ตอนที่ 141 พูดความจริงออกมา   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 141 พูดความจริงออกมา
ต๭นที่ 141 พูดความจริงออกมา ใต้เท้าซือคงหันกลับมามองเชียนซาน ดวงตาที่แสดงขึ้นความอ่อนแอฉายวาบขึ้นมาก่อนถูกกลบไปอย่างรวดเร็ว “ไม่ล่ะ!” แม้ว่าท่าทางของชายหนุ่มผู้นี้จะดูเหมือนเย็นลงแล้ว แต่ทว่าน้ำเสียงที่สั่งเล็กน้อยก็ยังฟ้องให้เห็นสภาพจิตใจของเขาอยู่ดี เชียนซานเงยหน้ากระอดสุราเข้าปากคำโตจากนั้นก็เอ่ยเสียงเย็น “ยังต้องรออีกนานนัก ท่านก็ทำใจให้สบายก่อนเถิด!” ใต้เท้าซือคงหนุ่มทำสีหน้าครุ่นคิดก่อนจะหยิบไหสุราในมือของเชียนซานไปและยกดื่มขึ้นคำใหญ่ๆจนเป็นเสียงดังอึกอึก จากนั้นก็ยกมือขึ้นเช็ดสุราที่มุมปากของตนและเริ่มเงียบอีกครั้ง หลวี่หนิงเห็นว่าความขุ่นเคืองก่อนหน้านี้ของเชียนซานที่มีต่อตนหายไปแล้วก็ย้อนกลับไปนึกถึงของสิ่งนั้นที่มารดาของนางทิ้งไว้ให้เป็นของดูต่างหน้าแก่หญิงสาวคนนี้ แม้ว่าเขาจะถูกเชียนซานสบประมาทและลงไม้ลงมือแล้ว แต่ทว่าส่วนลึกในจิตใจของเขาก็ยังอดที่จะรู้สึกผิดไม่ได้ แม้ว่าตอนนี้เขาจะเห็นว่าใบหน้าของนางเรียบสงบแต่ว่าเขาก็ยังอยากเอ่ยขออภัยแก่นางอยู่ดี “แม่นางเชียนซาน ข้าขออภัยเจ้าจริงๆ ที่ทำปิ่นปักผมของเจ้าหัก ขออภัยจริงๆ!” เดิมทีเชียนซานก็รู้สึกโมโหมากแต่ความกรุ่นโกรธก่อนหน้านี้ก็หายไปเกือบหมดแล้ว อีกอย่างตัวปิ่นเองก็ถูกซ่อมแล้ว นายหญิงสั่งให้ช่างทำเครื่องประดับในวังหลวงซ่อมแซมให้นางแล้ว ตอนนี้มันถูกห่อด้วยทองคำบริสุทธิ์ดูๆไปแล้วก็ไม่เลว หญิงสาวดึงปิ่นปักผมออกมาจากผมแล้วชี้ไปตรงตำแหน่งที่ถูกห่อหุ้มด้วยทองคำให้อีกฝ่ายดู “แม้ว่าปิ่นจะถูกซ่อมไปแล้วก็จริง แต่ทว่าท่านเองก็ต้องชดเชยให้ข้าอยู่ดี เพราะว่าตรงตัวปิ่นตรงนี้มันหุ้มด้วยทองคำบริสุทธิ์ ท่านต้องชดเชยให้ข้าสิบสองตำลึงทอง!” หลวี่หนิงก็รีบร้อนเอ่ย “ข้าชดใช้ให้ ข้าชดใช้ให้ แต่ตอนนี้ข้าไม่มีเงินสิบสองตำลึงทองอยู่กับตัว พรุ่งนี้ข้าจะนำมาให้เจ้าแน่!” ใต้เท้าซือคงที่ได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่ก็รู้สึกวุ่นวายอยู่บ้าง ในเวลาเช่นนี้เมื่อมีเสียงอึกทึกเล็กน้อยก็ทำให้หัวใจของเขารู้สึกกังวลและวุ่นวายมากขึ้น ดังนั้นเขาจึงตวัดสายตามองด้วยความรู้สึกที่ไม่พอใจเท่าใดนักทั้งยังกวาดสายตามองปิ่นในมือของหญิงสาวแบบผ่านๆแวบหนึ่ง แต่ทว่าก็กลับมาหยุดดูและนั่นก็ทำให้หัวใจของเขาแทบหยุดเต้นขึ้นมา ชายวัยกลางคนรีบพุ่งเข้าไปกระชากปิ่นมาไว้ในมือทั้งยังพลิกดูรายละเอียดไปมาอย่างระมัดระวัง