ตอนที่ 62 สบตา
ตนที่ 62 สบตา
ชูเซี่ยตวัดสายขาขึ้นมามองก็สบเข้ากับสายพระเนตรที่ล้ำลึกของฝ่าบาทที่ทอดพระเนตรมาที่นาง ทั้งสายตาและน้ำเสียงทำให้ชูเซี่ยรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ดูท่าแล้วคำว่ารับผิดชอบที่พระองค์ตรัสกับนางคงไม่ได้มีความหมายตามตัวสินะ
แต่ในเมื่อพระองค์ไม่ได้ตรัสออกมาตรงๆนางเองก็ไม่รู้ว่าควรเอ่ยอะไรออกไปดีหรือไม่ “หม่อมฉันจะต้องทำสุดความสามารถแน่นอนเพคะ”
เนื่องจากฮองเฮาทรงกังวลพระทัยในตัวบุตรชายอย่างยิ่งจึงไม่ได้สนใจในตัวชูเซี่ยมากมายนัก แต่เมื่อได้ยินบทสนทนาระหว่างนางและฝ่าบาท พระองค์ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้จึงหันพระพักตร์มาตรัสกับชูเซี่ย “หากเจ้าสามารถรักษาท่านอ๋องให้หายดีได้ เปิ่นกงจะให้รางวัลเจ้าอย่างงาม”
“ขอบพระทัยเพคะฮองเฮา!” ชูเซี่ยก้มลงคุกเข่าลงกับพื้น
หลังจากที่ฮ่องเต้และฮองเฮาเสด็จกลับไปแล้ว จูเก๋อหมิงก็เป็นผู้ลงมือปรุงยาด้วยตัวเอง เรื่องทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลี่เฉินเย่นเขาจำเป็นต้องระมัดระวังและรอบคอบอยู่เสมอ
ภายในห้องยามนี้จึงเหลือเพียงโหร่วเฟยและชูเซี่ยเท่านั้น นอกห้องก็มีนางกำนัลและบ่าวรับใช้คอยฟังคำสั่งอยู่
โหร่วเฟยจับมือของหลี่เฉินเย่นไว้ด้วยสีหน้าโง่งม หญิงสาวร่างบางขมวดคิ้วใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวลใจ นางหันกลับมามองชูเซี่ยด้วยแววตาคาดหวังก่อนเอ่ยถาม “ท่านอ๋องจะต้องหายดีแน่ใช่หรือไม่”
ชูเซี่ยที่นั่งเหม่อลอยอยู่ที่โต๊ะแปดเซียน หญิงสาวนั่งจิบน้ำชาด้วยจิตใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนักจนกระทั่งได้ยินคำถามของโหร่วเฟยก็เงยหน้าขึ้นมามอง “จะต้องหายดีแน่นอนเจ้าค่ะ!”
