ตอนที่ 86 ตรวจอาการ
1/
ตอนที่ 86 ตรวจอาการ
ชายาเกิดใหม่ของข้า
(
)
已经是第一章了
ตอนที่ 86 ตรวจอาการ
ตนที่ 86 ตรวจอาการ ไทเฮาทรงบรรทมอยู่บนพระแท่นบรรทม ร่างอันอ่อนแอของพระนางถูกผ้าห่มปักลายดอกมู่ตานผืนหน้าปกคลุมอยู่ ภายใต้ผ้าห่มผืนหนาดูเหมือนกับไม่มีอะไรอยู่ใต้นั้น เศียรของพระนางหนุนอยู่บนหมอนผ้าแพร สองพระเนตรโตลืมกว้าง ทว่าไร้การจับภาพ สีพระพักตร์ซีดเหลือง พระเนตรบวม พระโอษฐ์แห้งซีดและค่อนข้างลอก มุมพระโอษฐ์เหมือนจะมีฟองน้ำลาย ชูเซี่ยสะเทือนใจมาก แต่ไม่ได้พบสามปี หญิงที่ทั้งเมตตาและเข้มงวดก็มีชีวิตร่อแร่แล้ว รูปร่างก็ดูซีดเซียว พระหัตถ์ของพระนางที่ผอมเหมือนเท้าไก่คลำอยู่บนเตียงสักพัก จากนั้นก็ยันพระแท่นบรรทมหมายจะลุกขึ้น ส่วนปากก็พร่ำตรัส “อันหรานของข้ามาหรือ อันหราน...” อันหรานไม่ได้พบกับไทเฮามานานหลายวันแล้ว พอเห็นว่าไทเฮาทรงเป็นเช่นนี้ก็รู้สึกค่อนข้างกลัว กอดพระศอของฮ่องเต้แน่นไม่ยอมเข้าไปหา ฮ่องเต้แย้มพระโอษฐ์พลางตรัสว่า “เสด็จแม่ อันหรานมาเยี่ยมแล้ว เขาบอกว่าคิดถึงเสด็จย่าทวดมากเลย” มามาก้าวเข้ามาประคองไทเฮาแล้วจัดหัวพระแท่นบรรทมโดยการวางเบารองนุ่มลงไปสองใบ ร่างของพระนางยังคงไถลลงมาเล็กน้อยด้วยความนั่งไม่อยู่ ฮ่องเต้ทรงนั่งตรงหน้าเตียง วางอันหรานไว้ข้างพระแท่นบรรทมแล้วกุมมือไทเฮา แล้วตรัสด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น “เสด็จแม่ เพื่ออันหราน เพื่อข้า เสด็จแม่ต้องสู้ต่อไปนะพ่ะย่ะค่ะ” ไทเฮายื่นมือไปลูบแก้มอันหราน ส่วนอันหรานเริ่มกลัวนิด ๆ แล้ว แต่เด็กน้อยก็มีความรู้สึกไวมาก เขารู้ว่าเสด็จย่าทวดรักและเอ็นดูเขา ดังนั้น เขาจึงไม่กลัวอีกต่อไป เขายื่นมือเล็ก ๆ ป้อม ๆ ไปจับพระพักตร์ของไทเฮาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงของเด็ก “เสด็จย่าทวดต้องเสวยเนื้อสัตว์ ต้องมีเนื้อมีหนังขึ้นนะพ่ะย่ะค่ะ” พระพักตร์ของไทเฮาก็ฉายความสดใสออกมา แย้มพระสรวลอย่างดีใจ รอยย่นบนพระพักตร์ยกขึ้นเหมือนหางปลาทอง แสดงความเมตตาอย่างไร้ที่เปรียบ พระนางผงกพระพักตร์ “ดี ดีจ้ะ ย่าทวดจะกินเนื้อ กินเนื้อ เชื่อฟังอันหราน” ฮ่องเต้ตรัสเสียงเบา “วันนี้ข้าพาหมอมาด้วยท่านหนึ่ง นางชำนาญด้านการฝังเข็ม ไม่สู้เสด็จแม่ลองให้นางตรวจดูหน่อยหรือ” สีพระพักตร์ไทเฮาพลันขรึมทันที พระวรกายค่อย ๆ เลื่อนลงนอนบนพระแท่นบรรทม หันพระขนองใส่ฮ่องเต้แล้วตรัสอย่างเย็นชา “ไม่ต้อง เจ้าออกไปเถอะ และไม่ต้องแส้งทำเสียงหัวเราะให้ข้าได้ยินหรอก ข้ารู้ว่าข้าใกล้ตายแล้ว พวกนางเองก็หัวเราะไม่ออก อย่าทำให้พวกนางต้องลำบากเลย” สีพระพักตร์ของฮ่องเต้เศร้าสลด ไม่กล้าเลี้ยกล่อม เกรงว่าจะกระตุ้นโทสะฮองเฮาจนทำให้อาการประชวรของพระนางทรุดหนักลง ฮ่องเต้อุ้มอันหรานขึ้นและตรัสว่า “ถ้าอย่างนั้นเสด็งแม่ทรงพักผ่อนเถิด” พระองค์กระพริบพระเนตรให้ชูเซี่ยเป็นสัญญาณให้ชูเซี่ยออกไป ชูเซี่ยลังเลอยูาชั่วครู่ ทันใดนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าย่อกายทำความเคารพ “ถวายพระพรไทเฮาเพคะ หม่อมฉันได้รับคำสั่งจากฝ่าบาทให้มาปรนนิบัติฮองเฮาเพคะ” ฮ่องเต้ตะลึงงัน แต่ต่อมาก็เข้าใจในความหมายของนาง สายพระเนตรทอดแววแห่งความชื่นชม ไทเฮาส่งเสียงอืมในลำคอ “ข้างกายข้ามีคนปรนนิบัติมากพอแล้ว แต่ในเมื่อเป็นน้ำพระทัยของฮ่องเต้ งั้นก็ให้อยู่นี่เถอะ” ชูเซี่ยรู้สึกเบาใจลง “ขอบพระทัยไทเฮาเพคะ” ฮ่องเต้ตรัสกับมามาที่เป็นข้ารับใช้ของฮองเฮาว่า “มามา เจ้าไปเบิกถ่านเงินบางส่วนจากห้องคลังเถิด ในห้องนี้หนาว ฝนก็ยังตกอีก จุดเตาถาดเสียหน่อยเถอะ” มามารู้ว่าฮ่องเต้มีเรื่องจะตรัสกับนาง นางย่อกายแล้วกล่าว “เพคะ หม่อมฉันจะไปเดี๋ยวนี้” นางพูดพลางเดินออกจากโถงห้องบรรทมไปพร้อมกับฮ่องเต้ ฮ่องเต่กระซิบตรัสกับมามา “เจ้าหาโอกาสให้ท่านหมอเวินได้รักษาไทเฮา จำไว้ว่าต้องระวังอย่าให้ไทเฮา...” มามาพลันตาแดงขึ้นมา “ฝ่าบาทมีพระทัยกตัญญู หม่อมฉันรู้สึกปลื้มใจแทนไทเฮาเพคะ” “ไปจัดการเรื่องให้เรียบร้อยเถอะ!” ฮ่องเต้ตรัส มามากล่าวรับคำแล้วถอยจากไป ภายในห้องบรรทม นอกจากชูเซี่ยแล้วยังมีนางกำนัลคอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ด้านข้างอีกไม่กี่คน ชูเซี่ยเห็นไทเฮาลืมพระเนตรอย่างเหม่อลอยอีกครั้งก็ครุ่นคิดชั่วครู่แล้วเอ่ยปาก “พระนางเพคะ หม่อมฉันพอมีทักษะการบีบนวดมาบ้าง ไม่สู้ให้หม่อมฉันลองนวดให้พระนางช่วยปัดเป่าความเมื่อยล้าดีไหมเพคะ” ไทเฮาหันพระวรกายมา แววพระเนตรไม่จับแสง พระนางตรัสขึ้นมาเบา ๆ “เอาสิ ในเมื่อฮ่องเต้ส่งเจ้ามา จะจัดการอะไรก็ต้องระมัดระวังอยู่แล้ว ข้าแก่เฒ่าแล้ว ก็ให้เขามีใจกตัญญูมากเท่าที่จะทำได้กฌแล้วกัน เจ้ามานั่งข้างข้าสิ” ชูเซี่ยรับคำแล้วก้าวเดินไปอย่างระมัดระวัง นั่งลงข้างพระแท่นบรรทม นางถูมือไปมา