เชียนซานตื่นตระหนกไปหมดรีบคว้าปิ่นปักผมในมืออีกฝ่ายกลับมา ทั้งยังเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ท่านคิดจะทำอะไร” ทุกคนในที่นี้มองท่านใต้เท้าซือคงเป็นตาเดียว รวมไปถึงบุตรชายทั้งสามคนของเขาด้วยเพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีครั้งใดที่เห็นบิดาของตนเสียมารยาทถึงเพียงนี้ แต่ทว่าท่านใต้เท้าซือคงก็หาได้สนใจไม่ เขารีบร้อนเอ่ยถามหญิงสาวตรงหน้า “เจ้าไปนำปิ่นนี่มาจากที่ใดหรือ เจ้าชื่ออะไร ปีนี้อายุเท่าใดแล้ว” เชียนซานปักปิ่นกลับไปที่ผมของตนเช่นเดิมจากนั้นก็ตอบเสียงเย็น “ท่านจะสนใจไปทำไมกันว่าข้าได้ปิ่นมาจากที่ใด จะถามอะไรเยอะแยะกัน สำรวจสำมะโนครัวหรือ” ใต้เท้าซือคงไม่ยอมแพ้ง่ายๆพยายามเอื้อมมือหมายจะไปดึงปิ่นปักผมของนางแต่เชียนซานก็หลบได้ ชายวัยกลางคนพยายามแย่งอีกหลายครั้งจนสุดท้ายก็ล้มลงไปกองกับพื้น คุณชายจางทั้งสามคนถลาเข้าไปพยุงร่างของท่านเสนาไว้ หลวี่หนิงรู้สึกโมโหเชียนซานขึ้นมาจึงตวาดลั่น “เจ้าคิดจะทำอะไร อายุเขาก็ไม่น้อยแล้วเจ้ายังกล้าลงไม้กับเขางั้นหรือ” เชียนซานก็บันดาลโทสะไม่แพ้กัน “ข้าลงไม้ลงมือกับเขาที่ไหนกัน หากเขาไม่พยายามแย่งของของข้า ข้ามีหรือจะผลักเขาล้ม หรือท่านไม่เห็นว่าเขาพยายามแย่งของของข้าเล่า” คุณชายใหญ่ตระกูลจากที่พยุงบิดาของตนเองอยู่ก็อดเอ่ยถามไม่ได้ “ท่านพ่อ ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่” ดวงตาของใต้เท้าซือคงมองตรงไปข้างหน้าจ้องเขม็งไปที่เชียนซาน เขาชี้นิ้วไปที่เชียนซานและเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “เจ้าชื่อจางหมิงจู ปีนี้อายุยี่สิบเอ็ดใช่หรือไม่” เชียนซานยิ้มเย็น “ผายลมเถิด ข้าชื่อเชียนซาน แต่ปีนี้อายุเท่าไหร่ข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน ท่านจะรู้ไปทำไมกัน ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ อย่ามาพูดพล่ามให้มากความและอย่าหวังจะได้แตะต้องของของข้าอีก!” คุณชายใหญ่ได้ยินคำพูดของบิดาก็นิ่งงัน ชายหนุ่มเงยหน้าจับจ้องไปที่เชียนซานจากนั้นก็เอ่ยถามอย่างสงสัย “ท่านพ่อ ท่านดูผิดหรือไม่” ใต้เท้าซือคงปัดมือของบุตรชายออกและเอ่ยสั่ง “เร็ว ไปนำปิ่นปักผมนั่นมาให้ข้าดูชัดๆ เมื่อครู่ข้าเห็นว่าตัวปิ่นถูกสลักอักษรคำว่า ‘ยิง’ ลงไป ตัว ‘ยิง’ นั้นข้าเป็นคนสลักมันลงไปเองกับมือ มันเป็นของที่ข้ามอบให้แก่มารดาของเจ้าเป็นของขวัญวันเกิดและปิ่นมันมีเป็นคู่” เชียนซานเองก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย ปิ่นปักผมชินนี้นางปักไว้บนผมตลอดเวลา นางรู้มานานแล้วว่าบนตัวปิ่นมีจารึกอักษรตัวเล็กๆไว้และตัวนั้นก็คือ ‘ยิง’ จริงๆ แต่ทว่าตัวอักษรมันก็เล็กมาเสียจนหากไม่เพ่งดูให้ดีๆก็ดูแทบไม่ออก คุณชายจางลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะกวาดสายตาพิจารณาเชียนซานจากนั้นก็เอ่ยเสียงทุ้มนุ่ม “แม่นาง ข้าขอดูปิ่นปักผมของเจ้าหน่อยเถิด!” เชียนซานส่ายหน้าแทบจะทันที ! คุณชายจางก็เริ่มร้อนใจขึ้นมา “ถ้าเช่นนั้นแม่นางก็บอกเราหน่อยเถิดว่าได้ปิ่นปักผมมาจากที่ใด เจ้าบอกพวกเราได้หรือไม่” เชียนซานจ้องมองใบหน้าของคุณชายตระกูลจางสลับกับใบหน้าของใต้เท้าซือคงอย่างหวาดระแวง สายตาของเขาที่จ้องมองมาทำให้นางถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างหวาดระแวง “ปิ่นนี่เป็นของข้า เป็นของดูต่างหน้าที่ท่านแม่ของข้าทิ้งไว้ให้ พวกท่านคิดจะทำอะไรกันแน่” คุณชายใหญ่ตระกูลจางร้องออกมาอย่างตกใจ “ขอพวกเราดุปิ่นนั่นหน่อยเถิด แค่ดูครู่เดียวเท่านั้น ข้ารับรองว่าจะไม่เอามันไปทำอะไรทั้งนั้น!” ท่านใต้เท้าซือคงที่อยู่ข้างๆก็ร้องออกมา “ดูแขนของนางเร็วเข้า แขนของนางต้องมีรอยแผลไฟไหม้ด้วย ไปดูเร็ว!” เชียนซานมองหน้าใต้เท้าซือคงอย่างตกตะลึง “ท่านรู้ได้อย่างไรกัน” คุณชายใหญ่ตระกูลจางหันมามองหน้าเชียนซานก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “แม่นาง พวกเราสงสัยว่าเจ้าอาจจะเป็นน้องสาวที่พลัดพรากของพวกเราที่ชื่อว่าจางหมิงจู!” เชียนซานทำหน้าไม่เชื่อหูตนเองขณะจ้องเขม็งไปที่คุณชายตระกูลจางจากนั้นก็ส่ายหน้าไปมา “เป็นไปไม่ได้ ท่านแม่ของข้าตายไปแล้ว!” หลวี่หนิงชะงักก่อนจะเพ่งมองเชียนซาน “ดูๆไปแล้ว เจ้ากับอาจารย์หญิงเจ้าหน้าตาเหมือนกันมากจริงๆ!” เชียนซานตวัดสายตากลับมามองหลวี่หนิง ใบหน้าของหญิงสาวเริ่มฉายแววโกรธขึ้นมาก่อนเอ่ยเสียงกร้าว “พูดพล่ามไร้สาระ ท่านแม่ของข้าตายไปแล้ว เขาตายไปนานแล้ว” คุณชายใหญ่ตระกูลจาง “ขอดูปิ่นปักผมนั่นหน่อยได้หรือไม่” เชียนซานดึงปิ่นปักผมออกมาแต่ก็ไม่ได้ยื่นส่งให้เขา นางเพียงถอยหลังไปก้าวหนึ่งจากนั้นก็ยิ้มเย็นออกมา “พวกท่านกำลังแสดงละครอะไรกันอยู่หรือ เพียงแค่ต้องการให้นายหญิงของข้าออกจากฮ่องเต้ถึงขั้นต้องมาโกหกเรื่องชาติกำเนิดของข้าเชียวหรือ ฝันไปเถิด คิดว่าข้าหลอกง่ายนักหรือไง!” นี่มันต้องเป็นแผนการแน่เชียนซานมั่นใจเช่นนั้น นางไม่มีบิดามารดา