โหร่วเฟยส่งเสียง ‘อืม’ ออกมา สีหน้าตึงเครียดของนางคลายกังวลลงมาก ก่อนเอ่ยออกมาด้วยเสียงเบาแทบจะกระซิบ “ข้าย่อมรู้อยู่แล้วว่าเขาจะต้องหายดีในไม่ช้า ตลอดสามปีมานี้ เขาถูกทำร้ายจนเกิดบาดแผลมากมายนับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็รอดปลอดภัยมาได้เสียทุกครั้ง ข้าเชื่อว่าพี่สาวจะต้องคอยคุ้มครองเขาอยู่ตลอดเวลาเป็นแน่”
หัวใจของชูเซี่ยรู้สึกสั่นไหว แต่ไรมาโหร่วเฟยตั้งตนเป็นศัตรูกับนาง เป็นศัตรูกับหลิวหยิงหลงมาโดยตลอด เหตุใดเมื่อฟังนางกล่าวมาเช่นนี้ราวกับว่าอีกฝ่ายไม่ได้ผูกใจอาฆาตกลับนางอีกแล้วเล่า ทั้งยังเรียกหยางลั่งยีว่าพี่สาวอีกด้วย
เมื่อเห็นว่าชูเซี่ยมีสีหน้าสงสัยโหร่วเฟยจึงอธิบายเพิ่มเติม “พี่สาวของข้าก็คือพระชายาหนิงอานที่เพิ่งเสียชีวิตไปนั่นเอง”
ชูเซี่ยร้อง ‘อ่อ’ ออกมา นางไม่เข้าใจในท่าทีของหลิวมี่เหอแม้แต่น้อย แม้แต่ใบหน้าของนางยามนี้ยังเผลอแสดงสีหน้าโง่งมออกมา
โหร่วเฟยไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีกเลย หญิงสาวเพียงจ้องมองใบหน้าขาวซีดไร้สีเลือดของหลี่เฉินเย่นอยู่เช่นนั้น
ชูเซี่ยรู้สึกไม่สบายใจนัก แต่ที่นางเป็นห่วงไม่ใช่เรื่องอาการของหลี่เฉินเย่น บาดแผลของเขาแม้จะลึกแต่ก็ไม่ได้ทำอันตรายต่ออวัยวะภายในนับว่าโชคดีมาก กอปรกับกำลังภายในที่สูงส่งและร่างกายที่แข็งแรงของเขา ไม่ช้าก็เร็วคงฟื้นขึ้นมา
ที่นางรู้สึกไม่สบายใจก็เพราะทุกอย่างดูไม่เป็นเช่นที่นางคิดเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าทุกคนรู้ว่าหญิงสาวที่มีนามว่าชูเซี่ยมีตัวตนอยู่จริงๆ แต่เป็นนางที่แทบจะไม่รู้เรื่องราวอะไรเลยด้วยซ้ำ
ชูเซี่ยทบทวนความคิดอย่างตนเองอยู่สักพักจนในที่สุดนางก็เอ่ยถามออกมา “จริงสิเจ้าค่ะ พระชายาที่เสียชีวิตไปแล้วเป็นคนเช่นไรหรือเจ้าคะ ใครใครต่างก็กล่าวว่าท่านอ๋องเสียใจกับการจากไปของพระชายายิ่งนักไม่ทราบว่านางเป็นหญิงสาวเช่นใดกันเจ้าคะ”
โหร่วเฟยถอนหายใจออกมา สีหน้าของนางแลดูเศร้าหมองและสูญเสีย “นางหรือ นับว่าไม่ใช่หญิงสาวที่แสนดีเพียบพร้อมอะไรนักหรอก ทว่าเพียงเพราะต้องการช่วยชีวิตท่านอ๋องถึงกับยอมเสียสละชีวิตของตนเอง ข้าคิดมาตลอดว่าข้ารักท่านอ๋องมากกว่านาง แต่ทุกค่ำคืนข้าได้แต่เฝ้าถามตัวเองว่าหากให้ข้าเป็นผู้เสี่ยงชีวิตช่วยท่านอ๋องข้าจะยอมทำหรือไม่ คำตอบที่ได้ก็คือข้าไม่กล้าเอาชีวิตของตนเองไปแลกอย่างแน่นอน ตั้งแต่เล็กจนโตข้าเคียดแค้นนางมาโดยตลอด นางไม่ใช่หญิงสาวที่ดีแม้แต่น้อยแต่ทุกคนก็รักใครในตัวนาง ท่านพ่อท่านแม่รักนาง ฮองเฮาก็ทรงเอ็นดูนาง นางได้คู่หมั้นหมายเป็นถึงท่านอ๋อง ไม่มีผู้ใดรู้หรอกว่าข้ารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเพียงใด ข้าเองก็รักใคร่ในตัวท่านอ๋องเช่นกัน แล้วเหตุใดทุกสิ่งที่ดีงามต้องตกเป็นของนางไปเสียหมด ข้าเกลียดนางมาโดยตลอด ข้าพยายามอย่างมากเพื่อจะได้ใกล้ชิดท่านอ๋อง จนในที่สุดท่านอ๋องก็รับปากข้าว่าจะรับข้าเป็นนางสนมของเขา ยามที่ข้าได้แต่งเข้าจวนก็เกิดเรื่องของฉ่ายเวินเข้าเสียก่อน ยามนั้นท่านอ๋องโกรธนางยิ่งนัก ข้าคิดว่าในที่สุดแล้วท่านอ๋องก็จะตกเป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียวแล้วเสียอีก แต่ทว่าท้ายที่สุดข้าก็สู้คนที่ตายไปแล้วสักนิดเดียว แม้นางจะตายไปแล้วแต่ข้าก็ไม่มีสิทธิไปแทนที่นางในใจท่านอ๋องได้อยู่ดี”
ชูเซี่ยถามเสียงเบา “แล้วตอนนี้ท่านยังเกลียดนางอยู่หรือไม่”
สายตาของโหร่วเฟยเหม่อมองออกไปไกล หญิงสาวหายใจเข้าลึกๆพลางส่ายหน้า “ข้าเข้าใจว่าข้าเกลียดนางมาโดยตลอด แต่ทว่าสามปีมานี้ข้านั่งคิดทบทวนเรื่องราวในวัยเด็กของข้าและนางก็ไม่คิดว่านางเป็นศตรูของข้าอีกต่อไปแล้วล่ะ ความจริงแล้วนางเองก็ดีต่อข้ามากมีอะไรดีๆก็มักจะแบ่งปันให้ข้าตลอด จนกระทั่งวันที่นางตายจากข้าไปข้าถึงได้รู้ความรู้สึกที่แท้จริงของตนเอง ข้าเคยเกลียดจนอยากให้นางตายๆไปเสีย แต่เมื่อนางตายไปจริงๆเหตุใดข้าจึงได้รู้สึกเจ็บปวดขนาดนี้กันนะ ท่านอ๋องกล่าวว่าชั่วชีวิตนี้ไม่ขอแต่งกับหญิงใดอีกแล้ว แม้ว่าข้าจะเป็นเพียงนางสนมในจวนอ๋อง แต่ทว่าชีวิตก็สุขสบายไม่ต่างกับเหล่าหญิงชั้นสูงในวังแม้แต่น้อย แต่ในใจของข้ากลับไม่รู้สึกมีความสุขเลยสักนิด”
ชูเซี่ยรู้สึกสงสารอีกฝ่ายขึ้นมา ความทรงจำของหลิวหยิงหลงนางยังพอจำได้ ในส่วนลึกของจิตใจยังคงจำเรื่องราวในวัยเด็กของสองพี่น้องคู่นี้ได้อย่างลึกซึ้ง และความทรงจำเหล่านั้นทำให้ชูเซี่ยบังเกิดความรู้สึกเมตตาสงสารหลิวมี่เหอขึ้นมา “ถ้าหากพี่สาวท่านรู้ว่าท่านคิดกับนางเช่นนี้ นางจะต้องดีใจมากแน่นอนเจ้าค่ะ!”
