ตอนที่ 75 ความรักที่บังเอิญ
1/
ตอนที่ 75 ความรักที่บังเอิญ
ชายาเกิดใหม่ของข้า
(
)
已经是第一章了
ตอนที่ 75 ความรักที่บังเอิญ
ตนที่ 75 ความรักที่บังเอิญ ในวันถัดมา ชูเซี่ยก็เดินทางเข้าวังหลวงเพื่อรักษาอาการให้ฮ่องเต้เช่นเคย หากการรักษาในวันนี้เสร็จสิ้นก็นับได้ว่าสเร็จสิ้นกระบวนการรักษาแล้วเนื่องด้วยพระอาการปวดของฮ่องเต้ทรงไม่กำเริบอีก เพียงเทียบยาที่เหล่าหมอหลวงจัดให้ก็สามารถรักษาต่อไปได้แล้ว ดังนั้นหลังจากที่ชูเซี่ยฝังเข็มก็ไม่ได้นวดขมับให้พระองค์อีกเช่นเคย นางเพียงย่อกายอย่างนอบน้อมเบื้องพระพักตร์ “ฝ่าบาทเพคะ ไม่ทราบว่าหลายวันมานี้ยังหลงเหลืออาการปวดพระเศียรอยู่หรือไม่” ฮ่องเต้ทรงยกพระหัตถ์ขึ้นลูบพระศอของตนเอง จากนั้นก็เอ่ยอย่างดีพระทัย “หลายวันมานี้อาการไม่ได้กำเริบเลยสักครั้ง แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดแม้แต่อาการปวดเมื่อยที่คอของเราหลายวันมานี้ก็ไม่ปวดอีกด้วย เวินหน่วนฝีมีของแพทย์ของเจ้าช่างล้ำเลิศยิ่ง!” ชูเซี่ยยิ้ม “ปวดแบบไร้เหตุผล ไร้เหตุผลที่ต้องปวดเพคะ ในตอนนี้เลือดลมของฝ่าบาทไหลเวียนได้ดียิ่ง แน่นอนว่าต้องไม่รึ้กปวดอีกแล้วเพคะ” ฮ่องเต้ทรงยกพระหัตถ์ขึ้นปราม “หมอหลวงที่เราเลี้ยงดูไว้ในวังต่างก็ไร้ความสามารถไม่อาจเทียบกับเจ้าแม้แต่เพียงเสี้ยวเดียว” เมื่อชูเซี่ยเห็นว่าฝ่าบาททรงยกยอปอปั้นนางเกินจริงก็รู้สึกจิตใจกระวนกระวายไม่สงบ ไม่ใช่ว่านางไม่รู้ว่าตลอดสองวันมานี้ฝ่าบาทดูจะปฏิบัติต่อนางอย่างไร ในสายพระเนตรของพระองค์ที่จ้องมองมาที่นางฉายแววรักใคร่ชอบพอ ยามนี้นางเข้าใจแล้วว่าความหวาดระแวงของหลี่เฉินเย่นไม่ใช่จะไม่มีเหตุผลเสียทีเดียว ร่างบอบบางถอยห่างออกไปอีกก้าวหนึ่งก่อนจะเอ่ยอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน “หม่อมฉันไม่กราบรับหรอกเพคะ ความจริงแล้วความสามารถของเหล่าหมอหลวงในวังต่างก็เหนือชั้นกว่าหม่อมฉันมาก เพียงแค่หม่อมฉันบังเอิญเคยได้ศึกษาเรียนรู้เรื่องการฝังเข็มมาบ้างเท่านั้น ถ้าหากเปลี่ยนมาให้หม่อมฉันจัดเทียบยาก็เกรงว่าไม่อาจจะรักษาพระองค์ได้เช่นกันเพคะ” ฝ่าบาททรงทอดพระเนตรชูเซี่ย “หาได้ยากนักที่ผู้มีความสามารถเช่นเจ้ากลับยังแสดงท่าทีเจียมเนื้อเจียมตัว อ้อ เราได้ยินว่าฉ่ายเวินฟื้นขึ้นมาแล้ว เป็นฝีมือของเจ้าใช่หรือไม่” ชูเซี่ยไม่รู้จะทูลตอบพระองค์เช่นไรดี นางก้มศีรษะลงเล็กน้อยก่อนเอ่ยทูล “เรื่องนี้ ท่านหมอจูเก๋อและหมอหลวงเองก็ลงทุนลงแรงไปไม่ใช่น้อยเพคะ” ฮ่องเต้แสดงท่าทีพอพระทัย “เราจะให้รางวัลอย่างงามแน่ เวินหน่วน