ตอนที่ 116 ขาดแค่ก้าวเดียว
1/
ตอนที่ 116 ขาดแค่ก้าวเดียว
ชายาเกิดใหม่ของข้า
(
)
已经是第一章了
ตอนที่ 116 ขาดแค่ก้าวเดียว
ตนที่ 116 ขาดแค่ก้าวเดียว ยามพลบค่ำ หลี่เฉินเย่นพา เฉินอวี่จู๋เข้าวังขอบพระทัย ฮ่องเต้กำลังจัดงานเลี้ยงอยู่ในตำหนักเจิงหยาง ท่าน เจิ้นหยวนอ๋องอย่าง หลี่อวิ่นกังก็พาทั้งครอบครัวเข้ามาในวังด้วยเช่นกัน ยังมีฮองเฮา หลิงกุ้ยเฟย หรงเฟยและฉินเฟยที่คอยอยู่เป็นเพื่อน ย่อมจะต้องมีท่านอ๋องเก้าและราชครูอย่างแน่นอน เดิมที ชูเซี่ยไม่คิดที่จะออกมาเข้าร่วม แม้ว่าครั้งนี้จะเป็นการเข้าวังเพื่อขอบพระทัย แต่ความจริงแล้วฮ่องเต้มีแผนการอะไร ทุกคนล้วนกินอยู่กับปาก อยากอยู่กับท้อง คืนนี้เพียงนางหรือว่าหลี่เฉินเย่นแสดงความรู้สึกที่ผิดปกติใดๆออกมา ฮ่องเต้ล้วนสามารถก่อปัญหาขึ้นมาให้ถูกลงโทษได้ แยกจากกันมานานกว่าสามเดือนแล้ว นางยังบอกตนเองว่าห้ามทำสีหน้าที่ไม่ปกติอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้างกายเขามี เฉินอวี่จู๋หญิงสาวที่เหมือนกับหลิวหยิงหลงอย่างมากคนนั้น และนางเชื่อว่าเขาก็คงทำใจให้มั่นคงไม่แปรเปลี่ยนไม่ได้ เพราะตอนนี้นางถูกมองอยู่ในตำแหน่งที่เรียกว่าหวงกุ้ยเฟย แม้ว่ายังไม่ได้มีพิธีการแต่งตั้งอย่างเป็นอย่างการก็ตาม แต่ผู้คนใต้บังคับบัญชาล้วนเรียกขานางเช่นนี้แล้ว แต่ว่าฮ่องเต้กลับไม่อนุญาตไม่ให้นางไม่เข้าร่วมงานครั้งนี้ ก่อนหน้านี้ได้ส่งคนมาบอกกล่าวแก่นางให้รับทราบแล้ว และส่งชุดกระโปรงที่สวมใส่ในวังที่มีเนื้อผ้านุ่มลื่นมาหนึ่งชุด พร้อมกับชุดพิธีการและหมวกสำหรับสวมที่ล้ำค่าประดับด้วยหงส์ทองแปดตัวด็เจิดจ้าท้าดวงตะวันของหวงกุ้ยเฟย ความหมายคือนางต้องแต่งกายให้ดูดีสง่างาม นางอยู่ในตำหนักเซียะหลานมองไปยังกองเครื่องประดับและเสื้อผ้า ในใจก่อเกิดเบื่อหน่ายอย่างไม่มีสาเหตุ แต่ด้านนอกของ ชูเซี่ยคล้ายกับตะวันยามสายัณห์ที่ยาวนานเหลือเกิน วันเวลาที่อยู่ในตำหนัก จากกลางวันถึงกลางคืนล้วนไม่มีความหวัง เพียงใช้ชีวิตอย่างศพเดินได้เนื้อเดินได้เช่นนั้น และฝีมือด้านการแพทย์ทั้งหมดที่นางได้ร่ำเรียนมา ไม่มีประโยชน์อันใดเลยสักนิด นางในตอนนี้ก็เหมือนกับคนพิการคนหนึ่ง อยากหนีจากพระราชวังแห่งนี้ นางในตอนนี้พูดได้เลยว่า เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ง่ายดายมาก แต่ว่านางไม่เลือกที่จะหลบหนีไป ก็เพราะว่าในใจยังคงมีความห่วงใย นางจึงจำเป็นต้องทำเหมือนมองไม่เห็นหลี่เฉินเย่นให้ได้ ให้ฮ่องเต้เชื่อว่าระหว่างพวกเขาไม่มีความสัมพันธ์ส่วนตัวใดๆต่อกันอีกแล้ว เมื่อถึงเวลาที่นางจากไป ฮ่องเต้ก็ไม่อาจที่จะลงโทษกับหลี่เฉินเย่นได้อีก ความรู้สึกของนางและหลี่เฉินเย่น ในมุมมองของฮ่องเต้คือความผิดตั้งแต่เริ่มต้น และเขายืนกรานต้องการให้ตนเข้าวัง เพียงกลัวว่านั้นจะใช้ตนมาชักจูงหลี่เฉินเย่นได้ อย่างน้อยมีนางอยู่ในวังตอนนี้ หลี่เฉินเย่นก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรที่พลีพลาม ขัดแย้งกับผู้คนมากมายเสียจริง ทั้งที่เขาไม่ได้หวังว่าหลี่เฉินเย่นกับตนจะยังเด็ดบัวยังเหลือใย แต่กลับต้องทำให้พวกเขาเหนี่ยวยั้งกันเอาไว้ หัวใขของ ชูเซี่ยได้แต่ถอนใจออกมาอย่างเงียบๆ นำชุดฮั่วฟูที่อยู่ด้านข้างขึ้นสวมใส่ แล้วพูดกับนางข้าหลวงชิงหลันว่า “เปลี่ยนเป็นอีกชุดเถอะ ข้าไม่อยากสวมชุดนี้” ชิงหลันเอ่ยอย่างกังวลว่า “แต่ชุดนี้คือชุดที่ฝ่าบาทให้คนนำส่งมานะเพคะ หากว่าหวงกุ้ยเฟยไม่สวมใส่ กลัวว่าฮ่องเต้จะลงอาญานะเพคะ” ชูเซี่ยเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “หากอยู่ในพระราชวังแห่งนี้ ข้าไม่มีอิสระแม้ที่จะเลือกสวมใส่เสื้อผ้าด้วยตนเอง ข้ามีชีวิตอยู่ยังจะมีความหมายอันใด ทำตามที่ข้าบอกเถิด เกิดเรื่องอันใดข้ารับผิดชอบเอง ” ชิงหลันจึงทำได้เพียงทำตามที่นางสั่งไปที่ตู้เสื้อผ้านำชุดผ้าซาตินสีฟ้าที่นางได้สวมใส่เมื่อวันก่อนออกมา ซูเชี่ยเลือกเสื้อผ้าด้วยตนเอง เดินเข้าไปด้านหลังฉากบังแล้วลงมือเปลี่ยนชุดที่สวมใส่ หลังจากนั้นเลือกปิ่นปักผมสีมรกตขึ้นมาหนึ่งอันปักลงบนศีรษะ ปิ่นปักผมอันก่อนหน้านี้นี้ได้หล่นหายไป ปิ่นอันนี้เป็นปิ่นที่นางใช้ของตนซื้อมาจากในตลาดนัดราคาสามสิบเหรียญ ชิงหลันมองนางแล้วเอ่ยว่า “หวงกุ้ยเฟยแบบนี้ไม่ดูธรรมดาเกินไปหรือเพคะ” ในวังหลังแห่งนี้ มีผินเฟยผู้ใดสวมใส่เสื้อผ้าที่ดูล้ำค่าหรูหราเช่นนี้หรือไม่ แล้วโอกาสที่โฮ่วเฟยจะได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ไม่ใช่จะมีทุกครั้ง สามารถร่วมเสวยกับฮ่องเต้ ล้วนจะต้องพยายามทำทุกอย่างแน่นอน แต่งกายสวยงามราวกับเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ แต่เจ้านายของนางผู้นี้ แตกต่างกับผู้อื่นเสียจริง แม้ทำเช่นนี้จะดี แต่วันเวลาของการต่อสู้ในวังหลังเพื่อความโปรดปรานนั้นยาวนานและไม่มีวันสิ้นสุดนั้นจะสามารถต่อสู้ได้ถึงเมื่อไหร่กัน วิธีที่ใช้ในการแย่งชิงความโปรดปรานมักจะต้องสูญเสียคนที่อยู่รอบตัวของพวกนางไป