ตอนที่ 29 โดนตำหนิ   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 29 โดนตำหนิ
ต๭นที่ 29 โดนตำหนิ วันถัดมา รถม้าสองคันมารอเตรียมพร้อมที่หน้าประตูจวนตระกูลเซี่ย เซี่ยอีอียังคงสวมชุดสีขาวเหมือนเดิม แต่ชุดดังกล่าวมีความแตกต่างนิดหน่อย มีสายคาดเอวสีม่วง และมีการเพิ่มสีสันขึ้นเล็กน้อย ทำให้ดูมีสง่าราศีขึ้นมากเลยทีเดียว เด็กแสบสองคนยังเหมือนปกติ พวกเขายังคงสวมชุดสีม่วง ฝั่งเด็กผู้ชายรวบผมมีสายคาดสีม่วง ฝ่ายผู้หญิงมัดผมสองข้าง มีเพิ่มมุดประดับดอกไม้ เดิมเด็กทั้งสองก็ดูสดใสอยู่แล้ว บวกกับการเดินตามเซี่ยอีอีออกมา ยิ่งทำให้ดูมีราศีขึ้นมาก รถม้ามีสองคัน เซี่ยอีอีก็ต้องพาเซี่ยวี่ซื่อกับเซี่ยเฉินวี่ไปขึ้นรถของเซี่ยหวินเทียน ขณะที่กำลังจะก้าวขึ้นไป ก็เห็นรถม้าอีกคันหนึ่งเคลื่อนที่มา รถม้ามาก็ไม่ได้มีอะไรแปลก อย่างมากก็ดูหรูหราขึ้นมาพอตัว แต่ว่าคนที่บังคับรถม้านั้น ...... เซี่ยอีอีขมวดคิ้ว ไม่อยากจะไปสนใจ แต่ว่าขณะที่กำลังขึ้นรถม้า รถม้าคันนั้นก็มาหยุดตรงหน้าของพวกเขา“แม่นางเซี่ย ท่านอ๋องขอให้ท่านพาคุณชายกับคุณหนูน้อยนั่งรถม้าของเราเข้าวัง” เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยเหวียนฉีกับนางเฉินซื่อก็มองไปที่เซี่ยอีอีด้วยความตกใจ รถม้าของอ๋องหยงไม่ใช่คนคิดจะนั่งก็จะได้นั่งน่ะ? แต่วันนี้อ๋องหยงกลับส่งคนมารับด้วยตัวเอง ซึ่งถือว่าให้เกียรติมากๆ เซี่ยอีอียืนมองตงหมิงอยู่บนรถม้า“กลับไปบอกท่านอ๋องของเจ้า รถของเขามันสูงส่งเกินไป ข้านั่งไม่ไหว ข้าจะเข้าวังพร้อมกับพี่ชายของข้า” เมื่อสิ้นเสียงของนาง เซี่ยอีอีก็หันหลังเดินเข้าไปในรถ ก็เห็นตงหมิงเอ่ยปากพูดอีกครั้ง“แม่นางเซี่ย ท่านอ๋องกล่าวว่า องค์ฮองเฮาทรงเป็นผู้เชิญท่านเข้าวัง หากท่านเข้าวังไปพร้อมกับท่านแม่ทัพเซี่ย จะต้องเข้าทางประตูใหญ่ของวัง ฮองเฮาทรงอยากจะพบท่านเป็นการส่วนพระองค์ ดังนั้นท่านอ๋องถึงได้ทรงให้ข้ามารับท่าน” เมื่อยกเอาองค์ฮองเฮาออกมา มันเหมือนถูกค้อนทุบลงมาอย่างหนัก ต่อให้นางไม่อยากไปนั่งรถม้าคันนั้นแค่ไหน นางก็ปฏิเสธไม่ได้ “อีอี ไปเถอะ อย่าให้องค์ฮองเฮาต้องรอนาน”เซี่ยหวินเทียนพูดเกลี่ยกล่อม เซี่ยอีอีได้แต่ไม่พอใจในใจ แต่ก็ต้องลงจากรถม้าของตัวเอง แล้วเดินไปขึ้นรถม้าของตงหมิง เซี่ยอีอีมองไปที่ตงหมิงที่ไม่กล้าสบตานาง