พรรคมังกรเหินเป็นผู้ชุบเลี้ยงนางจนเติบใหญ่ขึ้นมา เป็นอดีตเจ้าสำนักที่รักและดูแลนางอย่างดีมาตลอด แม่นมของนางบอกว่ามารดาของนางตายไปตั้งแต่นางยังเด็กแล้ว นางเป็นเด็กกำพร้า แม่นางลวี่ที่สอนวรยุทธให้นางก็บอกกับนางว่ามารดาของนางไปแล้วเช่นกัน เด็กกำพร้านับว่าเป็นชาติกำเนิดที่ต่ำต้อยที่สุด แล้วหญิงสาวที่มีชาติกำเนิดต่ำต้อยเช่นนางจะไปมีครอบครัวที่มีชาติตระกูลสูงส่งอย่างนี้ได้อย่างไรกันเล่า คุณชายจางได้ยินคำพูดของนางก็ปรากฎสีหน้าซับซ้อน แต่ทว่าเขาก็พอจะเข้าใจในความหมายของนาง “พวกเราเคยมีน้องสาวอยู่คนหนึ่งจริงๆ แต่พอนางอายุได้สองขวบก็ถูกแม่นมลักพาตัวไป ตอนที่น้องสาวพวกเราอายุได้สองขวบนางเคยถูกน้ำมันกระเด็นถูกแขน ดังนั้นแม่นมคนนั้นจึงถูกท่านย่าของเราสั่งโบยถึงสามสิบครั้ง นางแค้นใจจึงลักพาตัวน้องสาวของเราเพื่อแก้แค้น” เรื่องที่พวกเขาเล่ามามีหรือจะทำให้เชียนซานเชื่อได้ง่ายๆ หญิงสาวยังคงยิ้มเย็นยะเยือกดังเดิม “หากเรื่องที่พวกท่านกล่าวมาคือเรื่องจริงแล้วล่ะก็นั่นก็เป็นเพราะพวกท่านรนหาที่เองไม่ใช่หรือ เพียงแค่ผู้อื่นไม่ระวังทำให้เด็กเจ็บตัวเล็กๆน้อยๆแต่พวกท่านกลับโบยเขาถึงสามสิบครั้ง สาวใช้แล้วอย่างไร พวกเขาไม่ใช่คนหรือไงเล่า เหตุใดจึงโหดร้ายถึงเพียงนี้ ลักพาตัวอะไรกันไร้สาระ! ข้าไม่ใช่น้องสาวของพวกท่าน ข้ามีท่านแม่ ท่านแม่ของข้านางตายไปแล้ว พวกท่านเลิกกุเรื่องราวบ้าบออะไรพวกนี้มาหลอกข้าได้แล้ว ” วาจาที่เผ็ดร้อนเช่นนี้ทั้งยังท่าทางการแสดงออกที่แสนจะเย็นชาของนางทำให้ทุกคนในที่นี้ถึงกับตะลึงทำอะไรไม่ถูก สถานการณ์เช่นนี้กล่าวอะไรรังแต่จะทำให้แย่ลงไปเท่านั้น ทางที่ดีควรคุยกันทีหลังจะดีกว่า หลวี่หนิงพอจะดูออกว่าเชียนซานเป็นคนที่ไว้ใจคนอื่นยากจึงรีบเอ่ยตัดบท “เรื่องนี้เอาไว้ค่อยคุยกันคราวหน้าเถิด ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดก็คืออาจารย์หญิงเจ้ามากกว่า!” ท่านใต้เท้าซือคงยังอยากกล่าวอะไรอีกแต่คุณชายทั้งสองรีบเอ่ยห้ามเสียก่อน “ท่านพ่อ ไว้ค่อยคุยกันคราวหลังเถิด!” เพราะอย่างนั้นใต้เท้าซือคงจึงยอมเงียบปากลง แต่ทว่าสายตาที่มองไปที่เชียนซานก็ยังเปร่งประกายซับซ้อนทั้งยังมีประกายยินดีอยู่ในนั้น นับตั้งแต่ชูเซี่ยเข้าไปอยู่อยู่ภายในห้องนั้นเวลาก็ล่วงเลยมาถึงสองชั่วยาม เป็นสองชั่วยามที่ยามนานและทรมานจิตใจของคนที่รอนัก แต่ทว่าภายในห้องก็ยังเงียบสงบและไม่มีทีท่าว่าคนในนั้นจะออกมา สีหน้าของทุกคนที่รอคอยเต็มไปด้วยความกังวล