หากไม่ได้มีเรื่องกับผู้ใด ก็คงใช้ชีวิตได้อย่างที่สงบสุข ฮองเฮาทรงสวมเสื้อคลุมลายหงส์ที่เป็นชุดพิธีการของฮองเฮาดูสูงส่งสง่างามไร้ที่ติ ชูเซี่ยมองออกตั้งแต่ไกลๆ ตัวนางนั้นนั่งอย่างเฉยเมยอยู่ข้างกายของฮ่องเต้ ลักษณะท่าทางนั้นมองไม่เห็นความผิดปกติใด ๆ เลย มือทั้งสองข้างวางทับซ้อนกันไว้ที่หัวเข่า มุมปากประดับไปด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนนุ่นนวล นี่เป็นครั้งแรกที่พบกับฮองเฮา หลังจากที่ ชูเซี่ยได้เขาวังมา นางไม่ได้พบหน้าฮองเฮา เพราะนางทราบดีว่าเมื่อก่อนฮองเฮาถูกกักบริเวณกระทั่งอีกนิดเดียวก็จะถูกปลดจากตำแหน่ง ล้วนเป็นเพราะนาง และฮองเฮาคือคนที่นางเคารพและเลื่อมใสมากที่สุดคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าตอนนี้ฮองเฮาก็คือฮองเฮาเช่นเดิม แต่ในใจของนางชื่อเสียงของตนคงจะฉาวโฉ่ไปแล้ว เป็นสตรที่เคยได้รับความอัปยศอย่างนั้น วันนี้นั่งอยู่ข้างกายบุรุษที่ไร้รักและเยื่อใยผู้นั้น กลับไม่ได้แสดงความคับแค้นใจที่มีออกมา พร้อมทั้งยังดูน่านับถือใจกว้าง เปลี่ยนเป็นตนนางคงทำเช่นนั้นออกมาไม่ได้เด็ดขาด ข้างกายของฮองเฮา คือหลิงกุ้ยเฟย หรงเฟยและฉินเฟยตามลำดับ ส่วนอ๋องเก้านั่งอยู่ด้านข้างของฉินเฟย ใกล้กันนั้นคือราชครู คู่ของหลี่เฉินเย่นและพระชายายังมาไม่ถึง คู่ของท่าน เจิ้นหยวนอ๋องและพระชายาพร้อมกับอานเหยียนนั่งอยู่ด้านตรงข้ามกับอ๋องเก้า ด้านข้างของเขามีตำแหน่งเว้นว่างไว้สองตำแหน่ง คิดว่าสำหรับหลี่เฉินเย่นและพระชายา ฮ่องเต้เงยหน้าขึ้นมอง ชูเซี่ย ขมวดคิ้วขึ้นคล้ายกับว่าไม่ค่อยพอพระทัยกับเสื้อผ้าที่นางสวมใส่ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา เพียงเอ่ยทักทายอย่างราบเรียบว่า “มาแล้วหรือ มานั่งที่ข้างๆ ข้าสิ” ชูเซี่ยเดินเข้าไป ย่อการคารวะ “ถวายบังคมฝ่าบาท ถวายบังคมฮองเฮา ถวายบังคมหรงเฟย....” “พอแล้ว นั่งลงเถิด” เมื่อฮ่องเต้เห็นนางแสดงคารวะทีละคน จึงไม่พอใจเล็กน้อย “ตอนนี้เจ้าคือหวงกุ้ยเฟย ตอนนี้ให้พวกนางแสดงความเคารพต่อเจ้าถึงจะถูกต้อง” เมื่อหลิงกุ้ยเฟย หรงเฟยและฉินเฟยได้ฟังเช่นนั้น ก็สบตากับแวบหนึ่งแล้วรีบลุกขึ้นออกมาจากที่นั่ง “หม่อมฉันถวายบังคมหวงกุ้ยเฟยเพคะ” ชูเซี่ยยืนอยู่อย่างเก้อเขิน ไม่รู้ว่าจะตอบกลับเช่นไร เมื่อฮองเฮาเห็นท่าทางเช่นนั้น จึงหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “พอแล้ว ล้วนเป็นพี่น้องคนกันเอง ไม่ต้องมากพิธี