ตอนที่ 63 โรคระบาดที่รักษาไม่ได้   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 63 โรคระบาดที่รักษาไม่ได้
ต๭นที่ 63 โรคระบาดที่รักษาไม่ได้ เดิมทีนางคิดว่ากว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาได้ก็คงจะวันถัดไป แต่ดูท่าแล้วนางคงจะประเมินความดื้อรั้นและความอดทนของของอีกฝ่ายน้อยเกินไป หญิงสาวค่อยๆยกกล่องยาขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนก่อนย่อกายน้อยๆ “เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวก่อน!” เนื่องด้วยเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเช่นนี้ขึ้นทำให้ทั้งคู่ลืมเสียสนิทว่าเข้าจวนครั้งนี้เพื่อจะมาดูอาการของฉ่ายเวินเพื่อหาวิธีการักษา จูเก๋อหมิงเดินมาส่งชูเซี่ยถึงหน้าประตู “เจ้ากลับไปก่อนเถิด เรื่องราววันนี้อย่าได้เก็บมันมาใส่ใจเลย เขาก็เป็นเช่นนี้มาตลอดนั่นล่ะ” ชูเซี่ยไม่ได้เอ่ยอะไรออกมานางเพียงแต่ฝืนยิ้มออกมา จากนั้นก็หิ้วกล่องยาเดินจากไป ยามนี้ความรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างวางเข้ามาเกาะกุมหัวใจของหญิงสาว ยิ่งมองเงาของตนเองที่ ทอดยาวขึ้นๆเรื่อยๆความเหงาก็ยิ่งทวีมากขึ้น สายลมเย็นที่พัดมาระเรื่อยทำให้ตรงขมับของนางพัดพริ้ว บนศีรษะของนางที่ถูกรวบขึ้นอย่างง่ายๆมีเพียงเครื่องประดับธรรมดาๆอย่างปิ่นหยกที่ดูเรียบแต่ก็งดงามเรียบง่ายส่องแสงสีเขียวเปร่งประกายหยอกล้อกับพระอาทิตย์ที่ทอแสงลงมากระทบ จูเก๋อหมิงพอจะคาดเดาได้ว่ายามนี้นางคงเสียใจอยู่ไม่น้อย เขาเห็นว่าดวงตากลมโตนั่นหม่นแสงลงเพียงใด แม้จะไม่ได้มีน้ำตาไหลออกมาให้เห็นแต่ดูจากแผ่นหลังบอบบางของนางและการก้าวเท้าที่หนักอึ้งนั่นก็เดาไม่ยาก ในตอนนี้ หากบอกว่านางไม่ใช่ชูเซี่ยเขาก็ไม่มีทางเชื่อ ภายในใจลึกๆของเขามีความรู้สึกบางอย่างที่ยากจะอธิบาย เมื่อสามปีก่อนที่ชูเซี่ยตายจากไป เขาถึงเพิ่งจะตระหนักได้ว่าผู้หญิงคนนี้แอบเข้ามายึดครองพื้นที่ในหัวใจของเขาตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่อาจรู้ได้ เมื่อกลับมานั่งอยู่ตรงหน้าหลี่เฉินเย่นอีกครั้ง ท่านหมอหนุ่มก็มีความไม่เป็นธรรมชาติอยู่เล็กน้อย “คนจากแคว้นทางเหนืองั้นหรือ” จูเก๋อหมิงเอ่ยถาม หลี่เฉินเย่นหลับตาลงช้าๆอย่างใช้ความคิดจากนั้นก็เบิกตากว้างขึ้น ดวงตาคมเป็นประกายเย็นเฉียบออกมา “พวกมันแฝงตัวเข้ามาในกองทัพของเปิ่นหวางที่กำลังเดินทางกลับเมืองหลวง คงจะหาโอกาสลงมือมาตลอด แต่ทว่าวันนี้เปิ่นหวางเกิดสะเพร่าปล่อยให้พวกมันมีโอกาสลงมือได้!” การจะแฝงตัวในกองทัพได้นั่นย่อมหมายความว่ามีไส้ศึกอยู่ในกองทัพแน่ จูเก๋อหมิงหันหน้ากลับไปมองแม่ทัพเฉิน “จับตัวหน่วยสอดแนบได้หรือไม่” แม่ทัพเฉินกล่าว “ส่งคนไปตรวจสอบรายละเอียดแล้ว คาดว่าไม่เกินค่ำก็จะหาเบาะแสกลับมาได้” หลี่เฉินเย่นสั่งการลงไป “ต้องหาให้พบให้ได้ นำมันมาลงโทษ!” แม่ทัพเฉินรับคำสั่ง “ท่านอ๋องโปรดวางใจ มันหนีไปไหนไม่รอดแน่” จูเก๋อหมิงขมวดคิ้ว “เหตุใดจึงไม่ระวังถึงเพียงนี้ ปล่อยให้หน่วยสอดแนมแฝงตัวเข้ามาใกล้ก็ยังไม่รู้ตัว” แม่ทัพเฉินรู้สึกละอายใจยิ่งนัก “ต้องโทษข้าที่หลงระเริงกับชัยชนะเสียจนไม่ทันได้ตรวจสอบกองทัพก็เคลื่อนกองทัพกลับเมืองหลวงมาเสียก่อน” “เรื่องนี้จะโทษเจ้าผู้เดียวก็ไม่ได้ พวกมันเกลียดเปิ่นหวางเข้ากระดูกดำ ต่อให้พวกมันแฝงตัวเข้ากองทัพไม่ได้ก็ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อหาทางฆ่าเปิ่นหวางได้อยู่ดี” กล่าวจบท่านอ๋องก็หันกลับมามองจูเก๋อหมิง “หมอหญิงเมื่อครู่ทำงานอยู่ที่โรงหมอของเจ้างั้นหรือ” หัวใจของจูเก๋อหมิงกระตุก เอ่ยถามเสียงแหบพร่า “ใช่แล้ว!” หลี่เฉินเย่นมองดูท่าทางของสหายรัก “เปิ่นหวางไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าโรงหมอของเจ้ามีหมอหญิงที่ยังอายุน้อยถึงเพียงนี้” “นางเพิ่งจะย้ายมาพำนักในเมืองหลวงได้ไม่นานนัก ครั้งนี้ก็เป็นนางที่สามารถห้ามเลือดให้เจ้าได้ทันการณ์ วิชาการแพทย์ของนางสูงส่งนัก” จูเก๋อหมิงพยายามเก็บซ่อนความรู้สึกของตนเองยามที่ต้องเผชิญหน้ากับสายตาสงสัยของหลี่เฉินเย่น หลี่เฉินเย่นมองดูหน้าท่านหมอหนุ่มอย่างใช้ความคิด “น้อยครั้งที่จะได้ยินเจ้ายกย่องวิชาการแพทย์ของผู้ใด สายตาของเจ้ายอมที่จ้องมองนางเมื่อครู่นี่อีก ดูเหมือนว่านางคงไม่ใช่แค่ท่านหมอธรรมดาทั่วไปใช่หรือไม่” จูเก๋อหมิงตะลึง “หมายความว่าอย่างไร” หลี่เฉินเย่นเอื้อมมือมาจับบ่าของสหายไว้ “เจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว สมควรที่จะหาใครสักคนมาอยู่เคียงข้างเสียที หายากนักที่จะมีหญิงสาวเรียนวิชาแพทย์เช่นนี้ เจ้าและนางต่างพูดคุยภาษาเดียวกัน ถ้าเหมาะสมกันจริงก็ไม่ควรจะยื้อเวลาอีกแล้ว