หลังจากนั้นก็ขึ้นรถไป เมื่อนางเปิดผ้าม่านรถม้าออก ก็ทำให้นางตกใจจนเกือบตกรถ มองดูชายที่มีรอยยิ้มอย่างมีเลศนัยในนั้น เซี่ยอีอีโกรธมาก แต่ด้านนอกมีคนมองอยู่เยอะมาก อีกทั้งนางก็ขึ้นรถมาแล้ว ก็คงไม่เหมาะที่จะลงจากรถม้าไปอีก นางก็เลยรวบรวมอารมณ์แล้วขึ้นไปนั่งบนรถม้า หลังจากนั้นเด็กสองคนก็ถูกอุ้มตามขึ้นมา เซี่ยวี่ซื่อกับเซี่ยเฉินวี่เมื่อเห็นเหว่ยหมิงก็ตกใจ หลังจากนั้น เซี่ยวี่ซื่อก็กลายเป็นลูกแมวซบอยู่บนตัวของเซี่ยอีอี ส่วนเซี่ยเฉินวี่ก็เหลือบมองไปที่เหว่ยหมิงด้วยความไม่พอใจ สายตาที่มองมานั้นเหมือนกับแม่ของเขาไม่มีผิด เมื่อรถม้าเริ่มออกเดินทาง บรรยากาศภายในรถก็ดูตึงเครียด เซี่ยวี่ซื่อกัดริมฝีปากล่างมองไปที่เซี่ยเฉินวี่ เหมือนมีเรื่องอยากจะถามเขาว่า ตอนนี้นางควรจะทำยังไง แต่ใครจะคิด เซี่ยเฉินวี่กลับมองบนใส่นาง หันหน้าออกไปนอกรถ เซี่ยอีอีรู้สึกได้ว่าสายตาของเด็กสองคนนี้แปลกๆ นางก็แน่ใจเรื่องข่าวลือที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ นางมองไปที่เหว่ยหมิง กลับเห็นเขายิ้มเบาๆไม่หยุด แล้วมองจ้องมาที่นางโดยไม่กระพริบตา “ท่านอ๋องดูอารมณ์ดี ถึงขึ้นใช้พระนามของฮองเฮามาแอบอ้าง หลอกให้พวกเราแม่ลูกขึ้นรถม้ามาแบบนี้”เซี่ยอีอีพูดด้วยท่าทางที่ไม่ได้หาเรื่อง แต่น้ำเสียงกลับประชดประชันทุกคำ “คุณหนูเซี่ยทำไมพูดแบบนี้ล่ะ หากเทียบกับปกติที่เจ้าพูดกับข้า คงไม่ถึงขึ้นหลอกลวงหรอกจริงไหม!”เหว่ยหมิงเหมือนไม่ได้สนใจสิ่งที่นางพูดเลย ยังคงยิ้มต่อ เซี่ยอีอีพูดด้วยความเย็นชาว่า“ไม่นับงั้นหรอ? ท่านอ๋องหยงมีฐานะสูงส่ง อยากจะให้เราขึ้นรถม้าก็พูดตรงๆก็ได้ ทำไมจะต้องทำอะไรให้มันซับซ้อนแบบนี้ล่ะ? หากใครรู้เข้า คงต้องคิดว่าท่านอ๋องมลับลมคมในอะไรแน่ๆ!” เมื่อเห็นนางพูดอะไรโอหังแบบนี้ เหว่ยหมิงก็กระตุกมุมปากยิ้ม เขาเห็นเด็กแสบสองคนไม่พูดไม่จา ก็หันไปมองเซี่ยอีอี “ไม่ทราบว่าคุณหนูเซี่ยได้ยินข่าวลือในเมืองหลวงบ้างหรือไม่ ตอนนี้เจ้ากับข้าก็ถือว่าเป็นคนดังระดับหนึ่งแล้วนะ ที่ข้าต้องทำแบบนี้ก็อยากจะคุยแผนรับมือกับเจ้าเท่านั้น หากข้าพูดตรงๆ ทุกคนก็รู้หมดน่ะสิว่าข้าก็อยู่บนรถม้าด้วย? หรือว่า คุณหนูเซี่ยไม่ถือสาเรื่องพวกนี้หรอ ไม่สนใจข่าวลือที่เกิดขึ้นเลยงั้นหรอ?” เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยอีอีก็คิดหนัก คำพูดของเขาก็ใช่ว่าไม่มีเหตุผล เพียงแต่ว่า เขามีความหวังดีขนาดนี้หรอ เพียงแค่ต้องการปรึกษาหาวิธีรับมือแค่นั้นน่ะหรอ? หากเป็นอย่างนั้นจริง ทำไมเขาถึงไม่ปฏิเสธไปตั้งแต่ตอนนั้น เพราะมันจะทำให้เขาหลุดพ้นข้อกล่าวหาได้เลย? “ท่านอ๋องมีแผนยังไงเชิญพูดมาได้!”