ล้วนนั่งลงกันซะเถิด” เมื่อเป็นเช่นนี้ทั้งสามคนจึงนั่งลง ชูเซี่ยก็ไม่มีทางเลือกจึงเข้าประจำที่นั่งของตน สายตาของนางเผชิญหน้ากับอ๋องเก้า อ๋องเก้ากระวนกระวายมองยังนาง สีหน้าที่ดูนิ่งเฉยเล็กน้อยของนางนั้นทำให้เขามีแววตาที่ดูผ่อนคลาย ถึงเวลานี้ฮ่องเต้ก็ทรงไว้วางพระทัยราชครู งานเลี้ยงของพระราชวงศ์ก็ยังต้องให้เขาคอยติดตามอยู่ด้านข้าง แสดงว่าตอนนี้ราชครูพูดสิ่งใด เขาล้วนเชื่อฟังปฏิบัติตามแล้ว ชูเซี่ยเพิ่งนั่งลง หลี่เฉินเย่นและพระชายาก็มาถึง แม้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผินเฟยทุกท่านพบเจอกับ เฉินอวี่จู๋ แต่ว่าวันนี้ เฉินอวี่จู๋สวมใส่กระโปรงยาวลวดลายคล้ายดอกกล้วยไม้ ปักปิ่นหยกขาวลงบนผมทรงมวยตกหลังม้า ที่มีรูปร่างคล้ายหางของหงส์ที่ฝังประดับลงไปด้วยมรกตดูล้ำค่า มองไกลๆ เช่นนี้เหมือนกับหลิวหยิงหลงแทบจะแปดเก้าส่วนเลยที่เดียว แม้แต่การแต่งกายก็ล้วนเหมือนนางราวกับแกะ ตอนนี้เหลือที่นั่งว่างเพียงสองตำแหน่ง คือใกล้กับ ชูเซี่ยและ เจิ้นหยวนอ๋อง หลังหลี่เฉินเย่นพา เฉินอวี่จู๋ทำการคารวะแล้วเสร็จ ก็ให้ เฉินอวี่จู๋นั่งลงใกล้กับ ชูเซี่ย และเขานั่งลงที่ด้านข้าง ใกล้ชิดกับ เจิ้นหยวนอ๋อง หน้าตาของฮ่องเต้นั้นช่างดูเย็นชา มองหลี่เฉินเย่นอย่างเฉยเมยแวบหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “คืนนี้ยังรู้สึกว่าหนาวเย็นอย่างมาก อีกทั้งอวี่จู๋กำลังตั้งครรภ์ ใยจึงสวมใส่เสื้อผ้าที่บางเบาเช่นนี้หรือ สามีเจ้าผู้นี้รู้ดีว่ามีบางสิ่งที่ไม่ควรทำ” เฉินอวี่จู๋กระวนกระวายเอ่ยว่า “ขอบพระทัยเสด็จพ่อที่ทรงเป็นห่วงเพคะ อวี่จู๋แข็งแรงดีเพคะ” หลี่เฉินเย่นเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “แม้ว้าคืนนี้จะรู้สึกว่าหนาวเย็น แต่เพียงเดินทางมาเช่นนี้ ร่างกายก็ยังอบอุ่น เสด็จพ่อไม่ต้องเป็นกังวล ตอนนี้ร่างกายของอวี่จู๋แข็งแรงขึ้นแล้วพะย่ะคะ” สายตาที่มองของเขาไม่ได้มองไปที่ ชูเซี่ย และ ชูเซี่ยก็ก้มหน้าลงไม่มองที่เขา น้ำเสียงและกลิ่นอายของเขาล้วนเพียงพอที่จะข้ามผ่าน เฉินอวี่จู๋ที่นั่งอยู่ด้านข้างของนาง เขายังเป็น หนิงอานอ๋องที่นางแสนคุ้นเคย แต่ว่าเราทั้งสองคนไม่มีสิ่งใดที่สามารถมาบรรจบกันได้อีกแล้ว นางควบคุมจิตใจให้มั่นคง แล้วฟังฮ่องเต้กล่าว “เฉินเย่น เรื่องสมคบกับศัตรู ข้าตรวจสอบอย่างชัดเจนแล้ว ความจริงคือเจ้าถูกคนใส่ร้ายป้ายสี เจ้าคงไม่โทษที่พ่อทำเช่นนี้กับเจ้าใช่หรือไม่” ฮ่องเต้เอ่ยถาม หลี่เฉินเย่นเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า “ลูกจะกล่าวโทษเสด็จพ่อได้อย่างไร?