ตอนที่ 53 องค์รัชทายาทถูกจับ   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 53 องค์รัชทายาทถูกจับ
ต๭นที่ 53 องค์รัชทายาทถูกจับ ฮ่องเต้ทรงส่งคนมาตามจับกุมองค์รัชทายาทหรือ? นี่แท้จริงเป็นเรื่องอะไรกัน? นางถูกปกปิดอย่างสมบูรณ์ สีพระพักตร์ของเฉินห้าวดูไม่ค่อยดี แทบไม่รู้ว่าเกิดเรื่องราวอะไรขึ้น มีเพียงองค์รัชทายาทเท่านั้นที่ดูสบาย ๆ ไร้กังวลอยู่เสมอ “ข้าออกไปก่อน ไม่ต้องเป็นห่วงข้า” มองดูเงาหลังของเขาที่จากไปอย่างสงบ ดูเหมือนว่าเขาได้คาดการณ์ไว้แล้วว่าวันหนึ่งจะเป็นแบบนี้ เหลียงซินก็รีบก้าวตามไปอย่างรวดเร็ว นางต้องรู้ให้กระจ่างชัดแจ้งว่าเป็นเรื่องอะไรกัน ไม่คิดว่าเฉินห้าวก็ไล่กวดตามมา สามคนรีบวิ่งไปที่ประตูใหญ่ของจวนอ๋อง เพียงเห็นองครักษ์หลวงหนึ่งแถวกำลังยืนอยู่นอกประตู ผู้นำเป็นพี่ชายของนางเหลียงต้ง เขาสวมชุดองครักษ์หลวงทั้งร่างดูสูงใหญ่สง่างาม มีลักษณะท่าทีเข้มงวดกวดขันมากสุด ๆ แต่เมื่อเขาได้เห็นเหลียงซิน แววตาก็เปลี่ยนเป็นนุ่มนวลขึ้นมาทันที “องค์รัชทายาท กระหม่อมได้รับพระบรมราชโองการของฮ่องเต้ให้นำฝ่าบาทเข้าพระราชวัง ขอทูลเกล้าฯโปรดทรงเสด็จตามกระหม่อมสักครั้งเพคะ” เหลียงต้งก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ทูลเชิญด้วยความเคารพ “พี่ นี่เป็นเรื่องอะไรหรือ?” เหลียงซินถามที่มาที่ไป “หู้ฉาเอวี้ยนได้ค้นพบหลักฐานแล้วว่าองค์รัชทายาทถูกกล่าวหามีส่วนพัวพันในการประทุษร้ายสังหารพระสนมอันและตอนนี้ได้รับพระราชโองการจากฮ่องเต้มาจับกุมองค์รัชทายาทกลับไปสอบสวน” เหลียงต้งมองไปรอบๆและพูดในสิ่งที่เขารู้ออกมา ที่แท้สิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่องของพระสนมอันครั้งที่แล้ว ยังไม่ได้เข้าใจ กลับมีเรื่องใหม่ออกมาอีก เหลียงซินยังคิดว่านางได้ช่วยชีวิตพระสนมอันไว้แล้ว เรื่องนี้ก็น่าจะได้จบไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าพระสนมอันยังไม่ทรงยอมวางมือ แต่ต้องสืบหาหลักฐานออกมาให้จงได้ จับกุมคุมขังองค์รัชทายาทไปแล้ว สร้างความหวาดหวั่นในใจแก่เหล่าข้าราชบริพารทั้งฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋นทั่วราชสำนักเต็มไปหมด “ข้าทรงมีพระทัยบริสุทธิ์ นี่ก็จะไปกับพวกเจ้า” องค์รัชทายาทได้ทรงขึ้นรถม้าไปด้วยพระพักตร์ที่ราบเรียบ ไม่ได้ดูเหมือนจะเป็นฆาตกรวางยาพิษสักนิด เหลียงต้งขยิบตาให้เหลียงซินแล้วพลิกตัวขึ้นม้าวิ่งไปในทิศทางของพระราชวัง เห็นเงาร่างขององค์รักษ์หลวงที่ค่อยๆลับหายไป