูเซี่ยรับคำก่อนจะรับหันกายไปเยกคนมาเตรียมน้ำ นางรู้สึกอับอายยิ่งนักยามที่ออกมาเห็นเจิ้นหยวนอ๋องและใต้เท้าหยางยืนอยู่หน้าตำหนัก ทั้งสอง คนคงได้ยินบทสนทนาของพวกนางก่อนหน้านี้หมดแล้ว แต่กลับแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเป็นแน่ “ท่านทั้งสองโปรดรอสักครู่ ใกล้จะเสร็จแล้วล่ะ” นางเอ่ยเบาๆอย่างเขินอาย เจิ้นหยวนอ๋องเพียงเอ่ยรับคำนางเท่านั้น “ไม่เป็นไรหรอก เปิ่นหว่างและใต้เท้าหยางรอได้ เจ้า เปลี่ยน...เสร็จแล้วค่อยส่งคนมาเรียกพวกเราก็แล้วกัน” ชูเซี่ยเขินอายอย่างมากก่อนจะรีบก้มหน้าก้มตาวิ่งเข้ามาภายในตำหนักอย่างรวดเร็ว นางกำนัลจัดเตรียมน้ำอุ่นไว้ให้เรียบร้อย ชูเซี่ยเดินทางหยุดตรงหน้าอ่างล้างหน้าอย่างลังเล “เช่นนั้น...” “เปิ่นหวางต้องการให้เจ้าปรนนิบัติ!” ราวกับว่าเขาอ่านใจนางออกจึงสั่งให้นางกำนัลออกไปให้หมด นางยืนอยู่หน้าอ่างไม้ ทำสมาธิอยู่ครู่หนึ่ง ยามที่นางอยู่โรงพยาบาลนางก็เคยเช็ดตัวให้คนไข้มาก่อน ไม่เป็นไรหรอก นางบิดผ้าหมาดๆก่อนเดินมาตรงหน้าเขาเริ่มจากการช่วยทำความสะอาดเช็ดหน้าให้เขา นางอดไม่ได้ที่จะแสดงท่าทางซุกซนออกมาโดยการนิ้วของนางเชยปรายคางของเขาขึ้นมาพร้อมหยิกแก้มเบา “นายท่าน ข้าน้อยปรนนิบัติท่านสบายดีหรือไม่เจ้าคะ” หลี่เฉินเย่นค่อยเปิดเปลือกตาขึ้น จ้องมองนางก่อนจะค่อยๆเอ่ยออกมา “ยังต้องปรับปรุง” “กางแขนออก!” เมื่อนางบิดผ้าเสร็จก็เอ่ยสั่งเขา หลี่เฉินเย่นก็เชื่อฟังอย่างยิ่ง ยอมกางแขนตามที่นางสั่งแต่โดยดีแล้วจ้องมองนางเงียบๆ นางเช็ดผ้าไปตามร่างกายของเขาอย่างช้าๆ ก่อนจะเอ่ยยั่วเย้า “อ้า ชาตินี้ไม่เคยอาบน้ำหรืออย่างไรทำไมตัวเหม็นเช่นนี้” หลี่เฉินเย่นก็เอ่ยตอบนางทันที “ในเมื่อเจ้ากล่าวเช่นนี้งั้นก็ช่วยเปิ่นหวางอาบน้ำเสียเลยดีหรือไม่” “อ้อ เมื่อดมดีๆแล้วไม่ใช่กลิ่นเหม็นหรอก กลิ่นหอมต่างหากเล่า!” นางรีบเปลี่ยนคำพูดทันที 
已经是最新一章了
加载中