ตอนที่ 66 ขอแต่งงานไม่สำเร็จ   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 66 ขอแต่งงานไม่สำเร็จ
ต๭นที่ 66 ขอแต่งงานไม่สำเร็จ เสี่ยวซานจื่อพยุงร่างของหลี่เฉินเย่นเข้ามานั่งในห้อง หลี่เฉินเย่นก็ไม่คิดจะเอ่ยคำพูดอะไรให้มากความ ชายหนุ่มตัดสินใจเอ่ยถึงจุดประสงค์ที่มาหาอีกฝ่ายทันที “เมื่อสักครู่เปิ่นหวางเห็นเก้าอี้รถเข็นคันนั้น เปิ่นหวางจึงอยากถามเจ้าว่าเก้าอี้นั่นเจ้าเป็นผู้ลงมือทำเองหรือ” จูฟางหยวนเหลือบมองชูเซี่ยเล็กน้อย หญิงสาวเองก็คาดไม่ถึงว่าหลี่เฉินเย่นจะบุกมาถึงที่นี่เพื่อถามคำถามเช่นนี้ นางรู้สึกแตกตื่นเล็กน้อยยามมองใบหน้าของจูฟางหยวน จูฟางหยวนระงับสติอารมณ์ก่อนเอ่ย “ไม่ผิด เก้าอี้ตัวนั้นข้าเป็นผู้ลงมือทำให้พ่อบุญธรรมข้าโดยเฉพาะ” หลี่เฉินเย่นร้อง ‘อ่อ’ ขึ้นมา เก้าอี้รถเข็นที่ถูกทำอย่างปราณีตและซับซ้อนเช่นนี้ไม่ใช่ว่าผู้ใดก็สามารถทำมันขึ้นมาได้ เดิมเขานึกว่าเป็นความคิดของชูเซี่ยที่สั่งให้บิดาของเสี่ยวฉิงทำขึ้นมาให้ แต่นึกไม่ถึงจริงๆว่าเก้าอี้รถเข็นคันนี้จะเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่จูฟางหยวนทำขึ้นเองกับมือ ชายหนุ่มยังสอบถามต่อไปอีก “เมื่อสามปีก่อนเจ้าเคยทำเก้าอี้รถเข็นเช่นนี้มอบให้แก่ผู้อื่นหรือไม่” จูฟางหยวนประหลาดใจเล็กน้อยก่อนถามกลับ “เหตุใดท่านอ๋องจึงทราบได้ เมื่อสามปีก่อนข้าเคยทำเก้าอี้รถเข็นมอบให้แก่คนผู้หนึ่งจริงๆ” “คนคนนั้นคือใครหรือ” หลี่เฉินเย่นกลั้นใจถามออกไป จูฟางหยวนส่ายศีรษะเบาๆ “ข้าไม่รู้จักนางหรอก นางบอกเพียงว่าผู้ชายของนางขาพิการไม่อาจเดินได้ นางจึงมาขอร้องให้ข้ามอบเก้าอี้ตัวนั้นให้แก่นาง ยามนั้นข้าเห็นว่าหญิงสาวผู้นั้นรักใคร่ในตัวสามีของตนเองอย่างลึกซึ้ง นางขอร้องข้าอยู่ครึ่งค่อนวันจนสุดท้ายข้าก็ใจอ่อนยอมมอบให้นางไป” หลี่เฉินเย่นมองไปที่คุณชายจูนิ่งๆ ความเศร้าโศกเข้าจู่โจมในหัวใจของเขา ขอร้องอยู่ครึ่งค่อนวัน รักใคร่อย่างลึกซึ้ง คำพุถดเหล่านั้นเปรียบดังลูกธนูที่พุ่งเข้ามาปักลงตรงกลางใจของเขา นางบอกว่าเขาเป็นผู้ชายของนาง แต่ดูสิ่งที่เขาทำกับนาง เขานึกถึงเรื่องราวก่อนที่นางจะตาย ทั้งภาพความทรงจำและเสียงของนาง เขากอดนางไว้ในอ้อมแขนครั้งสุดท้าย ปากของนางมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด เขามองเห็นบาดแผลที่ขาของนางและรอยเข็มมากมาย แผลพวกนั้นยิ่งตอกย้ำความผิดของเขาให้รู้สึกเสียใจและโทษตัวเองมากกว่าเดิม เลือดที่ไหลออกมาจากปากของนางและบาดแผลบนร่างกายนางกลายเป็นตราบาปที่ทำให้หัวใจของเขาเจ็บปวดไม่เคยจะจางหายไป ชายหนุ่มค่อยๆผุดลุกขึ้นเต็มความสูงก่อนจะกลับหลังหัน เสี่ยวซานจื่อเห็นเช่นนั้นก็รีบถลาเข้าไปหวังจะพยุงอีกฝ่ายแต่ก้ถูกนายของตนปัดมือทิ้งพร้อมเอ่ยเสียงเรียบ “อย่ามาแตะต้องตัวเปิ่นหวาง” จูเก๋อหมิงเหลือบมองชูเซี่ยเห็นว่าบัดนี้น้ำตาของหญิงสาวเอ่อคลอออกมาพลางจ้องมองตามแผ่นหลังของร่างสูงที่เดินออกไป ถ้าหากนางตั้งใจจะปิดบังตนเองจริงๆ ดวงตาที่ฉายแววปวดร้าวของนางยามนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้อื่นสามารถจับพิรุธของนางได้แทบจะทันที นางยังคงทำตัวซื่อตรงเหมือนเดิมไม่มีผิดต่อให้นางพยายามปกปิดหรือโกหกมักก็ฟ้องทางสีหน้าและแววตาเกือบทั้งหมด ดูท่าสามปีมานี้คงมีแค่ฝีมือทางการรักษาของนางที่เพิ่มพูนขึ้น แต่จิตใจของนางก็ยังคงบริสุทธิ์และซื่อตรงเช่นเดิม หลี่เฉินเย่นค่อยๆเดินลงบันไดหินช้าๆ ร่างสูงเดินยังลำบากเมื่อขาดคนพยุงสุดท้ายก็ล้มลงไปกับพื้น ชูเซี่ยร้องขึ้นอย่างตกใจร่างบางถลาเข้าไปข้างหน้า แต่เสี่ยวซานจื่อและแม่ทัพเฉินพุ่งเข้าไปพยุงร่างของหลี่เฉินเย่นไว้ได้ก่อน หลี่เฉินเย่นเงยหน้าขึ้นมองจากนั้นก็สูดหายใจลึกๆ “เปิ่นหวางไม่เป็นไร เตรียมเข้าร่วมขบวนงานศพได้!” ร่างทั้งร่างของชูเซี่ยอ่อนปวกเปียกไปหมด หญิงสาวถึงกับทรุดนั่งลงบนม้านั่งที่ตั้งอยู่หน้าห้องอย่างหมดแรง จูฟางหยวนเอื้อมมือไปกุมมือนางไว้จากนั้นก็บีบมันเบาๆราวกับว่าต้องการจะส่งผ่านกำลังใจมาให้นาง แพขนตาของชูเซี่ยเปียกชื้นไปหมด หญิงสาวอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ “ข้าไม่รู้จะทำอย่างไรดีแล้ว!” จูฟางหยวนเห็นชูเซี่ยกลายเป็นเช่นนี้ก็เอ่ยให้กำลังใจหญิงสาวตรงหน้า “ชูเซี่ย ไปกันเถิดไม่ว่าจะทุกข์หรือลำบากเพียงใดเราก็ต้องอดทนและผ่านมันไปให้ได้!” มนุษย์เราก็เป็นเช่นนี้ ความทุกข์ที่ตนเองยังไม่สามารถก้าวผ่านมันไปได้ แต่ทว่าเมื่อเห็นคนที่เป็นทุกข์ยิ่งกว่ากลับสามารถปลอบใจและให้กำลังใจผู้อื่นได้ อย่างไรก็ตามตราบใดที่ยังไม่ถึงที่สุดเราก็ยังต้องก้าวผ่านมันไปให้ได้อยู่ดี ยามที่ร่วมเดินขบวนศพหลี่เฉินเย่นยืนกรานหนักแน่นว่าจะเดินด้วยตนเอง ร่างกายที่อ่อนแอของเขาในยามนี้จะทนความดื้อรั้นของเขาไหวได้อย่างไรกัน ชูเซี่ยที่เดินนำขบวนอยู่ด้านหน้าหันหลังกลับมามองชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังบ่อยครั้ง เมื่อเห็นใบหน้าที่ขาวซีดไร้สีเลือดกับหัวคิ้วที่ขมวดเป็นปมแน่นนั่นนางก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส นางเคยคิดว่าตนเองคงไม่ได้หลงรักหลี่เฉินเย่นอยากลึกล้ำ แต่นึกไม่ถึงจริงๆว่านางจะรักอีกฝ่ายเข้าถึงกระดูกแทนเสียนี่ ชูเซี่ยเดินไปตามทางเรื่อยๆทั้งที่สติไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัวแม้แต่น้อย เดิมทีนางก็ไม่ได้อยากจะตามมาด้วยหรอก เพียงแต่เกรงว่ายามที่ทำพิธีฝังแม่ทัพจูลงหลุมจูฟางหยวนจะสติหลุดขึ้นมา นางไม่ไหว้วางใจจึงยอมตามมาด้วยในที่สุด ยามที่ฝังโลงศพจูฟางหยวนไม่ได้หันหน้าไปทางอื่น ชายหนุ่มยืนนิ่งจ้องมองโลงศพที่ค่อยๆถูกดินสีเหลืองหลบอย่างช้าๆ แม้ว่ายามมีชีวิตอยู่จะยิ่งใหญ่เกรียงไกรแค่ไหน ยามที่ตายจากไปก็กลายเป็นร่างที่ถูกกลบฝังลงฝืนดินอยู่ดี จูฟางหยวนถอนหายใจออกมาก่อนที่น้ำตาจะไหลลงอาบแก้มทั้งสองข้าง ชูเซี่ยเอื้อมมือมากอบกุมมือของเขาไว้ หญิงสาวยืนนิ่งอยู่ข้างกายเขาเช่นนั้นไม่ได้เอ่ยคำพูดอะไรออกมา หัวใจเขาในยามนี้เจ็บปวดสาหัสยิ่งกว่าเดิม เพราะเขารู้ดีว่าอีกไม่นานชูเซี่ยเองก็จะต้องจากเขาไปอีกคนเช่นกัน ถ้าหากถึงตอนนั้น ในโลกใบนี้เขาก็เท่ากับว่าไม่เหลือใครอย่างแท้จริง หลังจากวันที่ฝังแม่ทัพจูลงหลุมฝนก็ตกติดกันหลายวัน ฝนที่ตกลงมาช่วงปลายสารทฤดูทำให้ผู้คนรู้สึกตื่นตาทั้งยังแปลกประหลาดนัก ในวันที่สองหลังจากพิธีศพของแม่ทัพจูผ่านพ้นไป ชูเซี่ยก็พาขี่หลังนายท่านเหมามาพร้อมกับห่อสัมภาระมาพำนักอาศัยที่จวนแม่ทัพชั่วคราว ในระยะนี้นางคิดว่าจูฟางหยวนยังต้องการให้นางอยู่เคียงข้างเป็นเพื่อนเขาไปก่อนสักระยะ ระหว่างนั้นนางก็ยังไปตรวจอาการผู้ป่วยที่โรงหมอทุกวัน โรงหมอที่จูเก๋อหมิงเปิดขึ้นมาคิดค่ารักษาถูกยิ่งนักทำให้ผู้คนมากมายต่างก็เดินทางมารักษาที่นี่ด้วยกันทั้งสิ้น