โหร่วเฟยอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา “ข้าก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น ข้ายังติดค้างคำขอโทษนางอยู่ ถ้าหากว่าไม่ใช่ข้าไปพูดเรื่องเช่นนั้นต่อหน้าท่านอ๋อง นางคงไม่...” นางรีบหยุดคำพูดไว้แค่นั้นราวกับรู้ว่าตัวเองเกือบหลุดคำพูดที่ไม่สมควรออกไปอีกแล้ว ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าโศกเสียใจ
ชูเซี่ยรู้ว่าเมื่อครู่นางจะเอ่ยอะไรออกมา มี่เหอคงพูดจาใส่ร้ายนางต่อหน้าหลี่เฉินเย่น แล้วหลี่เฉินเย่นก็เชื่อเสียด้วย บางทีถ้าหากว่าวันนั้นเขาไม่เตะนางจนไปกระแทกกำแพง ร่างเดิมนางก็คงไม่ถึงฆาตเร็วถึงเพียงนั้น
ฟังจากคำพูดของโหร่วเฟยก็ทำให้ชูเซี่ยรู้สึกเบาใจลงหลายส่วน อย่างน้อยก็ดูเหมือนว่าดหร่วเฟยไม่ได้รู้เรื่องราวของหญิงสาวที่ชื่อชูเซี่ยเลยแม้แต่น้อย หลิวมี่เหอยังนึกมาตลอดว่าพระชายาที่เสียไปนั้นคือหลิวหยิงหลงพี่สาวของนาง
หลี่เฉินเย่นรักใคร่โหร่วเฟยถึงเพียงนี้ หากเขารู้ตัวตนที่แท้จริงของนางมีหรือจะไม่บอกให้หลิวมี่เหอฟัง เพราะอย่างน้อยหลิวหยิงหลงก็เป็นพี่สาวของนาง นางซึ่งเป็นน้องสาวก็มีสมควรที่จะรู้เรื่องนี้กระมัง
ชูเซี่ยห่างหายไปสามปีมีหรือจะรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างสามปีมานี้
จูเก๋อหมิงเป็นผู้ที่ยกยาเข้ามาด้วยตนเอง ด้านหลังของเขามีองครักษ์คอยอารักขาอยู่หลายนาย แต่ละนายล้วนแต่เป็นราชองครักษ์ส่วนตัวของหลี่เฉินเย่นด้วยกันทั้งสิ้น หลี่เฉินเย่นกลับมาเมืองหลวงครั้งนี้ก็เพราะว่าเขาเพิ่งได้ชัยชนะในสงคราม ฝ่าบาทเพิ่งจะมอบนายกองทหารม้าให้เขากองทัพหนึ่ง ทั้งยังมีฝูงนกอินทรีย์อีกฝูงไว้ใช้ประโยชน์ในกองทัพ เพราะชัยชนะที่ได้มาอีกทั้งรางวัลจากองค์จักรพรรดิ์จึงทำให้ทหารและเหล่าองครักษ์คลายกังวลจนเผลอหละหลวมในด้านความปลอดภัย แต่เมื่อเกิดเหตุการลอบสังหารจึงทำให้ยามนี้พวกเขาเริ่มกลับมาระมัดระวังรอบคอมมากขึ้น ทั้งยังมารวมตัวกันเฝ้าระวังอยู่ที่จวนอ๋องแห่งนี้กันหมด
ชูเซี่ยเห็นว่าทุกอย่างดูเคร่งเครียดไปหมดจึงเอ่ยถามจูเก๋อหมิง “ยังจับตัวนักฆ่าไม่ได้อีกหรือเจ้าคะ”
จูเก๋อหมิงเอ่ยอย่างหนักแน่น “ยังเลย แต่คาดว่าหน้าจะเป็นคนจากแคว้นศัตรูทางตอนเหนือ ยามนี้เรายังไม่ทราบจำนวนของพวกมันอย่างแน่ชัด แต่แม้ทัพเฉินก็ได้ระดมกำลังพลทหารเฝ้ายามและคอยจับตาดูจวนอ๋องอย่างใกล้ชิดแล้วคาดว่าพวกกลุ่มนักฆ่าคงไม่กล้าย้อนกลับมาอีกแน่”
“ระมักระวังหน่อยก็ดีนะเจ้าคะ พวกเขาได้โอกาสแล้วครั้งหนึ่งย่อมไม่ยอมรามือง่ายๆแน่ เกรงว่าพวกมันอาจจะกำลังหาทางลอบเข้าจวนอ๋องอยู่ก็เป็นได้นะเจ้าคะ” ชูเซี่ยกล่าว
นายทัพวัยกลางคนที่ยืนอยู่ด้านหลังได้ยินคำกล่าวเตือนของชูเซี่ยก็ถามจูเก๋อหมิงขึ้นอย่างสงสัย “แม่นางผู้นี้คือ?”