ในทางกลับกันลูกยังต้องขอบพระทัยเสด็จพ่อที่เชื่อมั่นในตัวลูก สั่งให้คนตรวจสอบเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด ลูกจึงสามารถล้มล้างมลทินได้” ฮ่องเต้ทรงพยักหน้าอย่างทรงพอพระทัย “เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว เพราะว่าเจ้าคือบุตรชายของข้า ข้าไม่สามารถเลือกปฏิบัติเพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ส่วนตัวได้ มิฉะนั้นเกียรติยศและอำนาจของแคว้นจะยังมีอยู่หรือ ประกาศออกไปก็เพียงถูกเยาะเย้ยอย่างหนักไปทั่วทุกหนทุกแห้งว่าข้าเข้าข้างเพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ส่วนตัว ทำลายกฏระเบียบของราชสำนัก” สีหน้าของหลี่เฉินเย่นยังคงเคารพยำเกรงเช่นเดิม “ลูกเข้าใจพะย่ะคะ” ฮองเฮาเอ่ยอย่างมีรอยยิ้มว่า “ตอนนี้เรื่องราวได้ตรวจสอบชัดเจนก็ดีแล้ว ความจริงแล้วเสด็จพ่อของเจ้าจะยอมให้เจ้าได้รับความไม่เป็นธรรมได้อย่างไร วันเวลาที่เขาถูกขังในคุกหลวงเขาก็กังวลอยู่ตลอดเวลา ออกราชโองการหลายฉบับให้คนตรวจสอบเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด หากไม่ใช่เสด็จพ่อของเจ้าสั่งกำชับดูแลอย่างใกล้ชิด กลัวว่าตอนนี้เรื่องจริงก็ยังไม่ปรากฏออกมา” สายตาของหลี่เฉินเย่นมองประสานไปยังฮ่องเต้ เอ่ยอย่างซาบซึ้งว่า “ลูกทำให้เสด็จพ่อกังวลแล้วพะย่ะคะ” สายตาของฮ่องเต้เต็มไปด้วยรักใคร่และเมตตา มองเขาอยู่เป็นเวลานาน แล้วเอ่ยขึ้นอย่างช้า ๆ ว่า “ข้ามีบุตรเพียงสองคน คือเจ้าและอวิ่นกัง ทุกคนล้วนมีความสำคัญ แต่บางครั้งพวกเจ้าก็ต้องเจ้าใจจุดยืนของพ่อ ทุกสิ่งของพ่อในอนาคตล้วนเป็นของพวกเจ้า อย่าเพราะเรื่องราวอันเล็กน้อย ทำลายความรู้สึกของพวกเราพ่อลูก ” ประโยคนี้ของฮ่องเต้ พูดได้อย่างคลุมเครือและเป็นความคิดที่ไร้หลักการ แต่ไม่มีผู้ใดเอ่ยซักถามหรือสงสัย คิดแล้วตัวเขาเองก็คิดว่าช่างน่าขันสิ้นดี ดังนั้นหลังจากพูดจบ สีหน้าจึงดูเคร่งขรึมลงทันที ท่าทีของอ๋องเก้าในตอนนี้ ยกแก้วสุราขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มที่ดูคล้ายเกียจคร้าน “ฝ่าบาท พวกท่านพูดกับจบแล้วใช่หรือไม่ สุรานี้ล้วนเย็นชืดแล้ว หม่อมฉันยังรอที่จะใช้จอกนี้ดื่มคารวะเสด็จพี่นะพะย่ะคะ ” ฮ่องเต้ทรงพระสรวลมองยังอ๋องเก้า “อ้าว เจ้าเก้าผู้นี้ บีบบังคับว่ารอไม่ไหวเช่นนั้นหรือ เจ้าดื่มคารวะเช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว แต่คงจะมีเรื่องที่จะพูดสินะ” อ๋องเก้ายืนขึ้น เกาหัวใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ยังจำเป็นต้องเอ่ยสิ่งใดอีกหรือ เจ้าเห็นหรือไม่ราชวงศ์ของพวกเราปรองดองรักใคร่ อานเหยียนเฉลียวฉลาด อวี่จู๋ก็กำลังตั้งครรภ์ เฉินเย่นก็ล้างมลทินได้จากข้อสงสัยสมคบคิดกับศัตรู เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ล้วนไม่สำคัญแล้ว ตอนนี้มีเรื่องราวที่น่ายินดีที่ยิ่งใหญ่กว่า เพียงพอที่จะให้พวกเราดื่มกันหมดแก้ว ” ฮ่องเต้แสร้งทำเป็นโมโหเล็กน้อยว่า “อืม ความจริงคือดื่มหมดแก้วไปแล้ว แต่ข้าอยากที่จะดื่มต่อ แก้วนี้เจ้าพาพระชายาคนใหม่ของเจ้ามาดื่มคารวะข้าสิ เจ้าก็อายุอานามไม่ใช่น้อยแล้ว ควรจะเป็นต้องมีความมั่นคงได้แล้ว ” อ๋องเก้าเอ่ยอย่างเป็นธรรมชาติว่า “เสด็จพี่ จุดนี้กระหม่อมและฝ่าบาทไม่เหมือนกันพะย่ะคะ หม่อมฉันเสพสุขกับความอิสรเสรี แต่ไม่ชอบถูกสตรีกำหนดให้อยู่ในกรอบพะย่ะคะ” ฮ่องเต้เผลอหัวเราะออกมา “คนละประเภท คนละประเภทจริงๆ แต่สายโลหิตนี้ของเจ้า ไม่สามารถไร้ผู้ใดสืบทอดอีก ข้าให้เวลาเจ้าสามเดือน หากในสามเดือนนี้เจ้าหาพระชายาไม่เจอ ข้าก็จะประราชประทานสมรสให้กับเจ้า” ฮองเฮาก็ทรงแย้มสรวลเอ่ยว่า “ใช่แล้วเพคะ น้องเก้าเจ้าก็อายุอานามไม่ใช่น้อยแล้ว ควรที่จะมีพระชายาและบุตรธิดาได้แล้ว ” ชูเซี่ยกดดันให้ใจของตนคอยฟังคำพูดที่น่าขบขันของพวกเขาอยู่ตลอดเวลา ทันใดนั้นนางคิดว่าร่างกายของ เฉินอวี่จู๋นั่นดูสั่นไหว นางจึงเอี้ยวศีรษะไปมอง พบว่าสีหน้าของนางนั้นซีดเซียวเล็กน้อย มือที่วางกุมกันไว้ก็สั่นเทาเล็กน้อย ทั่วร่างดูคล้ายกับว่ามีความหวาดกลัวอย่างมาก ชูเซี่ยคิดว่าร่างกายของนางไม่แข็งแรง เพิ่งคิดที่จะเข้าไปไถ่ถามใกล้ ๆ กลับพบว่าขาทั้งสองข้างของนางได้ยึดกระโปรงสีขาวมรกตที่วางอยู่นั้นเอาไว้แน่น นางจึงเข้าใจบางส่วนแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ระดูของ เฉินอวี่จู๋มาแล้ว ชูเซี่ยตกตะลึงอย่างมาก สถานการณ์เช่นนี้ ในช่วงเวลาเช่นนี้ หากถูกเปิดโปงว่านางหลอกลวงว่าตั้งครรภ์ กลัวว่าคนที่พัวพันก็คงมีมากมาย อย่างน้อยหมอหลวงชางกวนและหลงเฟย ทั้งสองคนนี้ต้องถูกตัดศีรษะอย่างแน่นอน เฉินอวี่จู๋มองไปทางหลี่เฉินเย่น แต่สายตาของหลี่เฉินเย่นกลับมองไปที่ใบหน้าของฮ่องเต้ จึงไม่เห็นว่าความผิดปรกติของ เฉินอวี่จู๋ เฉินอวี่จู๋จึงกระวนกระวายถอนสายตากลับมา