เรามีเรื่องอยากถามเจ้าสักหน่อย เจ้าต้องตอบเราตามตรงเข้าใจหรือไม่” “หม่อมฉันย่อมต้องทูลตอบตามตรงเพคะ เชิญฝ่าบาทถามมาได้” วรกายสูงลุกขึ้นจากตั่งยาว ก่อนพระหัตถ์จะจัดแจงเสื้อคลุมสีทองปักลายมังกรของตนเล็กน้อยจนรอยยับหายไป ฝ่าบาททรงเดินมาตรงหน้าชูเซี่ยทำให้ชูเซี่ยต้องถอยหลังหลบไปอีกก้าวหนึ่งทำให้ฝ่าบาททรงขมวดพระขนง “เจ้ากลัวเรางั้นหรือ!” ชูเซี่ยฝืนยิ้ม “ฝ่าบาททรงเป็นบุตรของสรวงวรรค์ หม่อมฉันไม่อาจไม่เกรงกลัวได้เพคะ” ฮ่องเต้แย้มสรวล “กลัวได้ แต่เจ้าไม่สมควรต้องกลัวเรา” ร่างของทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก ใกล้เสียจนนางได้กลิ่นวรกายของฝ่าบาทและสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอที่เปี่ยมไปด้วยอำนาจของพระองค์ ราวกับชูเซี่ยถูกอีกฝ่ายต้อนอย่างๆจนหญิงสาวแทบจะหายใจไม่ออก หญิงสาวค่อยๆหาลู่ทางถอยห่างออกมาอย่างช้าๆและดูไม่น่าเกลียดมากนัก แต่ทว่าทันทีที่นางถอยห่างก้าวหนึ่งฝ่าบาทก็ทรงก้าวพระบาทเข้ามาใกล้นางก้าวหนึ่ง จนชูเซี่ยแทบจะไม่มีที่ให้หลบหนีไปไหนอีกแล้ว นางไม่กล้ามองสบสายพระเนตรของฝ่าบาทด้วยซ้ำ สายตาที่เต็มไปด้วยความรักใครชอบพอเช่นนี้นางรู้จักดี ในฐานะที่นางเป็นหมอ นางรู้ดีว่าการที่มีบุรุษมาแสดงท่าทางเช่นนี้ก็เปรียบดั่งนกยูงตัวผู้ที่กำลังรำแพนหางเพื่อเรียกร้องความสนใจของเพศตรงข้าม ตอนที่ชูเซี่ยกำลังอับจนหนทางอยู่นั่นเอง ด้านนอกห้องบรรทมก็มีเสียงระฆังดังช่วยชีวิตนางขึ้นมาเสียก่อน เสียงนั้นเป็นเสียงของเสี่ยวเต๋อจื่อนั่นเอง ขันทีผู้นั้นกำลังเอ่ยเสียงทูลต่อฮ่องเต้หน้าห้อง “ฝ่าบาท ท่านราชครูมีเรื่องมาขอเข้าเฝ้าพะย่ะค่ะ” พระพักต์ของฮ่องเต้นิ่งไปจากนั้นก็ทรงตรัสขึ้น “ปล่อยให้รอข้างนอกไปก่อน” ชูเซี่ยสบโอกาสก็รีบร้อนย่อกายถวายบังคม “ฝ่าบาทเพคะ ท่านราชครูมาเข้าเฝ้าพระองค์แสดงว่าต้องมีเรื่องสำคัญมากเป็นแน่ หม่อมฉันไม่อาจรบกวนเวลาว่าราชการที่สำคัญของพระองค์ได้ ทูลลาเพคะ” กล่าวจบนางก็หันกายกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปทันที สีพระพักตร์ของฝ่าบาทฉายแววพึงพระทัยและสนุกสนาน “เด็กสาวคนนี้ หนีออกไปเร็วเชียวนะ ก็ดีหญิงสาวต้องหัดรักนวลสงวนตัวบ้างจึงจะน่าสนใจ” ตอนที่ชูเซี่ยเดินผ่านห้องโถงหลักก็เผชิญหน้ากับท่านราชครู ท่านราชครูเมื่อเห็นนางก็นิ่งไป ชูเซี่ยเองก็อดตื่นกลัวไม่ได้ นางไม่กล้ารั้งรออยู่นาน หญิงสาวรีบก้มหน้าก้มตาเดินออกไปทันที หลี่เฉินเย่นรอนางอยู่ที่ซุ้มประตูนอกวัง เมื่อชายหนุ่มเห็นท่าทางของตื่นตระหนกรีบร้อนของนางก็รู้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเกิดขึ้นจึงรีบเอ่ยถามนางอย่างเป็นห่วงระคนร้อนใจ “เกิดอะไรขึ้นหรือ” ชูเซี่ยไม่ได้เอ่ยอะไรนางเพียงแค่ดันหลังเขาเบาๆให้ออกห่างจากเหล่านางข้าหลวงจากนั้นก็กระซิบเสียงเบา “ออกจากที่นี่ก่อนค่อยคุยกันเจ้าค่ะ” หลี่เฉินเย่นรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเสียแล้ว ดวงตาคมของชายหนุ่มจ้องมาที่นางนิ่งๆก่อนจะพากันเดินทางออกจากวัง เมื่อพ้นเขตวังหลวงหลี่เฉินเย่นก็ดึงมือของนางไว้จากนั้นก็เอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้น” เมื่ออารมณ์ของชูเซี่ยค่อยๆเย็นลงนางก็เอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “เฉินเย่น เมื่อครู่เสด็จพ่อของท่าน...ดูเหมือนจะผิดปกติเล็กน้อย” หัวใจของหลี่เฉินเย่นกระตุกวูบ “เจ้าหมายความว่า เขา...” ชูเซี่ยพยักหน้าน้อยๆจากนั้นก็เงียบไป หลี่องิ่นเฉินเย่นกำหมัดแน่น เอ่ยเสียงเครียด “เขาก็อายุสี่สิบกว่าเข้าไปแล้ว เหตุใดยังมาตกหลุ่มรักเด็กสาวอย่างเจ้าอีก” จากนั้นก็ตวัดสายตามองชูเซี่ยด้วยประกายโกรธเกรี้ยว “เจ้าคงไม่ได้ไปทำอะไรที่ทำให้เสด็จพ่อทรงเข้าพระทัยผิดใช่หรือไม่” ชูเซี่ยเลิกคิ้วเล็กน้อย ดวงตากลมมองเขาด้วยสายตาที่ไม่พอใจ “ท่านหมายความว่าอย่างไร ท่านคิดว่าข้ายั่วยวนเสด็จพ่อท่านงั้นหรือ” หลี่เฉินเย่นมองตอบนางด้วยแววตาเย็นเฉียบ “หากเจ้าไม่พูดหรือกระทำอะไรที่ทำให้เสด็จพ่อทรงเข้าพระทัยผิด พระองค์ก็คงไม่แสดงท่าทีเช่นนี้ออกมาหรอกนะ” ชูเซี่ยเอ่ยตอกกลับเสียงราบเรียบ “ท่านนี่ก็น่าขำเสียจริง ข้าไม่อยากทะเลาะกับท่านด้วยเรื่องไร้สาระพรรคนี้หรอกนะ ข้าจะให้เวลาให้ท่านสงบสติอารมณ์เสียก่อนก็แล้วกันนะเจ้าคะ ข้าไม่อยากคุยกับท่านแล้ว” กล่าวจบนางก็อุ้มกล่องยาเดินหนีไปอีกทาง หลี่เฉินเย่นตามมาดึงร่างของนางไว้ ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความอับจนหนทาง “ขอโทษ เปิ่นหวางเลอะเลือนไปชั่วครู่เท่านั้น อาจจะพูดจาไร้สาระไปบ้าง แต่ทว่าเจ้าไม่ได้ทำอะไรให้เสด็จพ่อเข้าพระทัยผิดไปจริงๆใช่หรือไม่” คำกล่าวหาของเขาทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดที่ใจอย่างห้ามไม่อยู่ นางไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไรในเมื่ออีกฝ่ายตั้งแง่สงสัยในตัวนางเช่นนี้ สุดท้ายก็ได้แต่ขยับเท้าถอยห่างจากชายหนุ่มหลายก้าว “ยามที่ข้าอยู่ต่อหน้าพระพักตร์เสด็จพ่อของท่านข้าเป็นเพียงหมอผู้หนึ่งเท่านั้น ข้าคิดเพียงแต่จะรักษาผู้ป่วยของข้าเท่านั้นไม่เคยคิดเป็นอื่นและข้าก็ไม่เคยใส่ใจด้วยว่าพระองค์จะคิดเกินเลยกับข้าหรือไม่ หากท่านไม่เชื่อใจข้าเช่นนั้นข้าขอไปจากเมืองหลวงเสียดีกว่า” เขารวบกอดนางไว้แน่น “อย่าได้หวัง!” ชูเซี่ยเอ่ยเสียงกดดัน “หลี่เฉินเย่น หากท่านไม่คิดแม้แต่จะไว้วางใจในคำพูดของข้า เรื่องระหว่างเราก็คงไปกันไม่รอดหรอกนะ” หัวใจของหลี่เฉินเย่นแทบหยุดเต้นไปกับคำพูดของนาง คำพูดของชูเซี่ยทำให้ชายหนุ่มตื่นตระหนกโผเข้ากอดร่างบอบบางไว้แน่น เอ่ยอย่างละล่ำละลัก “เปิ่นหวางผิดไปแล้ว เปิ่นหวางไม่ควรจะสงสัยในตัวเจ้า แต่ในเมื่อเดินมาถึงจุดนี้แล้ว เสด็จพ่อย่อมไม่ยอมรามือจากเจ้าแน่” ชายหนุ่มคลายอ้อมกอดก่อนจ้องมองใบหน้าของนางจากนั้นก็เอื้อมไปจับมือของนางไว้และเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “พวกเรากลับไปขอให้เสด็จพ่อทรงพระราชทานงานสมรสให้แก่พวกเรากันเถิด” ผู้ที่จะมารับตำแหน่งพระชายาจะต้องเป็นผู้ที่มาจากสมรสพระราชทานของฮ่องเต้ มิฉะนั้นก็จะเป็นที่ติฉินนินทาของผู้คนได้ ชูเซี่ยลังเลเล็กน้อย หากว่าเขาไปขอสมรสพระราชทานจากฮ่องเต้จริง นางเกรงว่าตำแหน่งของหลี่เฉินเย่นในพระทัยของฝ่าบาทจะลดน้อยลง นางไม่อาจมีชีวิตอยู่เคียงข้างเขาได้ตลอดไปเพราะฉะนั้นนางไม่อาจเป็นต้นเหตุที่ทำให้ชีวิตเขาต้องพังพินาศลง ในระหว่างที่กำลังลังเลอยู่นั้น ก็มีรถม้าวิ่งเหยาะๆเข้ามา ชูเซี่ยจึงผละออกจากชายหนุ่มให้เว้นระยะห่างเล็กน้อย เพราะว่านางจำได้ว่ารถม้านั่นเป็นของเจิ้นหยวนอ๋อง หลี่อวิ่นกัง เป็นอย่างที่นางคิดว่ารถม้าค่อยๆวิ่งมาหยุดลงตรงหน้าคนทั้งคู่ หลี่อวิ่นกังเลิกม่านขึ้นช้าๆ ทอดสายตามองมาที่หลี่เฉินเย่น “วันนี้เสด็จน้องของข้าว่างนักหรือจึงมีเวลาเข้าวังมาได้” สีหน้าของหลี่เฉินเย่นเย็นชาขึ้น “เสด็จพี่ก็ว่างเหมือนกันไม่ใช่หรือ” หลี่อวิ่นเกียนเหลือบไปมองร่างบอบบางของหญิงสาวที่ถูกร่างสูงของหลี่เฉินเย่นบดบังไว้ “ได้ยินว่าเสด็จน้องแนะนำท่านหมอเวินให้มารักษาเสด็จพ่องั้นหรือ นางแซ่เวินทั้งยังเป็นหมอที่ยังเป็นแค่หญิงสาว แต่ทว่าก็คงเป็นแค่สินค้าที่พยายามลอกเลียนแบบให้เหมือนกระมัง ไม่มีทางที่นางจะมาแทนที่หญิงสาวผู้นั้นได้หรอกนะ” ชูเซี่ยช้อนสายตามองหลี่อวิ่นกังอย่างตื่นตะลึง หลี่อวิ่นกังผิดม่านลงจากนั้นก็เอ่ยกับสารถี “เข้าวัง!” หลี่เฉินเย่นไม่สามารถเอื้อนเอ่ยอะไรออกมาได้ คำพูดเมื่อครู่ของหลี่เฉินเย่นทำให้เขาได้สติขึ้นมา นั่นก็คือเขาไม่อาจให้ตัวตนที่แท้จริงของชูเซี่ยเปิดเผยโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นเขาเองก็ไม่อยากจะคิดว่าเรื่องราวจะบานปลายใหญ่โตเพียงใด