“นางคือท่านหมอในโรงหมอของข้าเอง ครั้งนี้ช่วยท่านอ๋องไว้ได้ทันท่วงทีก็เป็นฝีมือของนาง แม่ทัพเฉินโปรดวางใจ”
แม่ทัพเฉินหาได้ลดความหวาดระแวงลงแม้แต่น้อย แม่ทัพวัยกลางคนเอ่ยถามชูเซี่ย “แม่นางเป็นคนที่ไหนหรือ” เมื่อเอ่ยถามไป ยังไม่ทันที่ชูเซี่ยจะเอ่ยปากตอบ ชายวันกลางคนก็หันไปพูดคุยกับจูเก๋อหมิง “ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อใจในตัวท่านหมอจูเก๋อ แต่ทว่าหลายปีมานี้มีหน่วยสอดแนมจากแค้วนศัตรูทางเหนือลอบเข้ามาในเมืองหลวงมากมาย ดังนั้นระวังไว้เสียหน่อยจะดีกว่า”
ชูเซี่ยเข้าใจในความหมายที่แม่ทัพเฉินกล่าวกับนางทุกคำ “ข้าเป็นคนมณฑลกวางตุ้งเจ้าค่ะ เพิ่งเข้ามาพำนักในเมืองหลวงได้ไม่นานนัก”
แม่ทัพเฉินพยักหน้า “ที่แท้แม่นางก็มาจากมณฑลกวางตั้งนี่เอง จริงสิ ได้ข่าวมาว่าระยะนี้มณฑลกวางตั้งเกิดข่าวใหญ่ขึ้นมา เป็นข่าวลูกสะใภ้ตระกูลใหญ่สมคบคิดกับชู้ของตนปล้นฆ่าครอบครัวของสามี จนถึงตอนนี้ก็ยังตามจับไม่ได้ เป็นข่าวจริงหรือไม่”
ชูเซี่ยส่ายศีรษะ “ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน”
แม่ทัพเฉินแย้มยิ้มออกมา “เรื่องเพิ่งเกิดเมื่อไม่กี่วันก่อน แม่นางไม่ได้ยินก็คงไม่แปลกหรอก จริงสิ ข้ายังได้ยินอีกว่าหน่อไม้จากมณฑลกวางตั้งมีรสชาติอร่อยล้ำ ไม่ทราบว่าแม่นางเคยกินมาก่อนหรือไม่”
ชูเซี่ยยิ้มสุภาพเอ่ยอย่างนอบน้อม “ไม่กล้าปิดบังท่านแม่ทัพ จริงๆแล้วข้าก็เป็นนักชิมคนหนึ่งเช่นกัน ทุกๆปีในช่วงเดือนเจ็ดเดือนแปดหน่อไม้บนเขาจะเริ่มขึ้น ข้าแทบจะได้กินมันทุกวันเลยเจ้าค่ะ ไม่ว่าจะนำมาผัดหรือนำมาต้มน้ำแกง นำมาแตกแห้งหรือเผาก็จะได้รสชาติที่อร่อยล้ำไปอีกแบบเลยเจ้าค่ะ”
สีหน้าของแม่ทัพยังคงยิ้มแย้ม “ฟังดูไม่เลวเลยทีเดียว เมื่อก่อนนั้นข้าเคยแวะผ่านมณฑลกวางตุ้งเคยมีโอกาสได้ลิ้มลองผัดหน่อไม้มาก่อน จนกระทั่งตอนนี้ข้าก็ยังจำรสชาติมันได้ขึ้นใจ นานเพียงใดก็ยากจะลืม”
ชูเซี่ยรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังทดสอบตนเองอยู่ แต่สามปีมานี้นางอาศัยอยู่ที่มณฑลกวางตั้งมาจริงๆเลยไม่ได้กลัวการทดสอบของฝ่ายเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าของนางยังคงประดับไปด้วยรอยยิ้ม “ถ้าหากท่านแม่ทัพมีโอกาสไปอีกให้ไปที่โรงเตี๊ยวที่ตั้งติดกับทะเลสาปนะเจ้าคะ เถ้าแก่เนี้ยที่นั่นทำผัดหน่อไม้ได้อร่อยล้ำเลิศจริง อร่อยยิ่งกว่าตามร้านอาหารราคาแพงมากนัก หากท่านไปแล้วสามารถบอกกับนางว่าเป็นสหายกับข้า เถ้าแก่เนี้ยนางก็จะนำสุราหอมหมื่นลี้มารับรองท่านอีกไหหนึ่งด้วย
นะเจ้าคะ”
แม่ทัพเฉินยิ้มออกมาจนใบหน้าคล้ำแดดย่นเป็นริ้วๆ “ดี แน่นอน มีโอกาสข้าต้องไปแน่!”
