ตอนที่ 175 ไม่ให้สมหวังแน่   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 175 ไม่ให้สมหวังแน่
ต๭นที่ 175 ไม่ให้สมหวังแน่ โหร่วยเฟยคงรู้เรื่องราวสกปรกที่ฉ่ายเวินทำมาทั้งหมด แต่ว่าตอนนี้ชูเซี่ยไม่อยากรู้อีกแล้ว ตอนนี้ฉ่ายเวินได้รับในสิ่งที่ต้องการไปแล้วขอเพียงนางออกไปจากวังหลวงได้ ฉ่ายเวินก็คงยอมอยู่สงบไปสักพักเพื่อรักษาตำแหน่งของตนเองไว้ ก่อนที่โหร่วยเฟยจะไปนางก็หันมายิ้มๆ “ตอนนี้ข้าก็คงไม่ต้องแกล้งตั้งท้องอีกต่อไปแล้วสินะ ในเมื่อฝ่าบาทก็ทรงเชื่อนางทุกคำพูดอยู่แล้ว คาดว่าพระองค์ก็คงไม่คิดจะสืบเรื่องของฉ่ายเวินอีกต่อไปแล้วล่ะ!” ชูเซี่ยเงียบ แกล้งตั้งครรภ์ เรื่องนี้เฉินอวี่จู๋ก็เคยทำเช่นกัน ความจริงแล้วโหร่วยเฟยกับเฉินอวี่จู๋ก็เหมือนกันไม่น้อย ต่างก็เป็นหญิงสาวที่น่าสงสารด้วยกันทั้งคู่ ความจริงแล้วในใจของพวกนางต่างก็มีความปรารถนาที่สวยงามเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือต้องมีสักวันที่พวกนางจะได้ตั้งครรภ์กับชายที่ตนเองรักอย่างหมดหัวใจ แต่ว่าตอนนี้ ยามเมื่อนางตั้งครรภ์ขึ้นมาจริงๆนางกับไม่รู้สึกมีความสุขเลยสักนิด แต่ในเมื่อมีแล้ว เด็กคนนี้ก็เป็นลูกของนาง ลูกของนางก็คงไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาอีก ในเช้าวันต่อมากลับมีข่าวลือว่าโหร่วยเฟยเสียชีวิตอย่างกระทันหัน! ทำให้ทั้งวังหลวงต่างก็สะเทือนและอกสั่นขวัญแขวนกันหมด! ชูเซี่ยก็ตื่นตะลึงจนนิ่งงันอยู่นาน ในใจของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายปนเปกันไปหมด นางไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น นางไม่อยากให้นี่เป็นความจริง โหร่วยเฟยตายแล้ว หลิวมี่เหอตายไปแล้ว ในหัวของนางยังหลงเหลือความทรงจำของหลิวหยิงหลงอยู่ในนั้น แม้ว่าหลิวหยิงหลงจะไม่เคยคิดว่าหลิวหยิงหลงเป็นน้องแท้ๆของตน แต่ว่าก็นับว่ามีความผูกพันธ์ของพี่สาวน้องสาวอยู่ไม่น้อย ชูเซี่ยรู้สึกปวดใจเหลือเกิน เมื่อวานนางและลั่วฝานเพิ่งจะพูดคุยกันอยู่แท้ๆ นางไม่ใช่โหร่วยเฟยที่เย่อหยิ่งดังเช่นโหร่วยเฟยเมื่อครั้งอยู่จวนอ๋องอีกแล้ว กลับกันนางกลับกลายเป็นเพียงแค่หญิงสาวที่เรียบง่ายและรักความสงบเท่านั้น ในวันนี้ชูเซี่ยสวมใส่เสื้อผ้าที่ชมพูอ่อนทั้งชุดทั้งยังปักไปด้วยดอกไม้สีแดงประดับประดาอย่างงดงามทำให้ดูค่อนข้างสดใส