เข้าใจหรือไม่” ใบหน้าจูเก๋อหมิงขึ้นสี “พูดจาไร้สาระอะไรของเจ้า ไม่มีเรื่องเช่นนี้หรอก” แม่ทัพเฉินยิ้มก่อนเอ่ยสำทับ “เห็นจะเป็นจริงเช่นท่านอ๋องว่า เมื่อครู่ก็แค่หยอกเย้านางเล่น ไม่ได้เอ่ยคำพูดได้เกินเลยแม้แต่น้อย แต่ท่านหมอจูเก๋อกลับร้อนใจเอาแต่ดึงชายเสื้อของข้าไว้” จูเก๋อหมิงร้องเสียงหลง “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้นสักหน่อย เพียงแต่ข้ามั่นใจว่านางไม่มีทางเป็นคนจากแคว้นศัตรูทางเหนือแน่ นางไม่มีทางเป็นหน่วยสอดแนมได้แน่” ยากนักที่หลี่เฉินเย่นจะยิ้มออกมา “คนที่จูเก๋อหมิงพามาด้วย พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องระแวงสงสัยนางหรอก ไม่จำเป็นต้องสืบค้นประวัติของนางด้วย จูเก๋อเป็นคนละเอียดรอบคอบสายจาเฉียบแหลม ไม่มีคนของหน่วยสอดแนมสามารถรอดพ้นสายตาเขาไปได้หรอก” จูเก๋อหมิงชะงักเล็กน้อย “”แต่ดูเหมือนว่าเมื่อครู่เจ้าจะระแวงสงสัยในตัวนางไม่ใช่หรือ ดวงตาของหลี่เฉินเย่นมืดมน ชายหนุ่มเอ่ยเสียงแหบพร่า “มันไม่เหมือนกัน เปิ่นหวางแค่ไม่ชอบให้มีสตรีเข้าใกล้เกินความจำเป็นก็เท่านั้น” โหร่วเฟยที่นั่งอยู่ข้างกายเขาได้ยินเช่นนั้นถึงกับเงยหน้าขึ้นมาสบสายตาช้าๆก่อนจะรีบหลุบตาลง สีหน้าของนางไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อยราวกับว่านางไม่ได้ยินคำพูดเมื่อครู่นี้ จูเก๋อหมิงเหลือบมองโหร่วเฟยก่อนส่งสายตาปรามสหายของตนเองทั้งยังโบกไม้โบกมือไม่ให้เขาเอ่ยคำพูดเช่นนี้ยามอยู่ต่อหน้าโหร่วเฟย หลี่เฉินเย่นปรายตามองมาที่โหร่วเฟยที่นั่งอยู่ข้างกายก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “ร่างกายของเจ้าไม่แข็งแรง รีบกลับไปพักผ่อนเถิด เปิ่นหวางไม่เป็นไร!” โหร่วเฟยลุกขึ้นอย่างว่าง่ายจากนั้นก็ย่อกายลงเล็กน้อย “ได้!” จากนั้นนางก็หันมากล่าวกับจูเก๋อหมิง “รบกวนพี่จูเก๋อดูแลท่านอ๋องแล้ว” จูเก๋อหมิงเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเห็นอกเห็นใจ “น้องมี่เหอก็ดูแลตัวเองดีด้วย!” โหร่วเฟยยิ้มบาง “ข้าแข็งแรงเจ้าคะ!” กล่าวจบนางก็หันมามองหลี่เฉินเย่นอีกครั้ง “เช่นนั้น ข้าไม่รบกวนเวลักผ่อนของท่านอ๋องแล้ว ข้าขอตัวเจ้าค่ะ!” หลี่เฉินเย่นหันหน้าไปทางอื่นไม่คิดแยแสนางแม้แต่น้อย ริมฝีปากเอ่ยเพียงคำสั้นๆออกไป “อืม!” คล้อยหลังโหร่วเฟย