แล้วบทสนทนาก็จบลงแต่เพียงเท่านี้ แม่ทัพเฉินยอมถอยออกไปในที่สุด
จูเก๋อหมิงหันมากล่าวกับชูเซี่ยว่า “เจ้าวางใจเถิด เขาก็แค่ขี้ระแวงเกินไปหน่อยก็เท่านั้น”
ชูเซี่ยตอบกลับ “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าเข้าใจ”
โหร่วเฟยเอื้อมมือไปหยิบถ้วยยามาไว้ในมือ “ข้าจะป้อนยาท่านอ๋องเอง”
มือหนึ่งของนางถือถ้วยยาไว้ อีกมือหนึ่งตั้งใจจะพยุงร่างของหลี่เฉินเย่นขึ้นทว่าชูเซี่ยกลับรีบร้อนห้ามนางเสียก่อน “อย่าแตะต้องตัวเขา ร่างกายของเขาได้รับบาดแผลสาหัสจะขยับตัวเขาส่งเดชไม่ได้”
โหร่วเฟยมีสีหน้าลำบากใจ “แต่ว่าเช่นนี้ก็ไม่อาจป้อนยาเขาได้น่ะสิ”
ชูเซี่ยเดินมานั่งข้างกายของหลี่เฉินเย่น ก่อนจะค่อยๆเอื้อมมือไปประคองศีรษะของชายหนุ่มขึ้นมาวางบนตักของตนเองอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็ยื่นมือออกไป “ข้าจัดการเอง ท่านไม่ใช่หมอ หากไม่ระวังอาจทำให้อาการเขาแย่กว่าเดิมได้”
โหร่วเฟยรับคำไม่ได้คิดอะไรมากความ
ด้วยระยะที่ใกล้กันมากทำให้นางเห็นว่าที่ลำคอของเขาด้านซ้ายมีรอยแผลเป็นอยู่ เป็นแผลที่น่าจะลึกเอาการอีกทั้งยังน่าจะเกิดได้เพียงไม่นานนัก บาดแผลนี้อยู่ใกล้กลับเส้นเลือดใหญ่ยิ่งนัก หากว่าตอนนั้นรักษาไม่ทันการเขาก็มีโอกาสตายได้จริงๆ
คิดได้เช่นนั้นหัวใจของชูเซี่ยก็อกสั่นขวัญแขวนแม้กระทั่งมือทั้งสองข้างของนางก็สั่นขึ้นมา
ดวงตาของเขายังคงปิดสนิท สีผิวของเขาดูคล้ำกว่าเมื่อก่อนมากนัก แต่นั่นกลับส่งให้คิ้วและใบหน้าของชายหนุ่มดูคมเข้มขึ้นมากกว่าเดิม ไล่ลงมาก็เป็นจมูกเป็นสัน ริมฝีปากขาวซีดที่เม้มน้อยๆ ดูเหมือนว่าแม้ว่าเขาจะอยู่ในช่วงเวลาที่ไม่ได้สติเช่นนี้ก็ยังไม่ผ่อนคลายลลงแม้แต่น้อย
ชีวิตของเขาซึ่งเป็นอ๋องควรจะผ่านมันอย่างสุขสบายไม่ใช่หรือ
ราวกับถูกเข็มทิ่มลงกลางใจ ดวงตาของนางพร่าเบลอเพราะน้ำตาที่เอ่อออกมา นางพยายามอย่างยิ่งที่จะคบคุมอารมณ์เศร้าเสียใจที่ตีตื้นขึ้นมา มือบางจับคางของเขาไว้อย่างอ่อนโยนก่อนจะค่อยๆง้างปากเขาอย่างเบามือก่อนจะป้อนยาให้ชายหนุ่มทีละคำๆ
โหร่วเฟยที่ยืนอยู่ข้างๆคอยเช็ดยาน้ำสีดำที่ไหลออกมาจากมุมปากของเขาเรื่อยๆทั้งที่น้ำตาก็ไหลไม่หยุด “เขาบาดเจ็บถึงเพียงนี้แต่ข้ากลับทำอะไรไม่ได้สักอย่าง!”