จากนั้นก็วางมือตรงขมับของไทเฮา ไทเฮาแปลกใจเล็กน้อยแล้วตรัส “มือของเจ้านี่อุ่นดีนะ” ชูเซี่ยยิ้ม “ไทเฮารู้สึกสบายก็ดีแล้วเพคะ” นางนวดขมับเบา ๆ นิ้วมือกลึงไปมาตรงเบ้าตาอย่างชำนาญ นางออกแรงนวดกลึงขมับไปมาอยู่สิบครั้ง จากนั้นก็นวดตรงเบ้าตาต่อ ทำแบบนี้ไปมาต่อเนื่องกันยี่สิบครั้ง ไทเฮาผ่อนคลายลงอย่างช้า ๆ ลมหายใจก็ค่อย ๆ สม่ำเสมอ ชูเซี่ยไม่กล้าบุ่มบ่ามฝังเข็ม เพราะยังไม่รู้อาการประชวรของฮองเฮาอย่างแน่ชัด ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่รู้ว่าการสูญเสียการมองเห็นของพระนางนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร นางนวดบริเวณศีรษะ ถือโอกาสตอนที่พระนางบรรทมอย่างผ่อนคลายนวดนิ้วให้พระนาง จากนั้นก็ใช้นิ้วนวดข้อมือและฉวยโกาสจับชีพจร แต่ไม่อาจหยุดอยู่ตรงจุดชีพจรนานเกินไปนัก เพราะพระนางมีประสาทสัมผัสไวมาก พอมือของนางแตะชีพจรบนข้อมือของพระนาง พระนางก็ดิ้นเอามือออก ชูเซี่ยจึงได้แต่นวดต่อไปเรื่อย ๆ ทั้งแขนและไหล่ จนพระนางผ่อนคลายลงอย่างช้า ๆ หลังจากที่มามากลับมาก็เห็นไทเฮาบรรทมไปแล้วก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ยิ้มมองชูเซี่ยด้วยสายตาชื่นชม พลางยกนิ้วให้นาง ชูเซี่ยยิ้ม จากนั้นก็พูดเสียงเบา “ไทเฮาบรรทมแล้ว ข้าจะไปถามอาการของประองค์จากท่านหมอหลวง ต้องรบกวนมามาคอยดูแลที่นี่แล้ว” มามาพยักหน้า “ท่านหมอรีบไปเถอะ” ชูเซี่ยหันกายแล้วออกไป ภายในห้องโถงใหญ่ บรรดาสนมต่างแยกย้ายกันไปแล้ว เหลือเพียงแค่หลี่เฉินเย่นกับหลี่อวิ๋นกังและชายาของเขาที่ยังอยู่ อันหรานก็ดูเหมือนจะถูกหรงเฟยอุ้มไปแล้ว หลี่เฉินเย่นก้าวมาข้างหน้าเอ่ยถามเสียงเบา “เป็นอย่างไรบ้าง” ชูเซี่ยส่ายหน้า “ตอนนี้ยังไม่รู้ ข้าต้องไปถามท่านหมอหลวงก่อน” “ข้าจะไปกับเจ้าด้วย!” หลี่เฉินเย่นพูด ชูเซี่ยพยักหน้าตอบ “ได้!” หลี่อวิ๋นกังนั่งลงบนเก้าอี้แล้วพูดเสียงเรียบขึ้นมา “เจ้านี่ช่างเป็นห่วงท่านหมอท่านนี้จริง ๆ หากไม่รู้อะไรก็คงคิดว่านางเป็นคนที่มีความหมายสำหรับเจ้า” ชูเซี่ยเงยหน้าขึ้นมองหลี่อวิ๋นกัง พระชายาเจิ้นหย่วนที่อยู่ข้าง ๆ ดึงแขนเสื้อเขาไว้ คิ้วขมวดมุ่นเล็กน้อยส่งสัญญาณเป็นนัยบอกเขาว่าไม่ต้องพูด หลี่เฉินเย่นกฃ่าวอย่างเย็นชา “ดูเหมือนเสด็จพี่จะคิดมากเกินไปแล้ว” อ๋องเก้าเดินเข้ามาจากนอกห้องโถง หน้าของเขาแฝงความโกรธเคืองไว้ “ข้ากลับมาครั้งนี้เห็นพวกเจ้าพี่น้องไม่เหมือนจะจะไม่สนิทสนมกันดั่งแต่ก่อนแล้ว แต่พี่น้องกันขัดแย้งกันเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่เปิดใจพูดกันก็เพียงพอแล้ว ทำเหมือนเด็กน้อยทะเลาะกันแบบนี้ ไม่กลัวว่าใครรู้เข้าแล้วจะหัวเราะเยาะเอาหรือ รีบ ๆ จับมือคุยกันเสีย” หลี่เฉินเย่นมองอ๋องเก้า ท่าทีผ่อนคลายเล็กน้อย จากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “เสด็จอา ท่านกลับมาเมืองหลวงแล้วทำไมไม่อยู่กับหลานล่ะ ตอนนี้ท่านพักอยู่ที่ไหนหรือ” อ๋องเก้ายิ้มพลางกล่าว “ตอนนี้พักอยู่ในวังนี่แหละ เสด็จพี่ให้ข้ากลับมาเมืองหลวงเพื่อเฝ้าไข้ แต่ถึงอย่างไรข้าก็อยู่ไม่นานหรอก ดังนั้น จึงไม่ได้พักที่จวนอ๋องเก้า ข้าก็คิดว่าจะไปหาพวกเจ้าพี่น้องอยู่ แต่นึกขึ้นได้ว่าช้าเร็วอย่างไรก็ต้องเจอกันที่วังอยู่ดีจึงไม่รีบร้อน” หลี่อวิ๋นกังกล่าวว่า “ไม่ได้พบเสด็จอานานแล้ว ในใจหลานนึกถึงเสด็จอาตลอด ถ้าอย่างไรหาเวลาไปดื่มสุรากับหลานที่จวนสักวันเถอะ” อ๋องเก้าตอบกลับว่า “ดี แต่นานแล้วที่ไม่ได้ดื่มเหล้ากับพวกเจ้าพี่น้อง ไม่ต้องหาวันหรอก วันนี้ก็ฉลองที่สวนดอกไม้ในวังหลวงเสียเลย ข้ากับพวกเจ้ามาดื่มให้เต็มที่กันไปเลย” ชูเซี่ยมองรอยยิ้มบนหน้าอ๋องเก้า ดูเหมือนเขากำลังพยายามจะเชื่อมความสัมพันธ์ของทั้งสอง แต่ใจนางรู้ชัด ว่าเขาหวังจะให้พวกเขาพี่น้องเป็นปรปักษ์กันกว่าใครอื่น นางถอนใจเบา ๆ รู้ความขมขื่นและน้อยจากก้นบึ้งในใจของเขาดี ตอนนี้เขากำลังตอบโต้กลับและถูกบีบบังคับให้ไร้เส้นทางเดิน พระชายาเจิ้งหย่วนยิ้มพลางกล่าว “เสด็จอาแนะนำได้ดีจริง ๆ ข้าเองก็มีจะสอบถามเกี่ยวกับเยว่โจวกับเสด็จอาอยู่พอดี ค่ำนี้ให้ข้าได้ร่วมด้วยได้หรือไม่” อ๋องเก้ายิ้มพลางมองพระชายาเจิ้นหน่วนแล้วกล่าวว่า “เย่เอ๋อร์ยังคงเป็นคนที่เข้าใจคนอื่นเสมอเหมือนเมื่อก่อนเลยนะ แน่นอนว่าร่วมได้ เย่เอ๋อร์ช่างให้เกียรติกันจริง ๆ” พระชายาเจิ้นหย่วนยิ้มอย่างอ่อนโยน “ถ้าเช่นนั้นก็ดียิ่ง” หลี่อวิ๋นกังกล่าวเสียงเรียบขึ้นมาทันที “ข้าว่าเปลี่ยนวันเถอะ ฝนวันนี้อาจจะไม่หยุดตกก็ได้ ลมหนาวก็พักพา มันไม่น่าดื่มสักเท่าไร” อ๋องเก้าหันไปมองหลี่เฉินเย่น “เฉินเย่นล่ะ” หลี่เฉินเย่นกล่าวด้วยสีหน้านิ่งเฉย “เสด็จอาเอ่ยชวนอย่างจริงใจ หลานไม่กล้าปฏิเสธ” ชูเซี่ยรู้ว่าเป็นเพราะเขาได้ยินว่าหลี่อวิ๋นกังไม่ไป ดังนั้น เขาจึงตอบตกลง