จูเก๋อหมิงก็ลอบถอนหายใจออกมา “เจ้าดีกับนางหน่อยไม่ได้หรืออย่างไรกัน เจ้าเคยทำให้หญิงสาวผิดหวังในตัวเจ้ามาแล้วถึงสองคน เจ้ายังคิดจะทำมันอีกงั้นหรือ” หลี่เฉินเย่นเอ่ยปากพูดขึ้นมา “เปิ่นหวางไม่ดีกับนางตรงไหนกัน ยามนี้นางมีอำนาจดูแลเรื่องทุกอย่างในจวนอ๋อง หรือเรียกได้ว่านางเป็นนายหญิงใหญ่ของที่นี่เสียด้วยซ้ำ” “เจ้าก็รู้ว่าที่นางต้องการไม่ใช่พวกนี้” จูเก๋อหมิงเอ่ยเสียงเรียบ หลี่เฉินเย่นสบตากับสหายของตนด้วยดวงตาเรียบเฉยเช่นกัน “อีกอย่าง เจ้าก็น่าจะรู้ว่าเปิ่นหวางไม่อาจให้นางได้” จูเก๋อหมิงเก็บถ้วยยาที่วางไว้โต๊ะข้างเตียงไปวางที่อื่นก่อนจะเดินกลับมานั่งข้างเตียงอีกครั้ง “แต่เดิมเพราะเจ้าชื่นชอบนางจึงได้แต่งนางเข้าจวนอ๋องมาไม่ใช่หรือไง” ดวงตาคมของหลี่เฉินเย่นเป็นประกายเย็นยะเยือก ชายหนุ่มเอ่ยอย่างไม่แยแส “แต่แล้วเปิ่นหวางก็ได้รู้ว่ามันเป็นเพียงแค่ความชื่นชอบเท่านั้นไม่ใช่ความรัก” “เจ้าจำเพียงแค่นางเคยพูดเรื่องใส่ร้ายป้ายสีชูเซี่ยให้เจ้าฟัง ทำให้เจ้าเข้าใจผิดชูเซี่ยในที่สุด แต่เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าถ้าตอนนั้นเจ้ามีความไว้เนื้อเชื่อใจในตัวชูเซี่ยสักนิดและไม่เชื่อคำพูดของมี่เหอ ข้าแค่ต้องการจะบอกเจ้าว่าเจ้าไม่ควรเห้นนางเป็นที่ระบายความโกรธแค้นจึงจะถูก” จูเก๋อหมิงไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนเองจึงกล่าวออกไปเช่นนั้น ทั้งๆที่เขาก็รู้อยู่แก่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ชอบให้เขาเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ทั้งยังเอ่ยขึ้นมาในขณะที่แม่ทัพเฉินอยู่ภายในห้องอีกด้วย แม่ทัพเฉินเองก็รู้หน้าที่ตนดีจึงล่าถอยออกจากห้องพร้อมทั้งสั่งคนถอยออกไปด้วย สีหน้าของหลี่เฉินเย่นแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา ดวงตาคมปราดมองมาที่จูเก๋อหมิงนิ่งๆก่อนเอ่ยเสียงเย็น “ทำไมหรือ เจ้าสงสารนางหรือ ถ้าหากเจ้าสงสารนางที่นางได้รับความไม่เป็นธรรม เปิ่นหวางก็ยกนางให้เจ้าแล้วกัน!” จูเก๋อหมิงทำสีหน้าขุ่นเคือง “เจ้าคิดว่ามี่เหอเป็นสิ่งของที่คิดจะยกให้ผู้ใดก็ได้งั้นหรือ นางเป็นนางสนมของเจ้า เป็นหญิงสาวที่ร่วมเคียงเรียงหมอนกับเจ้า! ถ้าหากเจ้าใจกว้างถึงเพียงนั้นแล้วล่ะก็ถ้าหากว่าตอนนั้นข้าชอบชูเซี่ย