ตอนที่ 42 เพื่อความอยู่รอด   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 42 เพื่อความอยู่รอด
ต๭นที่ 42 เพื่อความอยู่รอด เสียงฝนตกและฟ้าผ่าลงมายังต้นไม้ภายนอก มีสายลมเย็นยะเยือกพัดเข้ามาเสียดแทงร่างเป็นระยะๆ ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว ยืนนิ่งๆเงียบๆเฝ้ารอความตายคืบคลานมาหาพวกตนเพียงเท่านั้น นอกจากชะตากรรมของพวกเขาทั้งสองแล้วยังมีชะตาชีวิตขององค์ชายอานเหยียนอีกผู้หนึ่งด้วย ยามนี้อาการขององค์ชายยังทรงตัวอยู่ ไม่มีอาการชัก ไม่มีความเจ็บปวด ลมหายใจแผ่วเบาลงเรื่อยๆ หยงเฟยจับมือน้อยๆไว้มั่น ในใจนางปล่อยวางต่อทุกสิ่งไม่รู้สึก วูบโหวงไม่แยแสต่อสิ่งใด ไร้ซึ่งความเกลียดชังอีกต่อไป ด้านตำหนักจาวหยาง ชูเซี่ยที่ก้มหน้าก้มตาอ่านตำราการฝังเข็มอยู่นั้นเมื่อได้ฟังข่าวจากเสี่ยวจี่ก็รู้สึกเสียใจนัก ท้ายที่สุดนางก็ก้มหน้าลงถลกกระโปรงขึ้นเพื่อดูบาดแผลที่ขาของตน นางลองใช้มือกดลงไปที่แผลก็ปรากฎว่าไม่รู้สึกเจ็บเลยแม้แต่น้อย ภายในใจก็มีความคิดบางอย่างผุดขึ้นมา บางทีชีวิตที่สองของนางนี้อาจจะเป็นเพียงร่างกายที่ตายไปแล้วก็เป็นได้ นางหยิบห่อผ้าที่บรรจุเข็มท่ามกลางสายตาของเสี่ยวจี๋ที่จ้องมองมาด้วยความประหลาดใจ นางก็พุ่งตัวออกไปจากห้องทันที ตลอดทางนางวิ่งอย่างไม่ผ่อนแรงลงแม้แต่น้อย ท่ามกลางฝนพายุที่ตกลงมาไม่หยุด โคมไฟตามทางเดินสลัวๆเนื่องจากลมพายุที่โหมพัดอย่างแรงทำไมนางมองเห็นหนทางข้างหน้าได้ไม่ชัด เส้นทางที่ไปอารามชูหยางก็เปียกแฉะจนทำให้นางล้มลุกคลุกคลานเสียหลายครั้งร่างกายเปียกโชกไปหมด ความหวาดกลัวที่ไม่มีสิ้นสุดปกคลุมไปทั่วจิตใจของนาง เมื่อมาถึงประตูทางเข้าอารามด้วยความเร่งรีบนางจึงสะดุดล้มศีรษะกระแทกเข้ากับธรณีประตูหินอย่างแรงครั้งหนึ่ง แผลบนหน้าผากที่เพิ่งจะสมานเริ่มมีเลือดไหลทะลักออกมาอีกครั้ง เลือดที่ไหลอาบลงมาถูกสายฝนชะล้างไหลลงมาตามใบหน้าและลำตัวช่างดูเย็นยะเยือกและน่าหวาดกลัว อ๋องเจิ้นหยวนและพระชายาที่คุกเข่าโอบกอดกันอยู่ที่อุทธยานต่างเงยหน้าขึ้นมาจ้องมองผู้มาใหม่ ทว่าท่ามกลางสายฝนและโคมไฟที่สลัวทำให้ไม่อาจมองได้ชัดเจนนักว่าผู้มาใหม่คือผู้ใด นางหาได้สนใจขนบธรรมเนียมและสายตาประหลาดใจที่มองมาจากหมอหลวงทั้งสองไม่แต่กลับเดินตรงไปยังห้องบรรทมภายในที่อานเหยียนอยู่ อ๋องเจิ้นหยวนลุกขึ้นก่อนจะพยายามฉุดรั้งนานไว้ ทว่าฝีเท้าของนางเร็วเหลือเกินจนเขาตามนางไม่ทัน รู้ตัวอีกครั้งนางก็เข้าไปภายในห้องเสียแล้ว หยงเฟยเมื่อเหลือบมองผู้มาใหม่ก็ร้องออกมาอย่างตกใจ แต่เมื่อเพ่งมองจนรู้ว่าเป็นใครก็เอ่ยออกมาเสียงเย็น “เจ้าโผล่มาในสภาพเช่นนี้ต้องการทำให้เปิ่นกงหัวใจวายตายหรือไร อานเหยียนใกล้จะจากไปแล้วเจ้าก็ช่วยปล่อยให้เขาจากไปอย่างสงบไม่ได้หรือไร” ชูเซี่ยไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา หัวใจนางยังคงเต้นเร็วและแรงไม่ทราบว่าเกิดมาจากการที่นางวิ่งตรงมาที่นี่อย่างไม่หยุดพักหรือเพราะชีวิตน้อยๆที่กำลังจะตายต่อหน้านางกันแน่ อย่างไรก็ตามยามนี้หัวใจของนางรู้สึกไม่อาจสงบใจได้เลย นางจ้องมองอานเหยียน ลมหายใจของเขาแผ่วเบาเหลือลมหายใจเฮือกสุดท้ายไว้ นางเชื่อว่าองค์ชายน้อยกำลังรอคอยนางอยู่แน่นอน นางหยิบกระเป๋าผ้าที่มีเข็มทองอยู่ภายในออกมาก่อนจะหันไปกล่าวกับหยงเฟยและอ๋องเจิ้นหยวน “อย่างมากข้าก็แค่ตามเขาไปที่ยมโลกด้วยก็เท่านั้น” ด้านเสี่ยวจี๋ครั้นมองเห็นนางวิ่งออกไปเมื่อจะตามก็ไม่อาจตามได้ทันจึงตัดสินใจหันกายกลับวิ่งไปรายงานเรื่องนี้แก่หลี่เฉินเย่นแทน หลี่เฉินเย่นเอ่ยถามเสี่ยวจี๋ว่าก่อนที่นางจะหุนหันวิ่งออกไปนางได้พูดอะไรกับชูเซี่ยไปบ้าง เสี่ยวจี๋จึงเอ่ยออกมาตามตรงว่าก่อนหน้านี้นางพูดถึงอาการของอานเหยียน หลี่เฉินเย่นเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยเสียงเฉียบขาด “สั่งคนให้ส่งตัวเปิ่นหวางไปอารามชูหยางเดี๋ยวนี้!” เสี่ยวจี๋ตกใจจนแทบสิ้นสติ “ท่านอ๋องเพคะ ยามนี้ฝนตกหนักยิ่งนัก ร่างกายท่านยังอ่อนแอ เสด็จไม่ได้เพคะ!” หลี่เฉินเย่นเหลือบตามองนางก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงที่ใกล้จะหมดความอดทน “ยังจะมาพูดจาไร้สาระอันใดอยู่อีก รีบไป!” เสี่ยวจี๋ไม่มีทางเลือกทำได้เพียงหันกายกลับออกไปเรียกคนมาเท่านั้น เมื่อหลี่เฉินเย่นเดินทางมาถึงอารามชูหยางความเงียบปกคลุมไปทั่ว มีผู้คนนับสิบยืนรออยู่ภายนอก สีหน้าของแต่ละคนเต็มไปด้วยความหนักอึ้งและเคร่งขรึม หัวใจของเขาหล่นวูบรีบสั่งการให้ข้าหลวงรีบแบกเขาเข้าไปด้านในทันที ทว่ายังไม่ทันก้าวข้าวธรณีหินประตูภายในห้องก็ถูกเปิดออกมาเสียก่อน