แต่หากหลี่อวิ๋นกังไปด้วย เขาไม่เข้าร่วมด้วยอย่างแน่นอน พระชายาเจิ้นหย่วนได้ยินแล้วก็ดึงแขนเสื้อเขาแล้วพูด “ท่านอ๋อง ไปดื่มเป็นเพื่อนข้าหน่อยเถอะ ในเมื่อฝนตก งั้นก็เปลี่ยนสถานที่เป็นเรือนเซียงซือ รับลมมองฝน ดื่มเหล้าพูดความในใจ วาดภาพศิลป์ดีหรือไม่” หลี่อวิ๋นกังรักภรรยาของเขา แต่ไหนแต่ไรก็ไม่ขัดความคิดของพระชายา เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้ จึงได้แต่พูดอย่างฝืนใจ “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องถามเสด็จอาก่อนว่าหากเปลี่ยนสถานที่เป็นเรือนเซียงซือจะมีปัญหาหรือไม่ ร่างกายของเข้าบอบบาง อากาศก็หนาวเหน็บ ต้องระวังรักษาร่างกายให้ดี” พระชายายิ้มราวกับดอกมู่ตานเบ่งบาน “เสด็จอาต้องเห็นด้วยเป็นแน่!” นางหันไปมองอ๋องเก้า “ใช่ไหมเพคะ เสด็จอา” อ๋องเก้ายิ้มเบา ๆ “แน่นอนว่าไม่มีปัญหา!” เขามองชูเซี่ยอีกครั้ง จากนั้นก็เอ่ยถามความเห็น “ท่านหมอเวินจะไปด้วยหรือไม่” ชูเซี่ยเงยหน้าขึ้นมองเขา “ท่านอ๋องเอ่ยปากเชิญ เหตุใดจึงจะไม่ไปเล่า” อ๋องเก้าส่งเสียงอืม จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องโถง ชูเซี่ยกับหลี่เฉินเย่นไปที่สำนักหมอหลวง เพื่อพูดคุยกับหมอหลวงซ่างกวนที่รับผิดชอบเกี่ยวกับพระอาการของไทเฮา หมอหลวงซ่างกวนกล่าวว่า “หลังจากที่ไทเฮาทรงลื่นล้ม การมองเห็นก็เริ่มพร่ามัว บางครั้งก็ปวดพระเศียร ปวดจนไม่อาจทำอะไรได้ ปวดเมื่อยไปทั่วพระวรกาย แต่ไม่มีอาการบาดเจ็บภายนอก คาดว่ามีเลือดคั่งในพระเศียร เคยจัดยาละลายลิ่มเลือดให้แล้ว แต่เสวยไปก็ไม่ได้ผล ต่อมาการมองเห็นก็ค่อย ๆ แย่ลง จนถึงตอนนี้ก็เกือบจะมองไม่เห็นอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว” จากการคาดการณ์ของชูเซี่ยคือหลังจากที่ลื่นล้มน่าจะมีอาการเลือดออดในสมอง ลิ่มเลือดไปกดทับเส้นประสาทไว้จนทำให้ปวดหัวและมองไม่ชัด สำหรับการปวกเมื่อยตามร่างกายนั้น น่าจะเป็นเพราะดื่มยาละลายลิ่มเลือดมาเป็นเวลานาน ยาละลายลิ่มเลือดมาฤทธิ์เย็นมาก พระนางจึงรับไม่ไหว โชคดีที่ต่อมามีการเสริมยาบำรุงสายตาที่มีฤทธิ์ร้อนเข้าไป ดังนั้นจึงไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ตามมาหนักกว่าเดิม แต่เพราะดื่มยามาเป็นเวลานาน กระเพาะจึงทะลุ พอกระเพาะอาหารไม่ดี ความสมารถในการย่อยอาหารจึงไม่ดีไปด้วย ดังนั้นพระนางจึงผอมลง