เจ้าจะยอมยกให้ข้าหรือไม่เล่า” ทุกครั้งที่เอ่ยชื่อชูเซี่ยขึ้นมา เขามักจะเปลี่ยนเป็นคนที่ขาดสติไปเสียทุกครั้ง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเขาพยายามอย่างยิ่งที่จะระมัดระวังเรื่องการพูดจากับอีกฝ่ายอยู่เสมอ ทว่าเมื่อครู่ที่เห็นสหายรักของตนทำร้ายจิตใจมี่เหอเช่นนั้น อีกทั้งร่างกายนางก็ยังอ่อนแอถึงเพียงนั้นด้วยแล้ว แต่ทว่าเฉินเย่นก็ยังพูดจาเย็นชาใส่นางอีก นั่นทำให้ความโกรธในใจของเขาก็เพิ่มสูงขึ้นจนทำให้ในที่สุดเขาก็เริ่มมีปากเสียงกับเฉินเย่นเป็นครั้งแรกตั้งแต่คบเป็นสหายกันมา หลี่เฉินเย่นโกรธจัด ดวงตาเปน่งประกายอำมหิต “ดีเหลือเกิน จูเก๋อหมิง ในที่สุดเจ้าก็กล้าพูดความจริงออกมาแล้วสินะ ในใจของเจ้าที่แท้ก็หลงรักนางมาโดยตลอด!” จูเก๋อหมิงยิ้มเย็น “ไม่ผิด ข้ายอมรับว่าข้าชอบนาง ตอนที่นางตายข้าเองก็อดไม่ได้ที่จะโกรธเจ้า แต่ทว่าเมื่อข้าลองคิดทบทวนดูอย่างถี่ถ้วนแล้วก็รู้ว่าต่อให้โทษเจ้าไปก็ไม่มีประโยชน์ หญิงสาวผู้นั้นยอมสละชีวิตตัวเองเพื่อช่วยเจ้า มันเป็นความตั้งใจของนาง แต่หลายปีมานี้เจ้าเอาแต่มองข้ามความรู้สึกของคนที่ห่วงเจ้าที่รักเจ้า เจ้าทำให้คนผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลิวหยิงหลงตายเพราะเจ้า ชูเซี่ยก็มาตายเพราะเจ้า หรือเจ้ายังต้องการให้มี่เหอตายเพราะเจ้าอีกคนเล่า” ใบหน้าของหลี่เฉินเย่นเขียวคล้ำ ริมฝีปากขยับยิ้มเย็น “เจ้ายังตกไปอีกคนหนึ่ง ฉ่ายเวินเองก็ยังนอนไม่ได้สติก็เพราะว่าเปิ่นหวาง ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจะอยู่หรือตาย เปิ่นหวางรู้ว่าเจ้ารักและเอ็นดูฉ่ายเวินมาตลอด มี่เหอเองเจ้าก็ทำดีกับนาง ท้ายที่สุดแม้แต่ชูเซี่ยเจ้าก็ตกหลุมรักนาง ผู้หญิงที่อยู่รอบกายเปิ่นหวางดูเหมือนว่าเจ้าจะรู้สึกดีไปด้วยเสียทุกคน หลายปีมานี้เปิ่นหวางอดคิดไม่ได้จริงๆว่าสายสัมพันธ์ดุจพี่น้องของเราอาจเป็นเพียงแค่การเสแสร้งแสดงออกมา” สีหน้าของจูเก๋อหมิงชะงักงันก่อนจะแย้มรอยยิ้มเย้ยหยันออกมา “ใช่แล้ว ทุกอย่างล้วนเป็นข้าที่เสแสร้งแกล้งทำ เจ้าจะเป็นจะตายเดิมทีก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้า ดีที่สุดเราควรเลิกไปมาหาสู่กันไปเลยยิ่งดี!” กล่าวจบ ท่านหมอหนุ่มก็หุนหันเดินออกไป แม่ทัพเฉินที่ยืนอยู่หน้าประตูเห็นว่าจูเก๋อหมิงเดินออกมาอย่างมีโทสะก็รีบร้อนเดินไปปลอบ “ท่านหมอจูเก๋ออย่าได้โมโหไปเลย ท่านก็รู้ไม่ใช่หรือว่าแค่เอ่ยชื่อพระชายาที่เสียไปแล้วท่านอ๋องจะมีอาการราวกับคนเสียสติเช่นนี้ ท่านก็อย่าได้ถือสาเขาเลย!” จูเก๋อหมิงเหลือบมองแม่ทัพเฉินสามปีมานี้ชายผู้นี้อยู่ข้างกายหลี่เฉินเย่นมาโดยตลอด เรื่องของชูเซี่ยก็คงหลุดออกมาจากปากของหลี่เฉินเย่นตอนที่อีกฝ่ายเมามายแน่ หลักจากที่บันดาลโทสะเมื่อครู่ยามนี้ท่านหมอหนุ่มก็อาการเย็นลงบ้างแล้ว “ข้ารู้ว่าใจของเขาโศกเศร้า ทว่าบางครั้งเขาก็ทำตัวน่าโมโหมากเกินไป” “เขา เขาก็แค่ยังไม่อาจลืมพระชายาที่เสียไปแล้วได้!” แม่ทัพเฉินถอนหายใจ แม่ทัพเฉินเป็นผู้ฝึกยุทธ์ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องความรักชู้สาวเท่าใดนัก งานแต่งงานของเขาก็เป็นผู้ที่บิดามารดาหามาให้ ภรรยาเป็นหญิงสาวที่อยู่ในขนบธรรมเนียมดีงาม คลอดบุตรชายและบุตรสาวให้เขาอย่างละหนึ่ง เรียกได้ว่าชั่วชีวิตนี้เขาสมบูรณ์ครบถ้วนดีแล้ว ทว่าทุกครั้งที่เขาเห็นว่าหลี่เฉินเย่นทุรนทุรายเพราะผู้หญิงคนหนึ่งถึงเพียงนี้ หัวใจของเขาก็เย็นเฉียบขึ้นมา บางครั้งความรักก็เป็นอาวุธที่ทำร้ายคนได้อย่างเหี้ยมโหดที่สุด จู่ๆจูเก๋อหมิงก็รู้สึกผิดขึ้นมา เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าตลอดระยะเวลาสามปีมานี้สหายของเขาผ่านช่วงเวลาโหดร้ายเหล่านั้นมาอย่างยากลำบากเพียงใด หลี่เฉินเย่นกล่าวไม่ผิดนักหรอก เขาเองก็เป็นคนที่เห็นแก่ตัวคนหนึ่ง ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าชูเซี่ยกลับมาแล้วแน่ๆแต่ก็ไม่ยอมบอกเฉินเย่นออกไปตามตรง เข้าไม่ได้ออกจากจวนไปอย่างที่เอ่ยเพราะไม่อาจวางใจในอาการบาดเจ็บของหลี่เฉินเย่นได้ เขาเดินกลับมาที่พำนักชั่วคราวของตนเองที่ตั้งอยู่ในจวนอ๋องแห่งนี้ ท่านหมอหนุ่มยืนอยู่หน้าชั้นวางตำราก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบตำราแพทย์ออกมาเล่มหนึ่ง ในหัวของเขามีความยุ่งเหยิงและความคิดหลายสิ่งหลายอย่างประดังเข้ามา เขากล่าวหาว่าหลี่เฉินเย่นไม่เชื่อใจในตัวชูเซี่ย แล้วตัวเขาเล่า? เขายังจำได้ว่ายามที่ไปรักษาอาการบาดเจ็บที่ขาให้นาง เขายังเอ่ยคำพูดเตือนสตินางเสียหลายคำ ทั้งยังบอกให้นางเลิกใช้มารยาสาไถยเรียกร้องความสนใจเฉินเย่นเสียที ยามนั้นหญิงสาวจะต้องรู้สึกปวดใจมากเป็นแน่ที่ไม่มีผู้ใดยอมเชื่อมั่นในตัวนางสักคน