แต่ทว่าหากไม่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของนาง เสด็จพ่อจะต้องไม่ยอมตัดพระทัยจากนางแน่ ชูเซี่ยคิดอย่างไรก็ไม่อาจเข้าใจในท่าทีของหลี่อวิ่นกังได้เลย พวกเขาสองพี่น้องรักใคร่และปรองดองกันมากมาตลอด ถ้าหากว่านี่เป็นเพราะการแก่งแย่งบัลลังค์กันจริง แต่การที่ต้องทำให้ความสัมพันธ์พี่น้องต้องขาดสะบั้นลง ถ้าเป็นเช่นนั้นต่อให้แย่งชิงบัลลังก์มาได้จริงแล้วจะเป็นเรื่องที่คุ้มค่างั้นหรือ แน่นอนว่าหญิงสาวที่มาจากโลกใบเดิมที่มีแต่สันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองอย่างชูเซี่ยจะไม่เข้าใจเรื่องความโหดร้ายอย่างการแก่งแย่งบังลังก์มังกร มีอยู่หลายครั้งที่แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่อยากต่อสู้แต่คนที่อยู่เบื้องหลังต่างก็พยายามผลักดันและส่งเสริมอำนาจราวกับบีบบังคับให้สายเลือดต้องมาต่อสู้แย่งชิงกันเอง จริงสินะ จะมีอะไรที่จะยิ่งใหญ่ไปกว่าการได้อำนาจทั้งแผ่นดินมาอยู่ในอุ้งมือตนเองได้เล่า นรถม้านอกจากหลี่อวิ่นกังแล้วก็ยังมีพระชายาเจิ้นหยวนและบุตรชายนามว่าอานเหยียนอยู่ในนี้ด้วย นางดึงมือของหลี่อวิ่นกังไว้ก่อนเอ่ยอย่างไม่สบายใจ “ท่านไม่จำเป็นต้องเอ่ยเช่นนี้ การตายของชูเซี่ยก็ทำให้เขาต้องทนทุกข์ทรมานมาตลอดสามปีเลยนะเจ้าคะ” ใบหน้าของหลี่เฉินเย่นยังทรงเรียบเฉย “เขาน่ะหรือทุกข์ทรมาน ท่าทางเศร้าโศกของเขาก็แค่หน้ากากที่สวมไว้แสดงให้เสด็จพ่อเสด็จแม่ดูก็เท่านั้น ทำให้ทุกคนต่างก็คิดว่าเขามีจิตใจรักใคร่มั่นคงดั่งมหาสมุทร แต่เมื่อครู่เจ้าคงไม่เห็นสินะว่าเขากำลังยื้อยุดฉุดกระชากกับหมอหญิงผู้นั้น ชูเซี่ยจากไปยังไม่ถึงสามปีแต่เขากลับหาผู้หญิงมาแทนที่นางได้เร็วเหลือกเกิน ต่อให้หญิงสาวผู้นั้นจะแซ่เวินและเป็นหมอหญิงเหมือนกัน แต่มีหรือจะสู้ชูเซี่ยได้ ไม่มีทาง” ปีนี้อานเหยียนก็อายุได้สามขวบแล้ว ด้วยอายุของเขาย่อมต้องไม่รู้ว่าชูเซี่ยคือผู้ใด แต่ทว่าเมื่อได้ยินบิดามารดาของตนเอ่ยถึงก็อดถามขึ้นมาอย่างสงสัยไม่ได้ “ท่านพ่อขอรับ ใครคือชูเซี่ย” หลี่อวิ่นกังอุ้มอานเหยียนก่อนจะหอมแก้มกลมๆนั่นอย่างอ่อนโยน “ชูเซี่ยก็คือชื่อของแม่บุญธรรมเจ้าไงเล่า หากไม่ได้นางก็จะไม่มีท่านแม่ ไม่มีเสี่ยวอานเหยียน ดังนั้นชูเซี่ยจึงเป็นผู้มีพระคุณของอานเหยียนและท่านแม่ของเจ้า” อานเหยียนกระพริบตากลมโตปริบๆ “แล้วท่านแม่บุญธรรมหน้าตาเป็นเช่นไรขอรับ” พระชายายิ้มอย่างอ่อนโยน “แม่บุญธรรมของเจ้าเป็นหญิงสาวที่งดงามที่สุดในใต้หล้านี้” “งดงามกว่าท่านแม่อีกหรือ” อานเหยียนเงยหน้ามองมารดาของตนเอง มือป้อมๆลูบคลำไปทั่วร่างของมารดาเพื่อหาลูกกวาดของตน