ทุกวันในโรงหมอจะมีผู้คนทั่วทุกสารทิศหลั่งไหลกันเข้ามารับการรักษาทำให้นางยุ่งตัวเป็นเกลียว ระยะนี้จูเก๋อหมิงก็มาที่โรงหมอน้อยครั้งเพราะเขาจำเป็นต้องพำนักอยู่ที่จวนอ๋องเพื่อดูอาการของหลี่เฉินเย่นอย่างใกล้ชิด นางเองก็เป็นห่วงแอบถามไถ่อาการของท่านอ๋องจากท่านหมอในโรงหมอทำให้รู้ว่าอาการของเขาย่ำแย่ลง ซึ่งน่าจะมาจากวันนั้นที่เขาเข้าร่วมเดินขบวนศพของท่านแม่ทัพจู ความเหนื่อยล้าคงส่งผลให้ร่างกายของเขาทรุดลงอีกครั้ง แต่ในเมื่อเขามีจูเก๋อหมิงคอยดูแลนางก็วางใจได้อีกทั้งจูเก๋อหมิงเองก็ไม่ได้มาขอความช่วยเหลือจากนางในระยะนี้ นั่นก็เป็นการพิสูจน์แล้วว่าท่านหมอจูเก๋อยังรับมือกับอาการของท่านอ๋องได้อยู่ เมื่อกลับมาถึงจวนแม่ทัพนางก็ทิ้งตัวลงนอนบนตั่งยาวกับจูฟางหยวน ยามนี้อากาศภายนอกเริ่มจะเย็นลงเรื่อยๆ ยิ่งเข้าสู่ช่วงเหมันต์ฤดูลมหนาวก็เริ่มทวีความเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ “เจ้าก็มาอยู่ในโลกนี้หลายปีแล้ว เหตุใดจึงไม่หาใครสักคนมาอยู่เคียงข้างบ้างเล่า” ชูเซี่ยนอนอยู่บนหมอนส่วนตัวของชายหนุ่ม มองทิวทัศน์นอกหน้าต่าง มองสายลมที่พัดจนใบไม้พริ้วไหว ใบไม้ข้างนอกเริ่มกลายเป็นสีเหลืองไปหมดแล้วเมื่อถูกลมพัดหนักเข้าก็ค่อยๆลอยละลิ่วตกลงมาช้าๆ จูฟางหยวนที่นั่งข้างๆนางก็วางถ้วยชาในมือลงข้างๆตั่งยาว ชายหนุ่มล้างใบชาในถ้วยเบาๆ เมื่อชายหนุ่มได้ยินที่ชูเซี่ยถามก็ยิ้มออกมาน้อยๆ “ข้าเฝ้าหวังว่าจะได้กลับบ้านอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันไหนเลยจะกล้าทำร้ายจิตใจผู้อื่น” ชูเซี่ยถอนหายใจออกมายาวๆ “กลับบ้านงั้นหรือ พูดเหมือนง่าย” จูฟางหยวนพยักหน้าก่อนจะจัดการเปิดฝากาน้ำชาและเทใบชาลงไปใหม่ค่อยๆคนช้าๆเบาๆ จากนั้นก็เทน้ำชาถ้วยหนึ่งให้ชูเซี่ย “ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่รู้ว่าคนแบบพวกเรา ไม่มีที่มาที่ไปจะจากไปเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ เมื่อก่อนก็ฝันหวานไปวันๆว่าคงมีสักวันที่นอนหลับตาตื่นขึ้นมาก็จะได้กลับบ้าน” ชูเซี่ยได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยถามขึ้นมา “ข้าไม่เคยถามเจ้ามาก่อนว่าตกลงเจ้ามาที่นี้ได้อย่างไรกัน” นางรับน้ำชาที่อีกฝ่ายส่งมาให้ก่อนยกขึ้นมาจิบคำหนึ่งจากนั้นก็เอ่ยต่อ “หากเป็นความทรงจำที่เจ็บปวดไม่ต้องเล่าก้ได้นะ” จูฟางหยวนยิ้มออกมา “เจ็บปวดที่ไหนกัน ไม่มีเรื่องใดทำใหข้าเจ็บปวดเท่าตอนนี้อีกแล้วล่ะ” ชายหนุ่มยกชาขึ้นมาจิบคำหนึ่งก่อนจะเหม่อมองสีของน้ำชาที่อยู่ในมือ “ถ้าจะให้เล่าก็ต้องเริ่มจากเมื่อห้าปีก่อน ข้าเป็นเพียงแค่พนักงานบริษัทคนหนึ่ง ทำหน้าที่เป็นพนักงานตรวจสอบที่ดิน ทุกวันที่เข้างานก็ไปนั่งคุยสัพเพเหระกับเพื่อนร่วมงานและอ่านหนังสือพิมพ์ไปวันๆ และแน่นอนว่าเจ้าก็ต้องรู้ว่าพนักงานส่วนใหญ่ก็คงไม่ได้มีเวลาว่างขนาดนั้นหรอกใช่หรือไม่ เมื่อก่อนข้าเป็นชายหนุ่มในอุดมคติของสาวๆมากมายเชียวล่ะ ที่ทำงานของข้ามีหัวหน้างานอยู่คนหนึ่ง เป็นคนที่น่ารังเกียจ ลับหลังข้าเขาแอบลักลอบเป็นชู้กับภรรยาของข้า คงเหมือนในเรื่องเล่ามากมายที่เขาพูดว่าจับชู้ได้คาเตียงกระมัง จากนั้นข้าก็ทนไม่ไหวขับรถออกมาด้วยความเร็วเหมือนคนเสียสติก็ไม่ปาน สุดท้ายรถก็ชนเข้ากับก้อนหินยักษืก้อนหนึ่งจากนั้นข้าก็หมดสติไป ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งก้อยู่ที่นี่เสียแล้ว” แม้ว่าคำพูดที่เอ่ยออกมาจะฟังดูธรรมดาเรียบง่ายแต่เมื่อฟังดูให้ดีก็จะสามารถจับน้ำเสียงที่เจือความเจ็บปวดได้ไม่ยาก ดวงตาของชูเซี่ยเปร่งประกาย “เจ้าหมายความว่าเจ้าย้อนอดีตมาพร้อมกับรถยนต์คันหนึ่งงั้นหรือ ไม่ใช่วิญญาณเข้าร่างใช่หรือไม่ หรือว่าจริงๆแล้วโลกใบนี้มีอุโมงค์ข้ามเวลาอยู่จริงกันนะ เช่นนั้นพวกเราก็สามารถย้อนกลับไปสถานที่ที่เจ้าเกิดเหตุได้เพื่อหาทางกลับไปโลกเดิมได้น่ะสิ” จูฟางหยวนส่ายศีรษะ “เจ้าคิดว่าข้าไม่เคยหางั้นหรือ ไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่เลย แม้แต่รถข้าก็หายไป สิ่งที่หลงเหลืออยู่ก็มีเพียงเสื้อผ้าและของใช้ที่ติดตัวมาเท่านั้น” ชูเซี่ยร้อง ‘อ่อ’ ออกมา นางรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยก่อนจะทิ้งตัวลงนอน ผ่านไปสักพักนางก็เอ่ยถามขึ้นมาอีก “เมื่อก่อนเจ้าเป็นพนักงานบริษัทไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงร่างแบบรถเข็นได้เล่า” “นี่เป็นงานอดิเรกของข้า แต่เล็กจนโตข้าก็ชอบสิ่งประดิษฐ์สิ่งของอยู่เสมอ ความฝันตั้งแต่เล็กจนโตของข้าก็คือเป็นนักประดิษฐ์สิ่งของนี่ล่ะ” “แต่รถเข็นไม่ใช่สิ่งประดิษฐ์ที่เจ้าคิดค้นเสียหน่อย” ชูเซี่ยเหลือมองเขาด้วยหางตา จูฟางหยวนเอ่ยยิ้มๆ “แต่ในยุคสมัยนี้ เก้าอี้รถเข็นคือสิ่งประดิษฐ์ที่ข้าคิดค้นนะ” ชูเซี่ยดึงมือของเขาพร้อมโยกไปมาเบาๆ “น้องรอง พวกเราก็มาแต่งงานกันเถิด” เมื่อไม่นานมานี้นางเพิ่งจะตั้งฉายาให้เขาว่า เหล่าจู ที่มาจากชื่อตือโป๊ยก่ายในเรื่องไซอิ่ว ส่วนเขาก็เรียกนางว่า เหล่าชู ที่มาจาก ปี้มาชู ตำแหน่งของไซอิ่วที่ครั้งหนึ่งเคยได้รับแต่งตั้งให้เป็นคนเลี้ยงม้าบนสวรรค์ นางจึงกลายเป็นพี่ใหญ่ไปในทันที ส่วนเขาก็กลายเป็นน้องรองของนาง แรกเริ่มเดิมทีชายหนุ่มค้านหัวชนฝาไม่ยอมรับฉายานี้โดยเด็ดขาด แม้กระทั่งเอ่ยถึงชื่อปลอมที่เขาเคยใช้ยามติดต่อให้พ่อเสี่ยวฉิงตีเหล็กทำรถเข็นให้เขาครั้งนั้นมาให้นางใช้ แต่สุดท้ายนางก็ยังไม่เหล่าจูอยู่ดี ชูเซี่ยตัดสินใจแล้วว่านี่จะเป็นฉายาของเขาจากนี้ไป ท้ายที่สุดเขาก็ต้องยอม สุภาพบุรุษไม่สมควรทะเลาะกับสตรี เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากจะยอมรับมัน แต่ชายหนุ่มก็ไม่ยอมให้นางเอาเปรียบเขาฝ่ายเดียว ทุกวันนี้นางจึงกลายเป็นเจ้าลิงบ้าของเขาไปแล้ว จูฟางหยวนมองมาที่นางก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงใสซื่อ “หากไม่พูดความจริง ให้ตายข้าก็ไม่ยอมแต่ง” ทำไมเขาจะไม่รู้จุดประสงค์ของนางกันเล่า นางเพียงต้องการใช้เขาเป็นเครื่องมือในการลืมหลี่เฉินเย่นเสียมากกว่า ชูเซี่ยกุมศีรษะจากนั้นก็ถอนหายใจออกมาหลายครั้ง “นี่ข้าแย่ขนาดนั้นเลยหรือ” “เจ้าดียิ่ง แต่เสียดายที่ไม่ใช่รสนิยมข้า!” จูฟางหยวนว่าพลางก็ยกน้ำชาขึ้นมาจิบ “เจ้าน่ะ รีบกลับไปสารภาพกับหลี่เฉินเย่นตามตรงจะดีกว่า ข้ารู้สึกว่าจูเก๋อหมิงเขาสงสัยในตัวเจ้าเข้าแล้วล่ะ อีกไม่นานหลี่เฉินเย่นก็คงรู้ความจริงแน่” ชูเซี่ยเอ่ยขึ้น “ดูเหมือนว่าจูเก๋อหมิงจะจับพิรุธข้าได้บ้างแล้วล่ะ ดังนั้นยามนี้ข้าจึงต้องพยายามหลบหน้าเขาไปก่อน ข้าไม่เข้าใจเลยสักนิด ครั้งก่อนที่ข้าตาย ข้าก็ตายในฐานะที่ตนเองเป็นห ยางหยิงหลงแต่เหตุใดพวกเขาถึงรู้เรื่องของชูเซี่ยกันหมดนะ อ้า! รู้เช่นนี้ข้าคงไม่ใช้ชื่อชูเซี่ยตั้งแต่แรกที่กลับมาหรอก” “ถ้าเช่นนั้นเจ้าไม่ต้องกลับมาก็ได้!” จูฟางหยวนล่าวกับนาง “ทำเช่นนั้นไม่ได้ หากขาของหลี่เฉินเย่นไม่ได้รับการฝังเข็มอีกครั้งภายภาคหน้าเขาจะต้องเป็นคนพิการแน่ อีกอย่างข้าก็ไม่อาจปล่อยวางเขาได้!” ยามที่ชูเซี่ยอยู่ต่อหน้าจูฟางหยวนนางไม่จำเป็นต้องปิดบังหรือโกหกความรู้สึกของตนเอง คู่รัก ดูเหมือนว่าคำนี้จะกลายเป็นนิยามระหว่างความสัมพันธ์ของนางและเขาในตอนนี้เสียแล้ว “ปล่อยวางไม่ได้ก็ต้องปล่อยให้ได้ วันก่อนที่ข้าเห็นสภาพวิญญาณหลุดลอยของท่านอ๋องก็รู้สึกว่าเขาช่างน่าสงสารนัก ถ้าหากว่าเขาต้องมารับความผิดหวังอีกครั้งข้ากลัวเหลือเกินว่าเขาจะทนไม่ไหว เจ้าอย่าได้คิดเชียวนะว่าผู้ชายแข็งแกร่งตลอดเวลา แท้จริงแล้วเพศชายล้วนแต่เป็นเพศที่อ่อนไหวง่ายทั้งนั้น” จูฟางหยวนกล่าวออกมาแล้วก็ต้องถอนหายใจ “ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว พูดเรื่องดีๆกันดีกว่า” ชูเซี่ยพยายามเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเพื่อไม่ให้หัวใจของตนเองต้องอึมครึมดังเช่นดินฟ้าอากาศภายนอกนั่น บรรยากาศภายนอกครึ้มฟ้าครึ้มฝนราวกับว่าพายุกำลังจะก่อตัวในไม่ช้า จูฟางหยวนเหลือบมองนาง “เรื่องดีๆงั้นหรือ งั้นก็คงเป็นเรื่องที่ประจำเดือนของเจ้าเดือนนี้มาแล้วก็แล้วกัน” ชูเซี่ยตีชายหนุ่มไปแรงๆหนึ่งที “พูดพล่ามอะไรของเจ้า เรื่องนี้มันเป็นเรื่องดีที่ไหนกันเล่า” “ในยุคปัจจุบันมีเด็กสาวมากมายที่กลัวว่าประจำเดือนจะไม่มา ของเจ้ามาแล้วก็ย่อมเป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือ!” เมื่อกล่าวถึงผู้คนในยุคปัจจุบันดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่ทำให้ทั้งคู่กลับมาอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคลายไม่ออกอีกครั้ง หากจะเปรียบก็เหมือนพวกเขาเป็นดักแด้ที่ติดอยู่ในรังไหมของตนเองไม่สามารถหาทางดิ้นออกมาให้หลุดพ้นจากรังได้ ในที่สุดสายฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมาอีกครั้ง ราวกับว่าเป็นสัญญาณเตือนจากสวรรค์ที่ต้องการเตือนว่าโลกมนุษย์กำลังจะพบเจอภัยพิบัติอีกครั้ง ฝนตกครั้งใหญ่นี้ ทำให้ตาของคนที่มองพราเบลอไปหมด ทั้งยังทำให้ความทุกข์และความสุขบนโลกพร่าเบลอไปหมด 
已经是最新一章了
加载中