หลังจากที่จูเก๋อหมิงเดินออกจากห้องไป หลี่เฉินเย่นก็ค่อยๆสงบสติอารมณ์ลงมาได้ ดวงตาคมปิดตาลง ชายหนุ่มพยายามอดทนต่อความเจ็บปวดบริเวณบาดแผลที่ค่อยๆทวีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เฝ้าแต่อดทนอให้ความเจ็บมันหายไปเอง หัวใจของเขาก็เช่นกัน ตลอดสามปีที่ผ่านมาทุกครั้งที่นึกถึงนาง ความเจ็บปวดก็จะเข้าจู่โจมหัวใจเขาอย่างไม่ไว้หน้า เจ็บเสียจนไม่สามารถเอ่ยคำพูดใดออกมาได้ แม่ทัพเฉินผลักประตูเข้ามาในห้องก่อนจะเดินเข้ามานั่งข้างเตียง ฟังจากเสียงลมหายใจของหลี่เฉินเย่นแล้วเขาก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้นอนก็รู้ว่าท่านอ๋องก็คงไม่สบายใจเกี่ยวกับคำพูดของตนเมื่อครู่นี้เช่นกัน แม่ทัพวัยกลางคนถอนหายใจออกมาก่อนเอ่ยเสียงเบา “ท่านอ๋องอย่าได้ทะเลาะกับท่านหมอจูเก๋อเลย สามปีมานี้ ยามที่ท่านเกิดเรื่องก็มีเข้าที่เป็นห่วงเป็นใยท่านมากกว่าใคร” หลี่เฉินเย่นค่อยๆลืมตาขึ้นมา ดวงตาของชายหนุ่มว่างเปล่า เสียงที่เอ่ยเบาจนแทบจะกลายเป็นเสียงกระซิบ “สามปีมาแล้ว ทุกค่ำคืนที่เปิ่นหวางนอน เปิ่นหวางเฝ้าหวังว่านางจะมาเข้าฝันข้าสักครั้ง ทว่าพันกว่าราตรีมาแล้วนางก็ยังไม่มาเข้าฝันเปิ่นหวางเสียที นางคนจะเกลียดเปิ่นกวางมากจริงๆ” “ถ้าหากนางเกลียดท่าน นางก็คงไม่เสียสละชีวิตของตนเองเพื่อช่วยท่าน ท่านอ๋อง พระชายาไม่ได้มีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้ว ท่านควรจะเห็นค่าของคนที่อยู่ตรงหน้าท่านมากกว่านี้!” “นึกไม่ถึงว่าผู้ฝึกยุทธเช่นท่านจะกล่าววาจาคมคายเช่นนี้ได้” หลี่เฉินเย่นปรายตามองคนข้างกาย แม่ทัพวัยกลางคนเกาศีรษะของตนเอง เขารู้สึกเขินอายเล็กน้อย “ได้ยินมาว่าปีนี้เกิดโรคระบาดในเมืองชายแดน ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก ข้าได้ยินว่ายามนี้ทางวังหลวงได้ส่งคนไปช่วยบรรเทาภัยพิบัติให้แก่ประชาชนแล้ว” โรคระบาดงั้นหรือ สำหรับหลี่เฉินเย่นแล้ว มันเป็นคำสองคำที่สะกิดบาดแผลในหัวใจของเขาอีกครั้ง เจ็บปวดจนไม่อยากจะหายใจอีกต่อไป ชายหนุ่มปิดเปลือกตาลงช้าๆ ก่อนที่น้ำเสียงแหบพร่าจะดังออกมาจากปากเขา “ครั้งหนึ่งเปิ่นหวางก็เคยประสบภัยโรคระบาดมาเช่นกัน และจนถึงบัดนี้เปิ่นหวางก็ยังไม่สามารถรักษาโรคระบาดนี้ได้เสียที คาดว่าชั่วชีวิตนี้เปิ่นหวางก็คงไม่อาจรักษาหายได้อีกแล้ว”
已经是最新一章了
加载中