บวกกับสูญเสียการมองเห็นไป ความเครียดในใจจึงมากขึ้นจึงก่อให้เกิดอาการหูอื้อ รวมถึงอาการหลอน พระนางจึงคิดว่าเวลาของตนเองเหลือไม่มากนัก จึงยิ่งทำให้ไม่อยากรับการรักษา หากจะรักษาไทเฮาก็ต้องเอาลิ่มเลือดในสมองออก แต่ไม่ใช่ว่าการฝังเข็มจะเพียงพอต่อการรักษา เพราะสมองมีเลือดสะสม เลือดนี้จำต้องระบายออกมาสู่ภายนอก แน่นอนว่าลิ่มเลือดขนาดเล็กสามารถกินยาหรือขจัดลิ่มเลือดด้วยวิธีอื่นได้ แต่ระยะเวลาปีกว่า เลือดที่คั่งก็ยังอยู่ ดวงตาจึงเริ่มพร่าเลือดไปจนถึงขั้นสูญเสียการมองเห็นซึ่งพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าลิ่มเลือดนี้มีการเคลื่อนตัว ไม่อาจดูดออกได้ ดังนั้น ต้องใช้วิธีผ่าตัดระบายออก ทว่า แต่ไหนแต่ไรมาไทเฮาไม่ยอมรับการรักษา แม้แต่การตรวจชีพจรก็ยังรู้สึกตัวไวขนาดนั้น ดังนั้นจึงไม่ต้องพูดถึงการผ่าตัดระบายลิ่มเลือดเลย นอกจากนี้เครื่องมือที่ใช้ในการรักษาก็ไม่พร้อม รวมถึงเงื่อนไขของความไม่พร้อมในการทำการผ่าตัดอีก หมอหลวงซ่างกวนมองชูเซี่ยพลางเอ่ยถาม “ท่านหมอเวินมีวิธีหรือ” ชูเซี่ยว่ายหน้าอย่างกลัดกลุ้ม “ต้องกลับไปศึกษาดูก่อน การใช้ยานั้นไม่มีประโยชน์ หยุดใช้ยาชั่วคราวเถอะ จัดซุปบำรุงร่างกายที่มีฤทธิ์อุ่นให้พระนางเสวย เพื่อบำรุงร่างกายและใจจิตก่อนแล้วค่อย ๆ คิดหาวิธี” หมอหลวงซ่างกวนขมวดคิ้ว “ความจริงตอนนี้ก็หยุดยาแล้ว ไทเฮาทรงหมดความอยากอาหาร ช่วงไม่กี่วันมานี้เสวยน้ำซุปไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น” ชูเซี่ยกล่าวขึ้นว่า “ค่อยเป็นค่อยไป ค่อย ๆ ดูแลไปเถิด” หมอหลวงลังเลชั่วครู่ จากนั้นก็พูดกระซิบ “เกรงว่า เวลาจะเหลือไม่มากนี่สิ!” ทว่าชูเซี่ยกลับส่ายหน้า “ไม่หรอก ยังพอมีความหวังอยู่ จิตใจนั้นสำคัญมาก อวัยวะภายในของพระนางยังไม่เสื่อมถอย ต้องบำรุงให้พอดีอีกสักพัก หากคิดหาวิธีรักษาตาได้ พระนางต้องดีขึ้นแน่” ทว่าหมอหลวงซ่างกวนไม่ได้มองในแง่ดี “เกรงว่าจะไม่ง่ายขนาดนั้นน่ะสิ ตอนนี้ไทเฮาทรงไม่ยอมให้พวกเราตรวจเสียด้วยซ้ำ” ชูเซี่ยนิ่งคิดสักพัก จากนั้นก็พูด “ต้องคิดหาวิธีก่อน พอถึงตอนที่ต้องบังคับ หากจะมัดก็ต้องทำ” หมอหลวงตกใจ พลางมองชูเซี่ยอย่างตกใจ ช่าง...เป็นหมอหญิงชาวย้านที่กล้าหาญเสียจริง!
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่ 86 ตรวจอาการ
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A