เอ่ยจบนางก็หันมามองชูเซี่ย “พี่จูเก๋อบอกกับข้าว่าเจ้าเป็นแพทย์ที่มีฝีมือสูงส่ง เจ้าจะต้องรักษาเขาหายแน่นอนใช่หรือไม่”
หลิวมี่เหอเอ่ยคำถามเช่นนี้ออกมาหลายครั้งแล้ว ชูเซี่ยตระหนักได้ว่ายามนี้สติของหญิงสาวไม่แน่นอนนัก อีกทั้งสีหน้ายังย่ำแย่มากเช่นกัน คาดว่าเป็นเพราะร่างกายของนางอ่อนแออีกทั้งนางยังดูเจ็บปวดบริเวณหน้าอกยามที่สนทนากัน ชูเซี่ยอดไม่ได้จึงเอ่ยปากเตือน “โหร่วเฟยไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกเจ้าค่ะ ยามนี้ท่านเป็นห่วงร่างกายของตนเองก่อนเถิดนะเจ้าคะ”
โหร่วเฟยไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำใดออกมา นางทำเพียงแค่ค่อยๆเปิดปากของหลี่เฉินเย่นอย่างแผ่วเบาและเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
หลังจากป้อนยาจนหมดถ้วย ชูเซี่ยก็เอื้อมมือไปประคองลำคอของเขาไว้ค่อยๆวางลงบนหมอนช้าๆ ใบหน้าของนางโน้มลงต่ำ มือไม้ก็เย็นเฉียบ ทว่าจู่ๆดวงตาของเขาก็เปิดขึ้นกระทันหัน ดวงตา
คมฉายแววมึนงงก่อนจะค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นกดดันยามที่จ้องมองมาที่นางก่อนจะเปิดปากถามเสียงเครียด “เจ้าเป็นใคร”
ชูเซี่ยรีบถอยออกมาทันที จูเก๋อหมิงเองก็รีบร้อนดึงร่างของหญิงสาวมาหลบอยู่หลังตนเอง “เฉินเย่น นางเป็นท่านหมอ นางทำงานให้กับโรงหมอของข้า”
สตรีที่เป็นหมอมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นเพียงหญิงสาวอายุยี่สิบต้นๆเช่นนี้ หลี่เฉินเย่นรู้สึกเสียหน้าเล็กน้อย ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเย็นชาขึ้น “ในจวนก็มีหมอหลวงอยู่ไม่ใช่หรือ เหตุใดต้องไปรบกวนคนนอก?”
จูเก๋อหมิงเอ่ยขึ้น “หากว่าเจ้าไม่อยากพบเอคนนอกถ้าเช่นนั้นข้าให้นางกลับไปก่อนก็แล้วกัน”
ชูเซี่ยพยายามอย่างยิ่งที่จะกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา นางไม่อาจรู้ได้เลยจริงๆว่าเหตุใดหัวใจ
ของนางถึงได้ยังรู้สึกเจ็บปวดถึงเพียงนี้ได้ แค่คำพูดที่เฉยเมยกับดวงตาที่เย็นชาของเขาก็เพียงพอที่จะทำให้นางทรมานจนแทบจะทนไม่ไหวแล้ว