ในใจนางสับสนระคนว้าวุ่นตรึกตรองว่าควรจะทำอย่างไรจึงจะจับฆาตกรมาลบล้างความผิดขององค์รัชทายาทได้ในที่สุด ทันทีที่นางหันไปรอบๆ นางก็ได้เห็นเฉินห้าวที่มีใบหน้าเหมือนหมาป่าเสือร้าย เมื่อเทียบกับฤดูหนาวในเดือนสิบสองยังหนาวเหน็บยิ่งกว่านั้น แต่จากใบหน้าของเขา นางยังสามารถเห็นร่องรอยของความกังวลบ้าง “เฉินห้าว คราวนี้สมปรารถนาของเจ้าแล้ว เจ้าไม่ต้องเห็นองค์รัชทายาทอีกแล้ว” เหลียงซินเลิกคิ้วโค้งขึ้น ประชดประชันเขา “เรื่องนี้ เปิ่นหวังจะต้องสืบค้นหาให้ชัดเจนแน่นอน ไม่ว่าองค์รัชทายาททรงถูกใส่ร้ายหรือทรงกระทำผิดจริง ๆ” น้ำเสียงของเขาแข็งแกร่งยิ่งนัก จากจุดนี้ ก็สามารถเห็นได้ว่าเขาไม่ได้รังเกียจองค์รัชทายาท แต่ความรักในพระทัยส่วนลึกแห่งสายสัมพันธ์ได้ทรงถูกเขาปกปิดเอาไว้ หรืออาจกล่าวได้ว่า เขาไม่เต็มใจที่จะยอมรับว่าเขายังคงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดต่อองค์รัชทายาท เหลียงซินหรี่ตาลงเล็กน้อย แสงแดดส่องต้องใบหน้าของนาง ย้อมเป็นแสงสีทองจาง ๆ ชั้นหนึ่ง ปากของนางค่อย ๆ เผยอรอยยิ้มออกมา แม้ว่าเฉินห้าวไม่ไปตรวจสอบ นางก็จะต้องไปตรวจสอบให้ชัดเจน ยังไงองค์รัชทายาทก็ทรงเป็นคนดี องครักษ์หลวงเพิ่งถอนตัวกันไปสักพัก หวังโผข้างกายของเหลียงอิน ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เดินมาเบื้อองหน้าของเฉินห้าว “ท่านอ๋องเพค่ะ พระชายารองทรงตื่นบรรทมแล้ว กำลังตามหาท่านไปทุกแห่งหน! ท่านอ๋องอยากไปทอดพระเนตรดูสักหน่อยไหมเพค่ะ?” เวลานี้มาหาเฉินห้าว นี่ไม่ใช่มารนหาที่ตายหรือ? บางทีหวังโผอาจจะไม่รู้ว่าอะไรเรียกว่านำเภทภัยมาสู่ตัวหรอกน่ะ? “เปิ่นหวังไม่ว่าง” เฉินห้าวทรงสะบัดแขนเสื้อของเขาไปครั้ง ก็ทรงหันกายเดินไปทางห้องสมุดทันที หวังโผตกตะลึง นางมองไปที่เงาหลังของเฉินห้าว แล้วมองดูเหลียงซิน เหนือความคาดคิดท่านอ๋องไม่ไปพบพระชายารอง? ต้องเป็นเหลียงซินพูดอะไรต่อหน้าเขาแน่ ๆ ! เหลียงซินหันศีรษะไป ก็ได้เห็นแววตาอันจงเกลียดจงชังของหวังโผ ช่างน่ากลัวนัก ดูแล้ว หวังโผจะย้ายความโกรธในเรื่องของเฉินห้าวทุกอย่างมาตกลงบนตัวนาง นางยิ้มเล็กน้อย “หวังโผ ท่านอ๋องมิได้ทรงทราบวิธีการรักษาทางการแพทย์ แม้ว่าไปเยี่ยมน้องสาว ก็ไม่ได้ทำให้ดีขึ้น ไม่งั้นให้ข้าไปกับเจ้า เพื่อดูแผลของน้องสาวดีไหม” กล้ามเนื้อบนใบหน้าของหวังโผสั่นกระตุกไปหมด “ไม่ต้องแล้ว พระชายารองคงไม่คิดจะเห็นเจ้าเพค่ะ” “โอ้ ไร้เหตุผลไม่มีผู้ป่วยที่ไม่ยอมพบแพทย์ในทั่วใต้หล้า วันนี้ข้าต้องไปให้จงได้ เจ้าจะทำอะไรข้าได้?” เหลียงซินเดินต่อไปข้างหน้าอย่างไม่สนใจ เรือนลั่วอินอยู่ไม่ไกล ผ่านสวนรุกขชาติแห่งหนึ่งก็ถึงแล้ว บ่าวสาวรับใช้ข้างนอกยังไม่ได้แยกย้ายกันไป แต่รอที่ประตูเตรียมรับพระราชโองการ ยังไงในจิตใจของพวกนาง เหลียงอินเป็นผู้ทรงโดดเด่นอยู่ในดวงฤทัยของเฉินห้าวจึงไม่กล้าเชื่องช้ากันสักนิด ทันทีที่เหลียงซินผลักประตูเข้าไป เหลียงอินซึ่งเพ่งมองนอกประตูอย่างรอคอยเป็นพิเศษ เมื่อนางพบว่าเป็นเหลียงซิน แววตาพลันสลดลงมา “ที่แท้เป็นพี่สาวมา บ่าวสาว จัดที่นั่ง” “ทำไมหรือ? ข้ามาที่นี่ทำให้น้องสาวไม่ดีใจแล้วหรือ?” เหลียงซินนั่งลง ถามด้วยความประหลาดใจมาก เหลียงอินรีบส่ายศีรษะทันที “ไม่ใช่ค่ะ พี่สาวเข้าใจผิดไปแล้ว ได้ยินว่าหลังจากที่ข้าถูกธนูยิงใส่ เป็นท่านพี่ช่วยรักษาบาดแผลให้ข้า ข้าขอบเจ้าท่านพี่ยังมาไม่ทัน ไหนเลยจะไม่ดีใจล่ะ!” เหลียงซินพยักหน้าเข้าใจอย่างฉับพลัน “งั้นเป็นเพราะท่านอ๋องไม่ได้ทรงเสด็จมา น้องสาวจึงไม่ดีใจใช่ไหม?” เสียงพูดเพิ่งสิ้นสุดลง สีหน้าของเหลียงอินมีแววกระอักกระอ่วนที่ถูกค้นพบเล็กน้อยแวบผ่านไป ไม่รู้จะตอบยังไง สามารถพูดได้ว่าตอบอะไรไปก็ล้วนผิดหมด เมื่อเป็นเช่นนั้น นางยังคงเสแสร้งได้ดีมาก “ท่านอ๋องทรงมีภารกิจจัดการกับปัญหาทุกวัน น้องไม่กล้าเพ็ดทูลท่านอ๋องเสด็จมาทรงเยี่ยม ท่านพี่ทรงมาเยี่ยมน้องก็เหมือนกันเพค่ะ” เหลียงซินเป็นเหมือนผู้เฒ่าที่พร่ำสอนผู้อื่นอย่างมีทักษะ “เจ้าสามารถคิดได้เช่นนี้ก็ดีมากแล้ว เป็นเพียงชายารอง เจ้าต้องเข้าใจว่าท่านอ๋องสามารถแต่งงานกับเจ้า ก็เป็นการให้เกียรติแก่เจ้าแล้ว ไม่ได้มาเยี่ยมเจ้าก็ไม่อาจหึงหวงอย่างไม่หยุดหย่อนได้ มิเช่นนั้นก็ไม่เข้ากับนิสัยเจ้า จะถูกท่านอ๋องทรงพบเห็นได้ง่ายล่ะ!” นี่... ใบหน้าที่งดงามของเหลียงอินค่อย ๆ บิดเบี้ยวขึ้นมา เดิมใบหน้าก็มีบางส่วนที่สำแดงอาการป่วยในเวลานี้ก็ยิ่งปรากฏซีดมากขึ้น “น้องไม่ทราบว่าคำพูดของท่านพี่หมายถึงอะไร...” “เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ รู้แล้วกลับจะทำให้เจ้าไม่มีความสุข เจ้าก็เป็นเช่นนี้เถอะ ดีแล้ว ยังไง ๆ ก็ไม่มีใครเปิดโปงเจ้า” หลังจากที่เหลียงซินได้พูดจบ นางก็ลุกขึ้นยืน นั่งในเรือนลั่วอินกล่าวได้ว่าเหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็ม นอกจากนี้ผู้คนที่นี่ก็ไม่เป็นมิตรขนาดนี้ ถ้าพวกเขายังคงอยู่ที่นี่สืบต่อไป พวกเขาคงจะอายุขัยสั้นแน่ คำพูดของนางได้กระทบถึงแก่นเป็นพอ อื่น ๆ นั้นก็ต้องให้เหลียงอินค่อย ๆ เรียนรู้ประสบเอง! ขณะที่เหลียงซินได้จากไปแล้ว