นี่เป็นชุดที่เชียนซานเลือกให้นางใส่เองกับมือเพราะหญิงสาวกล่าวว่าหลายวันมานี้เจอแต่เรื่องแย่ๆจึงให้นางแต่งสีมงคลเสียหน่อยจะได้เรียกโชคดีเข้าตัวบ้าง การแต่งกายเช่นนี้ไปพบโหร่วยเฟยคงไม่เหมาะสมนัก ดังนั้นนางจึงคิดจะกลับไปเปลี่ยนชุดแต่ตอนนั้นเองที่หว่านเหนี่ยงวิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก “ฝ่าบาททรงรับสั่งให้จงเจิ้งมาที่นี่เพคะ” ชูเซี่ยหันกลับมามองหว่านเหนี่ยง เมื่อเห็นว่าสีหน้าของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความหนักใจนางก็พอจะเข้าใจบ้างแล้ว เรื่องนี้สุดท้ายความซวยก็มาตกอยู่ที่นางสินะ จงเจิ้งและขันทีอีกสองคนเดินเข้ามาในห้อง จงเจิ้งโค้งคำนับนางส่วนขันทีอีกสองคนที่ตามมาทำเพียงแค่ยืนนิ่งๆอยู่เบื้องหลังจงเจิ้งทั้งยังจ้องมองมาที่นางด้วยแววตาดูถูก ใบหน้าของจงเจิ้งดูลำบากใจ “ท่านหมอเวิน ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้ท่านเข้าเฝ้าขอรับ!” ชูเซี่ยพยักหน้า “ได้ ข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วจะไป” จงเจิ้งชะงักกึกก่อนจะเอ่ยต่อ “ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้ท่านไปเดี๋ยวนี้ขอรับ!” ชูเซี่ยจึงเอ่ยแย้ง “ข้าแต่งกายไม่เหมาะสม ท่านก็รอสักเดี๋ยวเถิด ครู่เดียวก็เสร็จ!” จงเจิ้งครุ่นคิดครู่หนึ่งจากนั้นก็พยักหน้าน้อยๆ “ขอรับ!” แต่ขันทีทั้งสองที่ยืนอยู่กลับก้าวเท้ามาข้างหน้าและกระชากแขนชูเซี่ยไว้ก่อนเอ่ยเสียงเข้ม “รับสั่งของฝ่าบาทบอกให้ท่านต้องไปเดี๋ยวนี้!” เชียนซานเห็นเช่นนั้นก็ตะคอกเสียงดัง “สมควรตาย นายหญิงของข้าใครใช้ให้พวกเจ้าสามหาวกับนาง” ขันทีทั้งสองยังคงยืนนิ่งไม่กลัวเกรง “พวกข้าเพียงแค่ทำตามรับสั่งของฝ่าบาทเท่านั้น ท่านหมอเวินก็อย่าได้ทำให้พวกข้าลำบากใจเลย!” ชูเซี่ยเริ่มโกรธขึ้นมาบ้างแล้ว แต่สีหน้าของนางก็ยังคงเฉยชาอีกทั้งน้ำเสียงก็ยังราบเรียบ “งั้นก็เชิญนำทาง!” ขันทีทั้งสองก็ยอมเงียบปากลงและเดินนำหน้า เดิมทีจงเจิ้งก็ยืนเงียบอยู่นานแต่เมื่อเห็นท่าทางเย่อหยิงไร้สัมมาคาราวะของขันทีทั้งสองก็อดไม่ได้ที่จะโกรธขึ้นมาและลงมือเตะพวกเขาจนกระเด็น ขันทีทั้งสองหันกลับมามองจงเจิ้งอย่างตกตะลึง จงเจิ้งกล่าวเสียงเย็น “ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง มีข้ายืนหัวโด่อยู่ตรงนี้จำเป็นต้องให้พวกเจ้าเอ่ยปากสอดแทรกงั้นหรือ ไสหัวไป!” จงเจิ้งนับว่าเป็นคนสนิทของฝ่าบาทอีกทั้งยังเป็นหัวหน้าขันทีในวังหลวงแห่งนี้ ส่วนพวกเขาก็เป็นเพียงแค่ขันทีของหวงกุ้ยเฟยเท่านั้น ในเมื่ออำนาจที่แท้จริงไม่ได้อยู่ในมือต่อให้ทำอะไรก็ล้วนไร้ความหมาย มาวันนี้ถูกจงเจิ้งสั่งสอนแม้จะไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่อาจโต้แย่งอันใดได้ ทำได้เพียงยืนขึ้นและเดินตามจงเจิ้งออกไปเงียบๆ เชียนซานที่ยืนอยู่ข้างกายก็เอ่ยออกมา “จงกงกงทำได้ถูกต้องแล้ว คนประเภทนี้ต้องสั่งสอน!” จงเจิ้งเปลี่ยนสีหน้าให้กลับเป็นเช่นเดิมก่อนจะเอ่ยเสียงเบาลง “แม่นางเชียนซานและแม่นางหว่านเหนี่ยงก็ตามมาด้วยกันเถิด” เชียนซานพยักหน้า “วางใจเถิด รับรองว่าจะไม่ยอมห่างแม้แต่ครึ่งก้าวแน่” หว่านเหนี่ยงร้อนใจยิ่งนักก่อนจะลากจงเจิ้งไว้และเอ่ยกระซิบถาม “เกิดอะไรขึ้นหรือ หรือว่าฝ่าบาทคิดว่าการตายของโหร่วยเฟยเกี่ยวข้องกับนายหญิงของเรา” จงเจิ้งลำบากใจยิ่งนัก เขาไม่กล้าพูดอะไรมาก “เป็นแผนการร้าย ทางที่ดีควรระมัดระวังตัวให้ดี!” หว่านเหนียงตื่นตระหนกไปหมด “จงกงกง อีกเดี๋ยวท่านก็ช่วยหน่อยเถิด” จงเจิ้งถอนหายใจออกมาอย่างจนปัญญา “เกรงว่าแม้แต่คำพูดข้าฝ่าบาทก็คงไม่ฟังอีกแล้ว” ตลอดทางชูเซี่ยเดินเงียบๆตามจงเจิ้งไปไม่พูดไม่จา ดูท่าแล้วโหร่วยเฟยเองก็คงมีผู้คนรักไม่น้อย ตลอดทางที่นางเดินผ่านก็มีเสียงร่ำไห้เป็นระยะๆ ชูเซี่ยเดินช้าลงน้ำตาของนาง เอ่อคลอออกมาแต่นางก็ฝืนไม่ยอมให้มันไหลลลงมา เมื่อมาถึงตำหนักเพียวสวี่สิ่งแรกที่ปรากฎสู่สายตาของชูเซี่ยก็คือดวงตาคมของหลี่เฉินเย่นที่มองมาที่นางราวกับมองคนแปลกหน้าและข้างกายของมีฉ่ายเวินยืนอยู่ นางเดินเข้าไปภายในก็เหลือบมองฉ่ายเวินด้วยสายตาเรียบเฉย “หายเร็วดีเหลือเกินนะ” ใบหน้าของฉ่ายเวินที่เคยเต็มไปด้วยความอ่อนหวานกลับกลายเป็นความเคียดแค้น “เจ้าคงอยากให้ข้าตายมากสินะ แต่ข้าจะอยู่ต่อไป เจ้าคงผิดหวังมากสินะ” ชูเซี่ยตวัดสายตามองมาที่นางด้วยดวงตาเย็นเฉียบ “ตอนแรกไม่ใช่ว่าเป็นเจ้าที่อยากตายเองหรือ ทั้งยังเป็นเจ้าที่ลงมือทำร้ายตนเองแท้ๆ แต่ว่าข้าเองก็รู้สึกปิดหวังจริงๆนั่นล่ะ เพราะเจ้าสมควรตายจริงๆ!” หลี่เฉินเย่นบันดาลโทสะจนยกมือขึ้นหวังจะตวัดลงใบหน้านาง ชูเซี่ยยืนนิ่งมองสบสายตาของเขารอรับฝ่ามือนั้นอย่างท้าทาย “ทำไมเจ้าคะ ปวดใจหรือ รู้สึกได้รับความไม่ยุติธรรมแทนกุ้ยเฟยคนดีของท่านงั้นหรือ” หลี่เฉินเย่นส่ายหน้าอย่างผิดหวังมองมาที่นาง “เราคิดไม่ถึงเลยจริงๆว่าเจ้าจะกลายเป็นคนเช่นนี้ เราเคยบอกกับเจ้าไปแล้วว่าเราไม่ได้รู้สึกอะไรกับโหร่วยเฟย เหตุใดเจ้าจึงไม่ยอมปล่อยนางไปเล่า” หัวใจของชูเซี่ยเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง เขาได้สืบเรื่องที่เกิดขึ้นบ้างหรือไม่นะ หากว่ายังไม่ได้สืบแล้วทำไมถึงได้มาใส่ความหาว่านางเป็นผู้ลงมือเช่นนี้ “ข้าไม่เคยเปลี่ยนแม้แต่น้อย คนที่เปลี่ยนคือท่านต่างหากเล่า ข้าไม่เคยทำร้ายโหร่วยเฟย หากท่านไม่มีหลักฐานก็อย่าได้มาใส่ความข้า” ฉ่ายเวินก็เอ่ยขึ้นเสียงเย็น “ไม่มีหลักฐาน? หงเหนี่ยงนางกำนัลข้างกายของโหร่วยเฟยกล่าวว่าตั้งแต่ที่โหร่วยเฟยกลับมาจากตำหนักของท่านก็เริ่มอาการไม่สู้ดี ตกดึกก็ถึงขั้นกระอักเลือดสีดำออกมา เมื่อเชญหมอหลวงมาตรวจอาการ หมอหลวงก็กล่าวว่านางต้องพิษ ของและสำรับทุกอย่างในตำหนักของโหร่วยเฟยล้วนตรวจไม่พบพิษ นั่นก็แสดงว่าพิษจะต้องมาจากตำหนักของเจ้าแน่ ใบชาในตำหนักของเจ้ามียาพิษเจือปนอยู่ หมอหลวงไปตรวจดูแล้วทั้งยังกล่าวว่าเป็นพิษชนิดเดียวกันกับที่โหร่วยเฟยได้รับอีกด้วย หากไม่ใช่เจ้าเป็นผู้ลงมือแล้วจะเป็นฝีมือของผู้ใดได้อีก” ชูเซี่ยไม่ได้เอ่ยแก้ตัวนางเพียงแต่หันไปจ้องหลี่เฉินเย่น “ท่านคิดว่าเป็นฝีมือของข้าหรือ ท่านคิดว่าข้าเป็นคนวางยาพิษโหร่วยเฟย?” หลี่เฉินเย่นตีหน้าตายมองมาที่นาง เขาไม่ได้บอกว่าเชื่อแต่ก็ไม่ได้บอกอีกว่าไม่เชื่อ แต่ดูจากสายตาของเขานางก็บอกได้แล้วว่าเขาเชื่อคำพูดของฉ่ายเวิน หัวใจของชูเซี่ยตายลงช้าๆ นางอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ คนที่เคยผ่านอะไรมาด้วยกันมากมายในวันนี้กลับเชื่อว่านางเป็นหญิงสาวผู้โหดเหี้ยมไปเสียได้ เป็นเช่นนี้จะให้นางกล่าวแก้ตัวอะไรได้อีก? ใบหน้าของหลี่เฉินเย่นเต็มไปด้วยความผิดหวังและเศร้าหมอง เขาไม่อยากจะเชื่อว่าชูเซี่ยเป็นผู้วางยาพิษโหร่วยเฟย แต่ทว่าจากคำให้การของพวกนางกำนัลต่างก็บ่งชี้ว่าชูเซี่ยเป็นผู้ลงมือ นางจึงตกเป็นผู้สงสัย รวมไปถึงก่อนหน้านี้ที่ฉ่ายเวินพยายามฆ่าตัวตายก็เพราะคำพูดของนางบีบบังคับฉ่ายเวิน เขาบังคับตนเองให้ไม่เชื่อในสิ่งที่เกิด แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้ามันทำให้เขาไม่อาจไม่เชื่อได้ ชายหนุ่มหันมามองชูเซี่ยด้วยประกายตาผิดหวัง “เจ้าบอกเรามา เจ้าเป็นคนที่วางยาพิษโหร่วยเฟยกับเฉินอวี่จู๋ใช่หรือไม่” ชูเซี่ยก็เอ่ยถามเขา “หากข้าบอกว่าข้าไม่ได้ทำท่านจะเชื่อหรือไม่” “หลักฐานทุกชนิดพิสูจน์ว่าเป็นมือของเจ้า อีกทั้งตอนนั้นที่เฉินอวี่จู๋ป่วยหนัก ความจริงแล้วเจ้าสามารถช่วยนางได้แต่ว่าเจ้าก็เลือกที่จะไม่ช่วย” หลี่เฉินเย่นเอ่ยอย่างช้าๆ ชูเซี่ยยิ้มเย็น “ท่านประเมินข้าสูงเกินไปแล้ว วิชาแพทย์ข้าไม่ได้เลิศเลอถึงเพียงนั้นเสียหน่อย” “แม้แต่คนตายก็ยังช่วยให้ฟื้นได้ อาการป่วยของเฉินอวี่จู๋เองก็ไม่ได้หนักหนา...” ชูเซี่ยเอ่ยขัดเขาขึ้นมา “หากว่าไม่หนักหนาจริงแล้วเหตุใดหมอหลวงจึงรักษานางไม่ได้เล่า หมอหลวงต่างก็จนปัญญาที่จะรักษานาง ส่วนข้าที่รักษานางไม่ได้ท่านก็กล่าวหาว่าเป็นข้าที่ทำให้นางตายงั้นหรือ หลี่เฉินเย่น ท่านมันสองมาตรฐานเกินไปแล้ว!”ฉ่ายเวินที่อยู่ข้างกายเขามาตลอดก็เอ่ยขึ้น “ศิษย์พี่ ข้ารู้ว่าท่านยังให้ความสำคัญกับนาง แต่ว่าชีวิตคนทั้งชีวิต เมื่อก่อนต่อให้ข้าจะไม่ชอบโหร่วยเฟยและเฉินอวี่จู๋มากเพียงใดก็ไม่เคยคิดอยากให้พวกนางตาย การที่วางยาพิษทำลสยชีวิตคนคนหนึ่งเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ คนเช่นนี้ต้องโหดเหี้ยมอำมหิตมากแค่ไหนกันนะ” เมื่อหลี่เฉินเย่นได้ยินคำพูดของฉ่ายเวินใบหน้าก็บิดเบี้ยว เขาจ้องมองชูเซี่ย “เจ้ามีอะไรจะแก้ตัวหรือไม่” ชูเซี่ยไม่ได้สนใจเขา นางเพียงปรายสายตาเย็นเฉียบไปที่ฉ่ายเวิน “เจ้ากล่าวหาว่าข้าทำลายชีวิตคนเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ เช่นนั้นข้าขอถามหน่อยเถิดว่าสิ่งที่ข้าต้องการคืออะไร” ฉ่ายเวินก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงดูถูก “ยังจะต้องถามอีกหรือ สิ่งที่เจ้าต้องการก็คือฮ่องเต้และตำแหน่งฮองเฮาไม่ใช่หรือไงเล่า” ชูเซี่ยก็ยิ้มเย็น “นั่นมันเป็นสิ่งที่เจ้าต้องการต่างหากเล่า เจ้าอย่าได้คิดว่าผู้อื่นก็ต้องการแบบที่เจ้าต้องการสิ ตำแหน่งฮองเฮาข้าไม่ต้องการ!” ก่อนที่นางจะหันกลับมามองหลี่เฉินเย่นและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ “แม้แต่ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าข้า คนที่ไม่เชื่อใจข้า ข้าก็ไม่ต้องการเช่นกัน!” ใบหน้าของหลี่เฉินเย่นแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ใช่แล้ว เจ้าไม่ต้องการ เพราะคนที่เจ้าต้องการไม่ใช่เราแต่เป็นจูเก๋อหมิงมาตั้งแต่แรกใช่หรือไม่ ตอนที่เจ้ากลับมาในเมืองหลวงคนแรกที่เจ้าไปหาก็คือจูเก๋อหมิง