ชายสูงอายุวัยหกสิบยืนขึ้นเต็มความสูง เดิมทีนึกว่าการรักษาครั้งนี้จะกินเวลาไม่นานเท่าใดนัก แต่บัดนี้ล่วงเลยเวลามื้ออาหารมานานพอสมควรทำให้ความหิวโหยเข้าจู่โจมเป็นระยะๆ ผ่านไปพักหนึ่งก็มีคนมาใหม่เพิ่มอีกหลายคน สาวใช้หลายคนกำลังช่วยกันพยุงร่างของหญิงชราผู้หนึ่งเดินตรงมาทางนี้ ใบหน้าของหญิงชราเต็มไปด้วยสีหน้าวิตกกังวล ใต้เท้าซือคงหันไปมองจากนั้นก็ตวาดบุตรชายของตนเองเสียงดัง “ไม่ใช่ว่าข้าบอกให้พวกเจ้าปิดบังเรื่องนี้กับท่านย่าไม่ใช่หรือแล้วนางรู้ได้อย่างไรกัน” กล่าวจบเขาก็รีบวิ่งไปหาหญิงชราผู้นั้น “ท่านแม่ ท่านมาได้อย่างไรกัน ร่างกายท่านไม่แข็งแรงควรพักผ่อนอยู่ในห้องจึงจะถูก!” หญิงชราผู้นั้นหันมามองด้วยแววตาขุ่นเคือง “เกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้เจ้ายังกล้าปิดบังข้างั้นหรือ เจ้ามันน่าตายจริงๆ!” กล่าวจบหญิงชราผู้นี้ก็ตบหน้าท่านใต้เท้าซือคงอย่างแรง หญิงชราผู้นี้อายุมากแล้วทั้งยังสุขภาพไม่แข็งแรงการที่นางออกแรงตบครั้งนี้ก็ใช้เรี่ยวแรงที่มีอยู่ของตนแทบทั้งหมด แม้ว่าแรงที่ใช้จะไม่นับว่าแรงทั้งยังไม่ทิ้งรอยมือไว้อีกแต่ก็ทำให้ใต้เท้าซือคงถึงกับหน้าหันไปตามแรง จากนั้นท่านเสนบดีกรมโยธาก็หันกลับมาหามารดาของตนทั้งยังเอ่ยปลอบโยน “ท่านแม่ ตอนนี้ท่านหมอกำลังดูอาการนางอยู่ ย่อมไม่เป็นอะไรแน่! ” เชียนซานที่เห็นว่าใต้เท้าซือคงถูกมารดาของตนตบหน้าก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยอะไรบางอย่างออกมา “สมน้ำหน้า!” หญิงชราตวัดสายตามองเชียนซานด้วยดวงตาคมปราด หญิงชราผมเงินตรงหน้าถือไม้เท้าไว้ในมือบนศีรษะของนางปักเพียงปิ่นปักผมทองดูเรียบง่ายแต่ก็ให้ความรู้สึกสง่างาม นางจ้องมองเชียนซานอยู่ชั่วครู่จากนั้นก็เอ่ยถาม “เจ้าเป็นใคร” ว่ากันว่าศัตรูของศัตรูก็คือมิตร เดิมทีเชียนซานก็ไม่ชอบคนพวกนี้อยู่แล้วแต่เมื่อเห็นหญิงชราคนนี้ตบหน้าใต้เท้าซือคงจนหน้าหันไปทีหนึ่งในใจก็รู้สึกมีความสุขยิ่งนักและยิ่งเมื่อสบตากับสายตาที่เต็มไปด้วยอำนาจของหญิงชราผู้นี้จึงบังเกิดความเกรงกลัวอยู่บ้าง “ช้าชื่อเชียนซานเจ้าค่ะ!” หลวี่หนิงรีบร้อนก้าวขึ้นมาแนะนำข้างหน้า “ท่านย่า นางคือสาวใช้ข้างกายของเจ้าสำนักมังกรเหินขอรับ!” เมื่อได้ยินว่านางเป็นคนจากพรรคมังกรเหินสีหน้าของหญิงชราก็ผ่อนคลายลง ทั้งยังเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเอื้ออาทร “พรรคมังกรเหินงั้นหรือ! มาทำอะไรที่นี่หรือ” ยังไม่ทันที่เชียนซานจะเอ่ยตอบนางก็หันไปหาบุตรชายของตน “มีแขกใหญ่โตมาที่นี่หรือ ข้าเห็นมีคนมุงดูกันมากมายเหลือเกิน” เชียนซานได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยตอบ “ยังอยู่กันอีกหรือ ไม่ไล่ตะเพิดออกไปก็นับว่าดีแค่ไหนแล้ว นายหญิงของข้าช่วยชีวิตคุณชายเล็กของพวกท่านไว้ ตอนนี้ก็ยังมาช่วยชีวิตฮูหยินของท่านอีก แต่กลับถูกใต้เท้าซือคงทำให้เกิดความลำบากอยู่เรื่อย เดี๋ยวก็ไล่ไปเดี๋ยวก็ลากกลับมา พวกเราพรรคมังกรเหินเคยเจอเรื่องเช่นนี้ที่ไหนกันไม่ว่าไปที่ใดก็มีแต่คนให้เกียรติทั้งนั้น หากไม่ใช่ว่านายหญิงของข้าจิตใจงดงามแล้วล่ะก็ พวกท่านต้องเจอเรื่องยุ่งยากแน่” ใต้เท้าซือคงได้ยินเช่นนั้นก็ใบหน้าเขียวคล้ำ ในใจรู้สึกโกรธในความไม่มีสัมมาคาราวะของเชียนซานอยู่บ้าง แต่เพราะเรื่องปิ่นปักผมของนางที่ยังคาราคาซังอยู่เขาจึงไม่ต้องการให้นางโมโหเขาไปมากกว่านี้ ใต้เท้าซือคงจึงก้มลงไปกระซิบอะไรบางอย่างที่ข้างหูหญิงชราก่อนที่หญิงชราจะพยักหน้าเล็กน้อยและหันกลับมา “ได้ เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า แม่เคยสอนเจ้ามาตั้งแต่เด็กว่ามีบุญคุณให้ทดแทนมีแค้นต้องชำระ ผู้อื่นช่วยเหลือหลานชายคนเล็กของข้า ตอนนี้ยังช่วยรักษาฮูหยินของเจ้าอีก นับได้ว่าเป็นผู้มีพระคุณของสกุลจางของเรา ที่นี่ไม่ใช่ศาลที่เจ้าทำงานตัดสินที่เจ้าะมีอำนาจสูงสุดนะ อีกอย่างตอนนี้มันเวลาใดกัน ไม่ว่าจะเป็นพระสนมของอดีตฮ่องเต้หรืออะไรก็ช่าง ข้าสนใจเพียงว่านางคือประมุขของพรคคมังกรเหินเพียงเท่านั้น พรรคมังกรเหินเป็นผู้มีพระคุณกับตระกูลจางของเรา การตอบแทนผู้อื่นด้วยความขุ่นเคืองเช่นนี้จะทำให้เขากล่าวได้ว่าเราอกตัญญูไม่รู้จักคุณคน” เชียนซานได้ยินที่ฮูหยินชราผู้นี้พูดออกมาก็รู้ได้ทันทีว่าที่เสนาบดีผู้นี้กระซิบกระซาบเมื่อครู่คงเป็นเรื่องเกี่ยวกับชูเซี่ย เชียนซานจึงโพล่งออกไป “ท่านคิดว่าสิ่งที่ท่านทราบมาคือทั้งหมดงั้นหรือ ไม่ผิด นายหญิงของข้าเป็นหวงกุ้ยเฟยของอดีตฮ่องเต้จริงๆ แต่ทว่าก่อนที่นางจะถวายตัวเข้าวังนางก็มีพันธะหมั้นหมายอยู่กับฮ่องเต้องค์ปัจจุบันอยู่ก่อนแล้ว หากไม่ใช่ว่าอดีตฮ่องเต้ทรงใส่ร้ายว่าฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเป็นกบฎทั้งยังฉวยโอกาสนี้บังคับนางหญิงของข้าเข้าวังแล้วล่ะก็ ป่านนี้นายหญิงของข้าก็ได้แต่งให้กับฮ่องเต้องค์ปัจจุบันไปแล้ว อีกทั้งอดีตไทเฮาก็ทรงหมั้นหมายนายหญิงของข้าไว้แก่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันไว้เนิ่นนานแล้ว” 
已经是最新一章了
加载中