บรรยากาศทั่วเรือนลั่วอินก็ได้ตกต่ำถึงสุดขั้ว เหลียงอินระงับความโกรธในใจ ดูผิวเผินสงบไร้คลื่นแห่งความกลัววิตก แต่ในใจกลับมีพายุโหมกระหน่ำไปนานแล้ว แทบจะฉีกเหลียงซินออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในทันที ใบหน้าที่นางได้เสแสร้งมาเป็นเวลานานขนาดนี้ แม้แต่หวังโผซึ่งอยู่ใกล้ข้างกายนางที่สุดยังไม่ทราบ เหลียงซินกลับมองออกทะลุปรุโปร่งได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ “พระชายารอง ทรงอย่าได้ใส่ใจในคำพูดของพระชายา นางก็แค่เก่งแต่พูด เพียงตีฝีปากกล้าเล่นคารมไปเท่านั้น พระชายารองยังทรงเป็นที่รักของท่านอ๋องเช่นเดิมเพค่ะ” หวังโผปลอบอย่างทันเวลา ถ้ามิใช่ข้างนอกยังมีบ่าวสาวข้าราชบริพารมากเช่นนั้น เหลียงอินอาจจะร้องไห้ออกมาแล้ว นางกุมหัวใจไว้ มองหวังโผอย่างเจ็บปวดสุด ๆ “หวังโผ เจ้าบอกซิว่าท่านอ๋องไม่ได้รักข้าใช่ไหม แต่กลับไปรักพี่แล้วใช่หรือไม่?” หวังโผส่ายหน้าอย่างมั่นใจทันที “พระชายารองทรงโปรดวางพระทัยเพค่ะ ท่านอ๋องไม่ใช่คนที่สองจิตสองใจ ไม่ได้รักพระชายาอย่างเด็ดขาด หรือไม่บ่าวจะไปที่ห้องสมุดทูลเชิญท่านอ๋องอีกครั้งไหมเพค่ะ?” เหลียงอินฟังคำกล่าวแล้ว ดวงตาทั้งคู่กระจ่างขึ้น “ถ้าเช่นนั้นฝากหวังโผช่วยไปทำแล้ว” ช่วงบ่ายตำหนักอ๋องสิงดูมืดครึ้ม เหลียงซินเพิ่งกลับมายังเรือนเฉียวหยางของนาง รู้สึกหดหู่ในหัวใจเนือง ๆ ทันทีที่เข้ามาในประตู ก็ได้ยินเสียงบ่าวสาวรับใช้บางคนกระซิบกระซาบซุบซิบข้างหูกัน ไม่ทราบว่ากล่าวอะไรกัน เหลียงซินขมวดคิ้ว มองดูชุนฮวาและชิวเย่ว์ พยักหน้าให้พวกนาง พวกนางรีบทราบเกล้าทราบกระหม่อมทันที เดินไปยังเบื้องหน้าหญิงรับใช้น้อยสองสามคนนั้น “พวกเจ้ากำลังพูดอะไรกัน? ทูลพระชายาทุกอย่างให้หมดน่ะ” ชิวเย่ว์กล่าวอย่างใบหน้าไร้อารมณ์ รอยยิ้มบนใบหน้าของหญิงรับใช้สองงสามคนได้สลายหายไปอย่างฉับพลัน ยังแฝงความกลัวเล็กน้อย “พระชายาเพค่ะ เรากำลังพูดถึงหวังโผ...ขออภัย ต่อไปพวกบ่าวไม่กล้าอีกแล้วเพค่ะ” เหลียงซินดูพวกเขาด้วยความสนใจ “หวังโผ นางทำไมหรือ?” บ่าวรับใช้สาวน้อยทูลว่า “เมื่อครู่หวังโผได้ไปห้องสมุดเพื่อกราบทูลเชิญท่านอ๋องไปเยี่ยมพระชายารอง ไม่เพียงมิอาจกราบทูลเชิญได้ กลับทรงถูกปรับลงอาญาตามกฎของจวน ยืนอยู่นอกประตูจวน คราวนี้ทุกคนในจวนอ๋องล้วนทราบเรื่องนี้กันหมดแล้วเพค่ะ” ที่แท้เป็นอย่างนี้ เหลียงซินอดไม่ได้ต้องทรงพระสรวลออกมา หวังโผคนนี้ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาจริง ๆ แบบนี้ยังกล้าไปทูลเชิญเฉินห้าวถึงสามครั้ง ช่างรนหาที่ตายซะจริง ๆ หมอกทึบในใจของนางกวาดหายไปในชั่วพริบตา กลับยังรู้สึกสุขใจบ้าง “อืม ชุนฮวา เจ้าไปที่ห้องครัวบัญชาให้คนยกยาต้มเพื่อปลุกให้หวังโผตื่นจากภวังค์มาชุดหนึ่ง จำไว้ว่าต้องได้บอกนางว่านี่นำมาใช้รักษาสมองนะ” ชุนฮวาและชิวเย่ว์มีความสุขเหลือล้น พยักหน้าแล้วรีบไปปฏิบัติทันที กลับมารายงานเหลียงซินว่าสีหน้าของหวังโผเปลี่ยนเป็นสีดำไปหมดแล้ว เหลียงอินร้องไห้ไม่หยุดในห้อง ท่านอ๋องทรงทราบแล้วแต่ไม่ได้สดับฟังไม่ได้ถามไถ่ ใครให้คนของเรือนลั่วอินต้องถึงคราซวย พวกนางอาจจะยังไม่รู้ว่าเฉินห้าวทรงเป็นกังวลในเรื่องขององค์รัชทายาท หลังจากผ่านเรื่องนี้ไปแล้ว ไม่กี่วันติดต่อกันผ่านไป เหลียงอินไม่กล้าที่จะไปทูลเชิญเฉินห้าวอีก เฉินห้าวก็ดูเหมือนจะค่อย ๆ ทรงลืมเรื่องนี้ไปแล้ว เพราะใกล้เวลาที่องค์ชายเจ็ดเฉินหวี้ทรงเชิญพวกเขาไปเขาผิงกู่แข่งม้ายิ่งมายิ่งใกล้แล้ว แต่เฉินห้าวกลับยังทรงสืบหาไม่ออกว่าที่แท้ใครวางยาพระสนมอันและใส่ร้ายองค์รัชทายาท นั่นหมายความว่าในสนามแข่งม้า ไม่เพียงแต่องค์รัชทายาท แม้แต่เขายังถูกองค์ชายอื่น ๆ หัวเราะเยาะ แล้วยังนำมาซึ่งตาต่อตาฟันต่อฟันจากเฉินหวี้ ชั่วขณะ ทั้งตำหนักอ๋องสิงถูกปกคลุมไปด้วยหมอกทึบปื้นหนึ่ง มีเพียงเรือยนเฉียวหยางที่จะได้ยินเสียงพูดจาหัวเราะบ้างมาเป็นพัก ๆ เหลียงซินดูเหมือนจะไม่ได้รับความเดือดร้อนจากเหตุการณ์นี้ นางกำลังเล่นวาดภาพทายสำนวนกับชุนฮวาชิวเย่ว์พอดี “พระชายา ภาพวาดนี้ของพระองค์คือภาพอะไร บ่าวมองไม่ออกเลยสักนิดเพค่ะ!” ชุนฮวาท้าวคางไว้ ถือกระดาษแผ่นหนึ่ง ดูแนวนอนดูแนวตั้ง ไม่เหมือนอะไรทั้งสิ้น “ที่แท้นี่เป็นสุนัข หรือเป็นมนุษย์ หรือเป็นระกา หรือเป็นแมวน่ะ...” ชิวเย่ว์รู้สึกหม่นหมองรันทด “แน่นอนนี่ไม่สามารถบอกพวกเจ้าได้ วาดแบบรูปนามธรรมไปนิด พวกเจ้าจึงไม่สามารถเดาออกมาได้!” เหลียงซินยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ภาพวาดของนาง นับเป็นค่ายนามธรรม ประมาณว่าถ้าให้เดาต่อไปอีกเช่นนี้ สองสาวใช้ต้องเป็นหนี้นวดเฟ้นของนางยิ่งมากขึ้นแล้ว “โอ้...” ทั้งคู่กุมขมับไร้วาจาอย่างขมขื่น ครุ่นคิดอย่างเงียบๆ บรรยากาศเต็มไปด้วยความเศร้าโศกเล็กน้อย ทันใดนั้น กระดาษแผ่นนั้นถูกยกขึ้นมา แล้วเสียงอันมีพลังดึงดูดทุ้มลึกเสียงหนึ่งได้ดังขึ้นมา “ระกาและสุนัขเหินนภา” เหลียงซินเงยหน้าขึ้นมอง เพียงเห็นเฉินห้าว ไม่รู้ว่าเข้าห้องมาตั้งแต่เมื่อไร แต่ยังเดาคำตอบได้ถูกต้อง 
已经是最新一章了
加载中