ท่ามกลางสายฝนในยามค่ำคืนเขาเพ่งมองภาพตรงหน้าอย่างตั้งใจจึงเห็นว่าร่างที่ก้าวย่างออกมาจากห้องคือชูเซี่ย ฝีเท้าของนางแผ่วเบาดูไร้เรี่ยวแรง ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดที่ไหลอาบลงมา นางเงยหน้าขึ้นจับจ้องมาทางเขาก่อนจะอ้าแขนเล็กน้อยราวกับว่ามองเห็นที่พึ่งพิงของตน ทว่ายังไม่ทันที่เท้าของางจะก้าวมาถึงเขาร่างบางก็ล้มลงต่อหน้าต่อตาเขาเสียก่อน หลี่เฉินเย่นมองเห็นใบหน้าของชูเซี่ยที่เต็มไปด้วยเลือดก็คิดว่านางถูกคนสั่งลงโทษ ความโมโหเข้าจู่โจมเขาอย่างรุนแรงจนในที่สุดก็กระอักเลือดออกมาคำโตทำให้ผู้คนแตกตื่นกันใหญ่ หยงเฟยเมื่อเห็นว่าชูเซี่ยสลบไปก็รีบเรียกข้ารับใช้และหมอหลวงทันที “เร็ว รีบพยุงร่างของพระชายาเข้าไปข้างใน” เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าหลี่เฉินเย่นกระอักเลือดออกมา ใบหน้าซีดเผือด รีบเอ่ยอย่างร้อนรน “ไอ้หยา ยังจะชักช้าอยู่อีกทำไม ส่งทั้งคู่เข้าไปข้างในเดี๋ยวนี้!” ความโกลาหลวุ่นวายเกิดขึ้น ร่างของทั้งคู่ถูกส่งเข้ามาภายในตำหนักโดยมีหมอหลวงสองคนเป็นผู้คอยรักษาอาการอย่างใกล้ชิด หลี่เฉินเย่นเพียงแค่โกรธมากเกินไปส่งผลให้พลังปราณภายในพลุ่งพล่านทำให้กระอักเลือดออกมา แค่ใช้เวลาพักฟื้นลมปราณเสียหน่อยก็จะกลับมาดีขึ้นในไม่ช้า ทว่าอาการของชูเซี่ยกลับไม่ค่อยดีนัก บาดแผลที่ขาของนางอักเสบอย่างหนัก ไข้ขึ้นสูง แม้ว่าหมอหลวงจะทำการฝังเข็มให้ทว่านางก็ยังไม่ฟื้นคืนสติขึ้นมาเสียที ร้อนถึงคนในวังที่อกสั่นขวัญแขวนกันหมด เมื่อหลี่เฉินเย่นได้ฟังเรื่องราวจากอ๋องเจิ้นหยวนจึงได้รู้ว่าชูเซี่ยได้ช่วยชีวิตอานเหยียนไว้ได้ ยามนี้ชีพจรของอานเหยียนเต้นดีและมั่นคงขึ้นมาก ฟื้นคืนสติขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว ยามที่ดื่มนมจากแม่นมหลวงเข้าไป เขาก็ดื่มมันได้ดีใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นและไม่ได้อาเจียนนมออกมาอย่างเช่นเคย ความหวังในการมีชิวตของทุกชีวิตก็ราวกับแสงอาทิตย์วันใหม่ที่ค่อยๆสาดส่องอย่างช้าๆแต่สว่างไสวภายในใจของทุกๆคน ความเย็นของสายฝนที่ตกลงมาตั้งแต่เมื่อคืนดูเหมือนว่าจะสลายหายไปแล้วเหลือเพียงบรรยากาศอบอุ่นชื่นมื่นเข้ามาแทนที่ หยงเฟยให้คนไปส่งข่าวดีแก่ตำหนักโซ่วอานเกี่ยวกับอาการของอานเหยียน เมื่อไทเฮาทรงสดับฟังก็ผ่อนคลายลงและอยากเสด็จมาทอดพระเนตรอานเหยียนด้วยพระองค์เองทว่าฝ่าบาทกลับทรงห้ามไว้ ไทเฮาก็ทรงดื้อเพ่งจะเสด็จมาเสียให้ได้ เมื่อไม่สามารถห้ามได้ฝ่าบาทและฮองเฮาจึงได้เสด็จมากด้วยกันทั้งสามพระองค์ เมื่อไทเฮาทรงเสด็จมาถึงอารามชูหยาง ชูเซี่ยก็ยังคงไม่ฟื้นคืนสติ ไทเฮาทรงเยี่ยมเยียนพระราชนัดดาของพระองค์ก่อนจะตรัสถามถึงเรื่องราวทั้งหมดจึงได้ทราบว่าชูเซี่ยเกิดเรื่อง พระองค์จึงร้อนพระทัยรีบเร่งเสด็จไปหาชูเซี่ยทันที ครั้นทรงทอดพระเนตรเห็นใบหน้าขาวซีดเผือดและบาดแผลตรงหน้าผากของนางก็รู้ปวกพระทัยนัก จึงฝากฝังให้หลงเฟยและหมอหลวงหลานดูแลนางอย่างดีที่สุด “ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม พวกเจ้าต้องรักษาพระชายาหนิงอานให้หายโดยเร็วที่สุด” หลงเฟยและหมอหลวงหลานคุกเข่าโน้มรับคำสั่งแต่โยดี ในใจของทั้งคู่รู้สึกซาบซึ้งและขอบคุณชูเซี่ยอยู่ก่อนแล้ว แม้ว่าจะไม่มีรับสั่งจากไทเฮาทั้งคู่ก็พร้อมช่วยเหลือนางอย่างเต็มที่อยู่แล้ว หลี่เฉินเย่นอยู่ข้างกายชูเซี่ยตลอดเวลา ใบหน้าของเขาไม่สู้ดีนัก เมื่อไทเฮาทรงทราบว่าเขาเพิ่งจะกระอักเลือดออกมากองโตก็รับสั่งให้เขากลับไปพักผ่อนที่ตำหนักของตนโดยเร็วทว่าหลี่เฉินเย่นกลับดึงดันที่จะอยู่ข้างกายของชูเซี่ยไม่ยอมไปไหนทั้งนั้น พระทัยของฮองเฮารู้สึกปลาบปลื้มใจอย่างยิ่ง ทรงกระซิบเสียงเบากับองค์ไทเฮา “ก็ดีนะเพคะ นับตั้งแต่พวกเขาสองคนแต่งงานกันมาก็เย็นชาต่อกันเหลือเกินยากนักที่จะปฎิบัติต่อกันอย่างรักใคร่เช่นนี้ เสด็จแม่ก็ทรงยอมให้เขาอยู่ที่นี่เถิดเพคะ!” ไทเฮาส่งเรียงรับคำก่อนจะหันพระพักต์ไปมองร่างของชูเซี่ยที่นอนอยู่บนเตียงบรรทมอย่างอ่อนโยน “เด็กคนนี้ หลายวันมานี้ลำบากนางเหลือเกินแล้ว หากนางฟื้นขึ้นมา...” ไทเฮาทรงทอดพระเนตรมายังฝ่าบาทก่อนตรัสต่อ “ฮ่องเต้ ท่านก็ลองคิดดูให้ดีๆแล้วกันว่าจะให้รางวัลอะไรต่อสะใภ้แสนดีผู้นี้ดี!” ฝ่าบาททรงแย้มสรวลออกมา “เกรงว่าหากนางต้องการดาราบนท้องฟ้า ลูกคงต้องหาวิธีคว้ามาให้นางแล้วกระมังเสด็จแม่ ท่านวางพระทัยเถิด ลูกต้องตอบแทนลูกสะใภ้คนนี้อย่างดีแน่!” ไทเฮาทรงแย้มยิ้มอย่างมีความสุขจนหางตาหยีเป็นรอยแห่งวัย ทรงตรัสออกมาอย่างอ่อนโยน “ดียิ่ง ในใจของข้ายามนี้แม้จะรู้สึกยินดีก็ยินดีไม่ได้เต็มที่นักก็เพราะเป็นห่วงเด็กคนนี้ยิ่งนัก” แม่นมหลวงอุ้มองค์ชายน้อยเข้ามาภายในห้องก่อนเดินมาหยุดอยู่บนเบื้องพระพักต์ของไทเฮา