เจ้ายังบอกให้เขาปิดบังเรื่องตัวตนของเจ้ากับเราด้วยซ้ำ ช่างรักใคร่กันอย่างลึกซึ้งเสียจริง ตอนนั้นเจ้าไม่ควรกลับมาตั้งแต่แรกเจ้าควรอยู่ด้วยกับเขาให้มันสิ้นเรื่อง!” ชูเซี่ยไม่อยากพูดกับเขาอีกแล้ว นางเอ่ยอย่างจริงจัง “เพคะ หากว่าฝ่าบาททรงคิดเช่นนั้น เช่นนั้นท่านก็ขับไล่ข้าออกจากวังเถิด” ดวงตาของหลี่เฉินเย่นมีประกายไปแห่งความโกรธแค้น “เจ้าอย่าได้คิดว่าเราจะไม่กล้าปล่อยเจ้าไป!” ชูเซี่ยมองสบสายตาของเขา ชายตรงหน้าเป็นคนที่นางรักไม่ผิดแน่ แต่ทว่าเขาในยามนี้กลายเป็นอีกคนที่นางไม่เคยรู้จักไปเสียแล้ว นางเอ่ยเสียงราบเรียบ “เป็นเมตตากรุณาอย่างยิ่ง หากว่าท่านยอมปล่อยข้าไปข้าจะซาบซึ้งในน้ำใจของท่านยิ่งนัก!” ในยามนี้สิ่งที่นางต้องทำก็คือถอยออกไปตั้งหลัก นางเหนื่อยมากเหลือเกินกับชีวิตเช่นนี้ แผนการของฉ่ายเวินไม่ได้ลึกลับซับซ้อนอะไรเลยแม้แต่น้อยแต่ปัญหาอยู่ที่ตำแหน่งของนางในใจของหลี่เฉินเย่นต่างหากเล่า ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนในเวลานี้ชิดเชื้อมากเกินไป แรกเริ่มหลี่เฉินเย่นก็คงจะเชื่อคำพูดของนาง แต่ทว่ายิ่งนานวันเข้าเขากลับไปเชื่อทุกอย่างที่ฉ่ายเวินพูดอย่างหมดใจ ทำไมต้องทำให้ยุ่งยากอีกเล่า ในเมื่อขืนปล่อยไว้เช่นนี้ก็รังแต่จะสร้างความเสียหายต่อทุกฝ่าย แทนที่จะต้องทนทุกข์ทรมานต่อไปสู้ฉวยโอกาสที่ทั้งเขาและนางยังคงเหลือเรื่องราวดีๆต่อกันอยู่จากกันเสียตอนนี้ดีกว่า หากแยกจากกันเร็ว นานวันเข้าเมื่อหวนกลับไปคิดถึงว่าครั้งหนึ่งเขากับนางยังเคยรักกันย่อมดีกว่าไม่ใช่หรือ หลี่เฉินเย่นยิ้มเย็น เส้นเลือดที่ขมับของชายหนุ่มปูดนูนขึ้นมาตามโทสะที่เพิ่มขึ้น “เราไม่มีทางปล่อยให้เป็นไปตามที่เจ้าปรารถนาแน่ เจ้าอยากออกจากวังเพื่อไปใช้ชีวิตอยู่กับมันใช่หรือไม่ เราจะขังเจ้าไว้กับเราตลอดไป” กล่าวจบเขาก็เอ่ยบัญชา “ชูเซี่ยเป็นผู้สังหารโหร่วยเฟย จับนางขังคุกหลวง รอจนสืบเรื่องราวกระจ่างชัดจึงค่อยตัดสินกันต่อไป!” เหล่าองครักษ์ก้าวเข้ามา เชียนซานที่อยู่ข้างหายชูเซี่ยมาตลอดก็ก้าวมาขวางทางไว้ก่อนจะชักดาบออกมาจากฝัก “ใครมันกล้า?” หลี่เฉินเย่นจ้องเขม็งมาที่เชียนซาน “เจ้ากล้าเอาคนในจวนซือคงมาเสี่ยงด้วยหรือไม่เล่า” เชียนซานจ้องมาที่หลี่เฉินเย่นก่อนกัดฟัน “ต่ำทราม!” หลี่เฉินเย่นยิ้มเยาะ “ต่ำทราม? กล่าวชมกันเกิดไปแล้ว” กล่าวจบเขาก็เอ่ยสั่งการอีกครั้ง “จับตัวมา!”
已经是最新一章了
加载中