หน้าตาตระหนกตกใจนั่งนิ่ง ชูเซี่ยมองนางลุกลี้ลุกลนเช่นนี้ คนที่อยู่ด้านข้างสามารถมองเห็นเบาะแสออกมาจนได้ ถึงตอนนั้นถูกถามบีบบังคับออกมา กลัวว่าอาจจะปิดบังไว้ไม่ได้ นางยื่นมืออกไปกุมมือของ เฉินอวี่จู๋ ถอนหายใจออกมา “มือของพระชายาใยเย็นยะเยือกเช่นนี้ ดวงอาทิตย์เพิ่งลับลงไปจึงหนาวเย็นเล็กน้อย ตอนนี้ท่านกำลังตั้งครรภ์ไม่ว่าวันใด ต้องคอยระวังรักษาความอบอุ่นของร่างกายให้ดี ” เฉินอวี่จู๋สงสัยและประหลาดใจมองไปยังนางไม่หยุด คิดขึ้นมาได้ว่าครั้งที่แล้วก็เป็นนางคอยช่วยเหลือจึงสามารถหลอกฮ่องเต้ได้ แม้นางจะเลอะเลือน แต่ว่าหลังจากนั้นก็ตรวจสอบจนได้ความกระจ่างแล้วว่านางคือ ชูเซี่ย เป็นท่านหมอเวินที่เคยอาศัยอยู่ในจวนช่วงหนึ่ง ตอนนี้พบนางพูดจาเช่นนี้ ไม่รู้ว่านางมีจุดประสงค์อะไร นางกลัวว่า ชูเซี่ยจะเรียกให้นางลุกขึ้นแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ เลยเอ่ยอย่างรีบร้อนว่า “ไม่หนาว ไม่หนาวเพคะ ขอบพระทัยหวงกุ้ยเฟยที่เป็นห่วงเพคะ ” ฮ่องเต้มองไปที่นาง ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “สีหน้าของเจ้าซีดเซียวเช่นนี้ ไม่ใช่ร่างกายไม่ปกติหรือ ตอนนี้เจ้ากำลังตั้งครรภ์ ไม่อาจที่จะประมาทเลินเล่อ ตามคนมา พยุงพระชายาไปพักผ่อนที่หอฉ่ายเวย” เฉินอวี่จู๋ตกตะลึง วันนี้นางสวมกระโปรงสีขาวหยกทั้งตัว เพียงลุกขึ้นทุกอย่างที่ปิดปังเอาไว้ก็ล้วนแดงขึ้นมา นางรีบเอ่ยขึ้นว่า “เสด็จพ่อ หม่อมฉันสบายดีเพคะ ความจริงเพียงแค่พูดกับหวงกุ้ยเฟยว่าหนาวเล็กน้อยเท่านั้นเพคะ” ฮ่องเต้เอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “ประเดี๋ยวเอ่ยว่าไม่หนาวเย็น ประเดี๋ยวก็เอ่ยว่าหนาวเย็น เข้าเป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็ไม่รู้จักที่จะถนอมตนเองเลยอย่างนั้นหรือ เฉินเย่นพาพระชายาของเจ้สไปส่งให้พักผ่อนที่หอฉายเวยก่อน สั่งคนต้มโจ๊กข้าวฟางให้กับนาง ตอนนี้นางอุ้มท้องอยู่คือลูกหลานของราชวงค์ของพวกเรา จะเลินเล่อไม่ได้ ” หลี่เฉินเย่นเห็นว่าสีหน้าของ เฉินอวี่จู๋ซีดเซียวอย่างแท้จริง จึงเอ่ยตอบรับว่า “ลูกรับด้วยเกล้าพะย่ะคะ” เอ่ยจบ ก็โอบอุ้ม เฉินอวี่จู๋ลุกกายขึ้น เฉินอวี่จู๋เอ่ยขู่ด้วยสีหน้าที่ซีดเซียว โบกมือไปมาอย่างวุ่นวายแลดูหวาดหวั่น “ไม่ ข้าไม่ไปเพคะ”
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่ 116 ขาดแค่ก้าวเดียว
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A