เอ่ยทูลอย่างยินดี “หม่อมฉันมีเรื่องน่ายินดีมาทูลต่อไทเฮาเพคะ หลังจากที่องค์ชายน้อยฟื้นขึ้นมาก็ดื่มน้ำนมได้มากขึ้นนัก ดูแล้วอีกไม่นานต้องกลายเป็นองค์ชายน้อยตัวอ้วนพีอย่างแน่นอนเพคะ!” ไทเฮาทรงสรวลขึ้นมาเสียงดังกังวาล “ดี อ้วนพีก็ดี มือเท้าเล็กๆนี่ขุนให้กลายเป็นรากบัวอวบอ้วนหน่อยจะได้ทำให้ครอบครัวมีความสุขมากยิ่งขึ้น ให้รางวัล จงเจิ้ง รับคำสั่งจากข้าทุกๆคนในอารามแห่งนี้จะได้รับเงินคนละสองตำลึง!” จงเจิ้งรับคำสั่งด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม รวมถึงใบหน้ายินดีที่ฉายชัดไปทั่วทุกชีวิตในที่แห่งนี้ ในใจของพระชายาเจิ้นหยวนราวกับยกภูเขาออกจากอก ยามนี้อาการของอานเหยียนก็ดีขึ้นเรื่อยๆในใจก็มีแต่ความปลื้มปิติก่อนจะแย้มยิ้มเอ่ยทูลอย่างทีเล่นทีจริง “เสด็จยายเพคะ อ้วนเกิดก็ไปไม่ดี พวกเราควรคิดถึงท้องพระคลังของวังก่อนเป็นสิ่งแรกถึงจะดีเกรงว่าเขาจะกินจนอาหารเกลี้ยงคลังเสบียงไปเสียก่อน!” ทุกคนต่างลอบยิ้ม องค์ไทเฮาก็ยิ้มแย้มแกล้งตรัสออกมาอย่างเข้มงวด “เขาอยากกินอะไรข้าก็ให้เขากิน คลังเสบียงมากมายเพียงนี้จะกินหมดได้อย่างไร ต่อให้กินหมดก็ยิ่งดี ร่างกายต้องแข็งแรงจึงจะกินได้มากเพียงนั้น หลายวันมานี้เขาแทบจะดื่มนมไม่ได้ทำให้ข้าใจหายใจคว่ำไปหมด!” ทุกคนในที่นี้ต่างหวนคิดไปถึงเรื่องราวในหลายวันมานี้ช่างพาให้ผู้คนอดสั่นขวัญแขวนเสียจริงแต่เมื่อมันผ่านมาแล้วก็อดดีใจไม่ได้ นึกถึงความดีความชอบที่ชูเซี่ยได้ทำไว้ต่างก็รู้สึกสงสารและขอบคุณในตัวหญิงสาวผู้นี้ยิ่งนัก ทว่าจู่ๆหยงเฟยก็เดินมาคุกเข่าตรงหน้าพระพักต์ไทเฮา ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างละล่ำละลัก “หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ!” ยากนักที่จะไทเฮาจะดีพระทัยถึงเพียงนี้ เมื่อทรงทอดพระเนตรเห็นว่านางเอ่ยออกมาเช่นนั้นก็ขมวดพระขนงเล็กน้อย “จู่ๆเจ้าจะมาคุกเข่าทำไมกัน ทำความผิดอะไรหรือ ข้าไม่อยากได้ยินเรื่องไม่ดีในเวลาเช่นนี้หรอกนะ!” หยงเฟยน้ำตาเอ่อคลอ “เมื่อวานหม่อมฉันเสียใจจนไม่ทันยั้งคิดผิดชอบชั่วดีเอ่ยปากด่าลั่วยีไปเสียหลายคำ ดุด่านางถึงเพียงนั้นแต่นางไม่เพียงไม่เก็บมันมาคิดใส่ใจยังเดินตรงมายังอานเหยียนทั้งยังพยายามทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลืออานเหยียน หากไม่ได้นางช่วยเหลือไว้หม่อมฉันเกรงว่าอานเหยียนก็คง...” เรื่องที่หยงเฟยดุด่าชูเซี่ยฝ่าบาทและฮองเฮาก็ทรงทราบดีแต่จงใจที่จะปิดบังไม่ให้ไทเฮาทรงทราบจึงไม่ได้ทูลบอก เมื่อไทเฮาทราบเรื่องทุกอย่างก็ตรัสตำหนิหยางเฟยเสียยืดยาว “ข้าจะพูดอะไรกับเจ้าดีนะ เพียงแค่โมโหมากหน่อยก็สามารถเอ่ยวาจาผรุสวาทต่อผู้มีพระคุณของสะใภ้เจ้าและหลานชายของเจ้าได้หรือ อาการป่วยของอานเหยียนผู้ที่วินิจฉัยได้ถูกต้องเป็นคนแรกก็คือลั่วยีทั้งนางยังตั้งหน้าตั้งตารักษาอานเหยียนอย่างสุดความสามารถแม้แต่ข้ายังรู้สึกซาบซึ้งในตัวนางยิ่งนัก ทว่าเจ้ากลับดุด่าว่ากล่าวนางอย่างหยาบคายไร้เหตุผลหากกลับกันเป็นผู้อื่นถูกเจ้าด่าเช่นนี้แม้ว่ามีวิธีรักษาเขาก็คงไม่ยอมรักษาให้แน่ ข้านึกว่าตลอดว่าเจ้าเป็นสตรีที่เฉลียวฉลาดและมีเมตตาคงไม่มีวันทำเรื่องไร้เหตุผลพรรคนี้แต่เจ้าก็ทำมันออกมา เจ้ามาขอโทษกับข้าก็ไม่มีประโยชน์ หลังจากลั่วยีฟื้นขึ้นมาเจ้าก็จงไปกล่าวขอโทษต่อนางเถิด นางเองก็คงไม่โกรธเคืองอะไรเจ้าหรอกอีกทั้งยามนี้นางก็เป็นถึงแม่บุญธรรมของอานเหยียนแล้ว เจ้า อวิ่นกังและเย่เอ๋อก็ล้วนเป็นผู้สนิทชิดเชื้อต่อกันแล้วต้องทำดีต่อกันให้มากขึ้น วันนี้เป็นวันดีข้าจะไม่สั่งลงโทษเจ้าแต่หากว่าวันหน้าเจ้ารังแกหลานสะใภ้ผู้นี้ของข้า ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไว้อย่างแน่นอน” หยงเฟยลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก นางหันหน้าไปทางชูเซี่ยก่อนจะมองไปรอบๆอย่างรู้สึกอับอายและรู้สึกผิด หลังจากที่หลี่เฉินเย่นได้ฟังคำสารภาพของหยงเฟยสีหน้าก็ผ่อนคลายลงมาก เดิมทีเขาต้องการจะทวงความยุติธรรมให้แก่นาง แต่เมื่อเห็นว่าหยงเฟยเองก็รับรู้ว่าตนเองมีความผิดติดตัวถึงกับยอมสารภาพผิดเบื้องพระพักต์ไทเฮาและฮ่องเต้จิตใจของเขาก็สงบลงไม่คิดจะแค้นเคืองอะไรอีกฝ่ายอีกต่อไป ทว่าภายในใจของเขาก็รู้สึกกรุ่นโกรธมองไปยังชูเซี่ยที่หลับสนิทบนเตียงบรรทมคิดในใจ ‘รอให้เจ้าฟื้นขึ้นมาก่อนเถิด เปิ่นหวางจะไม่ยอมปล่อยเจ้าไปแน่ ให้เจ้ารักษาตนให้หายดีเสียก่อนเถิด เอาแต่บอกว่าตนเองไม่เป็นไรอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน วิ่งวุ่นไปทั่วไม่รู้จักรักตนเองเสียบ้าง’ ชูเซี่ยถูกส่งตัวกลับมารักษาตัวที่ตำหนักจาวหยางในวันที่สอง