พระชายาเจิ้นหยวนเอ่ย “งามกว่าแม่ร้อยเท่าได้ ความงามของคนไม่ใช่รูปโฉมหากแต่เป็นจิตใจของคนต่างหากเล่า อานเหยียนเข้าใจแม่หรือไม่” อานเหยียน่ายศีรษะอย่างใสซื่อ “ไม่เข้าใจขอรับ งดงามก็คืองดงาม ไม่งดงามก็คือไม่งดงาม” หลี่เฉินเย่นและพระชายามองสบตากัน ทั้งคู่ยิ้มให้กันอย่างอบอุ่นและรักใคร่ พวกเขาตระหนักได้ว่าความสุขที่อยู่ตรงหน้าได้มายากนัก พวกเขาต้องเห็นคุณค่าและรักษามันไว้ให้นานเท่านาน หลี่เฉินเย่นและชูเซี่ยเดินทางกลับมาถึงจวนด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง พอดีกับที่จูฟางหยวนมาที่จวนอ๋องหาชูเซี่ยพอดี ในอ้อมแขนของเขาโอบอุ้มเจ้าถ่านไว้ ส่วนมืออีกข้างก็จูงนายท่านเหมา หลี่เฉินเย่นมองจูฟางหยวนนิ่งๆ “เจ้ามาทำอะไรที่นี่” ชายหนุ่มรู้สึกไม่ชอบหน้าของจูฟางหยวนผู้นี้เท่าไหร่ เพราะทั้งสองครั้งที่เขาเห็นชายผู้นี้ เขาและชูเซี่ยต่างสนิทสนมแนบชิดกันมากทั้งสองครั้ง แม้ว่าชูเซี่ยจะยืนกรานว่าระหว่างนางและจูฟางหยวนจะไม่มีอะไรแต่เขาก็ยังรู้สึกขัดตาอยู่ดี แต่แน่นอนว่าเห็นแก่หน้าของแม่ทัพจูเขาย่อมไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไรจูฟางหยวนแน่ จูฟางหยวนไม่ได้สนใจหลี่เฉินเย่นเท่าใดนัก เขาหันกลับมายิ้มให้ชูเซี่ยพลางเอ่ย “เจ้าถ่านป่วยแล้วล่ะ ข้าจึงพามันมาให้เจ้าดูอาการ” “เจ้าถ่าน?” สีหน้าของหลี่เฉินเย่นเปลี่ยนไป “เจ้าว่าผู้ใดเป็นเจ้าถ่าน” ชูเซี่ยเป็นฝ่ายอุ้มเจ้าถ่านมาไว้ในอ้อมแขนเสียเอง “แน่นอนว่าต้องเป็นมัน เหตุใดจึงป่วยได้เล่า เจ้าจะต้องแอบพามันไปเล่นน้ำที่ทะเลาสาปอีกแล้วใช่หรือไม่ ขอร้องล่ะ เจ้าก็หาใครสักคนมาเคียงข้างเถิดนะจะได้ไม่ต้องรบกวนพวกมันบ่อยๆ” หลี่เฉินเย่นมองเจ้าถ่านนิ่งๆจากนั้นก็กัดฟันถาม “เจ้าเรียกเจ้าสุนัขตัวนี้ว่าเจ้าถ่านงั้นหรือ” ชูเซี่ยยิ้มอย่างมีชีวิตชีวา “ใช่แล้วเจ้าค่ะ เพราะหรือไม่” หลี่เฉินเย่นมองปรามนางอย่างดุดันจากนั้นก็ส่งเสียงฮึแล้วสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป ชูเซี่ยและจูฟางหยวนมองหน้ากันพลางกระพริบตาปริบๆ จูฟางหยวนถามขึ้นอย่างประหลาดใจ “เขาโกรธอะไรหรือ เจ้าไปทำอะไรให้เข้าโกรธน่ะ” ชูเซี่ยส่ายหน้า นางเอ่ยอย่างงุนงง “ไม่ใช่ข้านะ เมื่อครู่เรายังดีๆกันอยู่เลย” จากนั้นทั้งคู่ก็ปรายตามองมาที่เจ้าถ่านแล้วก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน “เขาไม่ชอบสุนัข!”
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่ 75 ความรักที่บังเอิญ
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A