ชูเซี่ยจึงจะค่อยๆฟื้นขึ้นมาในที่สุด สิ่งที่เข้าสู่ครรลองสายตาเป็นสิ่งแรกคือใบหน้าคมคายของหลี่เฉินเย่นที่มองตรงมาที่นางอย่างห่วงใย นางก็ชะงักไปเล็กน้อยก่อนหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวาน นางยกมือบางขึ้นไปสัมผัสเข้ากับผ้าพันแผลบนศีรษะก็เอ่ยร้องออกมาอย่างหงุดหงิดใจ “ทำอย่างไรดี มันต้องกลายเป็นรอยแผลเป็นแน่เลย!” เมื่อหลี่เฉินเย่นเห็นว่านางฟื้นขึ้นมาแล้วก็ราวกับยกภูเขาออกจากอก ทว่าเมื่อได้ยินวาจาที่นางเอ่ยออกมาก็เอ่ยออกมาเสียงเย็น “แค่แผลเป็นจะเป็นอะไรมากมายกัน ไม่ตายไปเลยเล่าจึงจะดี” ชูเซี่ยเห็นว่าเขาโมโหก็ถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนอกอ่อนใจเอ่ยออดอ้อนเขา “ท่านทำท่าทางโมโหเช่นนี้ หน้าตาดูไม่หล่อเหล่าเช่นเคยเลยนะเจ้าคะ” “ยามที่เจ้าไม่ฟังคำที่ข้าเอ่ยเจ้าก็ทำให้ข้ามีน้ำโหเช่นกัน หลิวหยิงหลงเปิ่นหวางบอกกับเจ้าไว้เลยว่าครั้งนี้หากแผลทั้งหมดของเจ้ายังหายไม่สนิทอย่าหวังจะไปที่ใดได้อีกแม้แต่ครึ่งก้าว” ครั้งนี้ชายหนุ่มเอ่ยดุนางเสียงเหี้ยมเกรียม “เผด็จการ!” ชูเซี่ยต่อว่าเขา หลี่เฉินเย่นส่งเสียงฮึออกมา “ลองลงมาจากเตียงดูเถิด ดูว่าเปิ่นหวางจะกล้าตีขาสุนัขของเจ้าหรือไม่” “ข้าเป็นคนไม่ใช่สุนัขนะเจ้าคะ!” นางเถียงกลับอย่างดื้อรั้น หลี่เฉินเย่นปรายตามองนาง “เจ้าเหมือนกับเสี่ยวหู่ของเสด็จแม่ไม่มีผิดราวกับพี่น้องกันเสียอย่างนั้น ช่างดีแต่หาเรื่องป่วนผู้คนเสียเหลือเกิน” ชูเซี่ยถลึงตาใส่เขา พี่น้องหรือ เสี่ยวหู่เป็นสุนัขสีขาวตัวอ้วนกลมท่าทางหยิ่งผยองไม่ใช่หรือไร เสี่ยวจี๋ที่ยืนอยู่ข้างๆหลุดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นดวงตาประกายวาบกึ่งโมโหกึ่งเสียใจของชูเซี่ยก็เอ่ยปลอบโยนทันที “พระชายาเพคะ ไม่ต้องคิดมากหรอกเพคะเสี่ยวหู่น่ารักยิ่งนัก!” หลี่เฉินเย่นเหลือบตามองเสี่ยวจี๋แวบหนึ่งก่อนเอ่ย “ลูกสุกรที่เพิ่งคลอดก็น่ารักยิ่งนัก นายหญิงของเจ้าก็คงน่ารักเช่นนั้นสินะ” เสี่ยวจี๋กลั้นยิ้มจนหน้าแดงก่ำ จะว่าไปยามนี้พระชายาของนางก็นับว่าคล้ายลูกสุกรแรกเกิดจริงๆ ทั้งขาวๆและดูนุ่มนิ่มไปหมด ชูเซี่ยอับอายยกผ้าห่มผืนหนามาคลุมศีรษะของตนก่อนจะเอ่ยเสียงอู้อี้ “หยอกล้อเข้าไปเถิด ใครบ้างไม่เคยถูกผู้อื่นหยอกล้อกัน” 
已经是最新一章了
加载中