เซี่ยอีอีไม่เชื่อว่าเขาจะหวังดีขนาดนี้ แต่เรื่องมาถึงตรงนี้แล้ว นางเองก็ไม่ควรอยู่เฉยๆแบบนี้ อย่างน้อยก็ต้องรู้ก่อนว่าเขาต้องการอะไร “หือ? คุณหนูเซี่ยยังไม่ได้คิดแผนรับมือไว้งั้นหรอ? ข้าก็นึกว่าเจ้าคิดวิธีไว้แล้วซะอีก ถึงได้มาลวงเอาความจากเจ้า”ลับฝีปากกับนางมาสองครั้ง ก็พ่ายแพ้ให้นางทุกครั้ง ตอนนี้คำพูดของเขาทำให้นางตกหลุมพรางได้ ดูสิว่านางจะมีอะไรพูดอีก เมื่อเห็นสีหน้าเหว่ยหมิงกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม เซี่ยอีอีก็เลยจ้องเขม็งเขาไป ก็รู้ทันทีว่าเขาไม่ได้หวังดีจริง แล้วก็เป็นอย่างที่นางคิดไว้ แต่ว่าเซี่ยอีอีก็ไม่ใช่คนหัวอ่อน ที่เขาจะว่าอะไรก็ทำตาม นางขมวดคิ้ว แล้วยิ้มว่า“แผนรับมือน่ะคิดไว้แล้ว ขอแค่ท่านอ๋องเริ่มพูดก่อนเท่านั้น!” เหว่ยหมิงยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ รอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความร้ายกาจนี้ เหมือนกับจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ เขาก็เอียงตัวไปใกล้นาง แล้วมองหน้าของนางด้วยความนิ่ง “ที่แท้ เจ้าก็อยากจะเจอข้าเป็นการส่วนตัวมานานแล้วสิ ถึงได้คิดแผนรับมือเอาไว้แล้ว” เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยอีอีถึงกลับนิ่งไป ข่มอารมณ์ที่อยากจะฆ่าเขาให้ตายแล้วยิ้มเบาๆ“ท่านอ๋องกล่าวถูกแล้ว ข้าหวังจะได้พบกับท่านทุกวัน หากไม่งั้น จะมีใครกล้าเก็บน้ำสกปรกที่สาดออกไปแล้วกลับมาล่ะ?” เหว่ยหมิงชอบมองท่าทีที่ไม่ตกใจกลัวอะไรของนาง เลยไม่ได้สนใจว่าจะมีเด็กอยู่ด้วย ยื่นมือไปจับคางของนางขึ้นมา“น้ำที่สาดไปแล้วคงไม่อาจเก็บกลับมาได้ แต่ว่าข้าสามารถนำส่วนที่เปียกนั้นเอามาไว้ที่วังของข้า เจ้าคิดว่ายังไง?” เซี่ยอีอียิ้มมุมปาก แล้วผลักมือเขาออก เอาหลังพิงเบาะรถม้าไปอย่างขี้เกียจ“ข้อเสนอของท่านอ๋องดูเหมือนจะซับซ้อนวุ่นวายเกินไป ข้าเป็นคนกลัวความวุ่นวาย ในเมื่อท่านอ๋องอยากจะฟังแผนของข้า งั้นก็ขอให้ท่านอ๋องทำตามวิธีของข้าด้วย ข้อเสนอของข้าง่ายมาก ขอแค่มีคนถาม ท่านปฏิเสธก็พอ แค่นี้คนอื่นๆก็ไม่กล้าถามอะไรมากความอีก” หากจะพูดกันจริงๆแล้ว เรื่องนี้มันก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรมากมาย ขอแค่เหว่ยหมิงออกมาปฏิเสธด้วยตัวเอง ก็ไม่มีใครกล้าพูดเรื่องนี้ต่อไปอีก แต่ที่แปลกก็คือเขานิ่งไม่พูดอะไรเลย ถึงแม้เซี่ยอีอีจะไม่รู้ว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น แต่นางมั่นใจว่าเขาตั้งใจแน่ๆ เห็นนางกำลังใช้วิธีออกคำสั่งกับเขา เหว่ยหมิงก็ยิ้ม“จะให้ข้าเอ่ยปากปฏิเสธมันก็ไม่ยาก แต่ว่า เจ้ารู้ได้ยังไงว่าเรื่องที่ข้ามาปรึกษาเจ้านั้นผลคือปฏิเสธ แต่ไม่ใช่ยอมรับล่ะ?” เซี่ยอีอีถึงกลับมองเขาด้วยความตกใจ“ท่านอ๋องล้อเล่นแบบนี้มันเกินไปนะ อีอีไม่คิดว่ามันตลกนะ” ล้อเล่นหรอ? ก็ให้นางคิดว่าเป็นเรื่องล้อเล่นไปก่อนก็ได้! เหว่ยหมิงยิ้มเบาๆ แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาหันหลังไปหยิบกล่องผ้าไหมยาวออกมา เซี่ยอีอีขมวดคิ้ว แล้วมองไปที่กล่องในมือของเขาอยู่นานก่อนที่จะยื่นมือออกไปรับ เมื่อเปิดออก สายตาของนางเป็นประกายขึ้น หลังจากนั้นสีหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นความตะลึง ขลุ่ยเล่มหนึ่ง ไม่ยาวมาก เมื่อเทียบกับขลุ่ยเล่มเดิมของนางถือว่าสั้นไปฉือหนึ่ง หยกขาวใส ที่สามารถมองเส้นเลือดฝาดที่อยู่ภายในขลุ่ย ขลุ่ยประดับไปด้วยหยกปี้หูกับหินโมราเขียว พู่ที่ถักเป็นสีน้ำเงินอมม่วงพัดด้วยด้ายสีทองสลับไปมาดูแล้วเข้ากันดี เซี่ยอีอีค่อยๆหยิบขลุ่ยเล่มนี้ออกมาจากกล่องอย่างระวัง แล้วเงยหน้าด้วยแววตาที่เปล่งประกาย แล้วมองไปที่เหว่ยหมิง “หยกสีเลือด? หลิงเซียว?” “ไม่เสียงแรงที่เป็นคนที่ชื่มชอบหยก พริบตาเดียวก็มองออกแล้วว่าเป็นขลุ่ยหลิงเซียว ข้าเคยทำขลุ่ยหยกของเจ้าเสียไป วันนี้ข้าจะใช้ขลุ่ยหลิงเซียวเล่มนี้ชดใช้ให้เจ้า เจ้าคิดว่ายังไง?”เหว่ยหมิงยิ้มอย่างอ่อนโยน เหมือนพึงพอใจที่เห็นนางทั้งตกใจและดีใจไปพร้อมๆกันแบบนี้ เมื่อเห็นนางสายตาเป็นประกายแบบนี้ เหว่ยหมิงก็ยิ้มมากขึ้นไปอีก เซี่ยอีอีค่อยๆประคองจับขลุ่ยหยกในมืออย่างระวัง ของสิ่งนี้ล้ำค่ามาก แค่หยกสีเลือดก็หายากมากแล้ว แต่นี่คือหยกสีเลือดที่นำมาทำเป็นขลุ่ย ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า นางไม่สามารถต้านทานกับของสิ่งนี้ได้จริงๆ รอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความดีใจจนปิดไม่มิด ไม่เหมือนปกติที่ชอบประจบคนอื่นบ่อยๆ เพราะมันทั้งอ่อนหวาน สวยจนไม่อาจละสายตาเลย “ท่านอ๋องพูดจริงหรอที่จะใช้ขลุ่ยหยกเล่มนี้มาชดใช้? ขลุ่ยหยกเล่มนั้นราคาเพียงพันตำลึงเท่านั้น แต่หยกหลิงเซียว ......”เซี่ยอีอีเงยหน้ามองเขาอีกครั้ง เหมือนต้องการยืนยันว่าเขาจริงใจหรือเปล่า“ท่านอ๋องไม่เสียใจแน่หรือ? ของสิ่งนี้หากตกอยู่ในมือของข้าแล้ว ก็จะไม่มีทางได้คืนอีก” เหว่ยหมิงยักคิ้ว“ตอนนี้ของสิ่งนี้ก็อยู่ในมือเจ้าแล้วไม่ใช่หรอ ถ้าข้าจะเอาคืน เจ้าจะคืนข้างั้นหรอ?” เซี่ยอีอีเม้มปาก เงยหน้ามองเขาด้วยสายตาที่เป็นมิตรมากขึ้น“ในเมื่อท่านอ๋องทรงตรัสมาเช่นนี้แล้ว ข้าก็จะไม่เกรงใจแล้วนะ ท่านบอกเองว่าจะชดใช้ให้ข้า คำว่าขอบคุณก็คงไม่ต้องหรอกเนอะ” นางพิจารณาดูขลุ่ยหยกในมืออย่างละเอียด ซึ่งมันชื่นชอบมากๆจนไม่อาจวางมันลงได้เลย ไม่นานนัก รถม้าก็หยุดวิ่ง ตงหมิงพูดรายงานมาจากด้านนอกว่า“ท่านอ๋อง ถึงปากประตูวังหลวงแล้ว” เซี่ยอีอีดีใจจนสติหลุดไป ก็เลยห้อยขลุ่ยเอาไว้ที่เอว แล้วพาเด็กสองคนลงจากรถม้าไป หลังจากที่นางเปิดม่านรถม้าออก นางก็รู้สึกผิดขึ้นมาทันที ...... งานในวันนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองฤดูร้อน นอกจากเหล่าเชื้อพระวงศ์กับขุนนางชั้นสูงแล้ว ยังมีคุณชาย คุณหนูตระกูลใหญ่อีกมากมาย ทั้งหมดจะมารวมตัวกันในวังหลวง ตอนนี้นางลงมาจากรถม้าของเหว่ยหมิง มันไม่อาจรอดพ้นสายตาของคนอื่นๆได้ ขณะกำลังคิดว่าจะถอยกลับไปดีไหม เซี่ยวี่ซื่อกับเซี่ยเฉินวี่ก็กระโดดลงจากรถม้าไปแล้ว หลังจากนั้นก็มีคนๆหนึ่งเดินออกมา ทำให้นางไม่มีทางถอยกลับไปได้อีก ทั้งคู่ยืนอยู่ครึ่งๆกลางๆ จะเดินหน้าก็ไม่จะถอยหลังก็ไม่ได้ ทำให้คนที่กำลังจะเข้าวังต่างหยุดเดิน เหว่ยหมิงยืนอยู่ด้านหลังของเซี่ยอีอี ทั้งคู่ยืนอยู่ใกล้กันมาก หากไม่ดูให้ดี ยังคิดว่าเซี่ยอีอีกำลังถูกเขาโอบอยู่ “ไม่ลงจากรถหรอ?” เสียงที่นุ่มนวลดังขึ้นในหู เซี่ยอีอีโกรธจนกัดฟัน แล้วพูดเบาๆออกไปว่า“เหว่ยหมิง ท่านตั้งใจ” ในแวดล้อมที่เต็มไปด้วยสายตาของผู้คน เหว่ยหมิงไม่ปิดผ้าม่าน เขาหันไปพูดข้างหูนางว่า แล้วพูดว่า“ถ้าใช่แล้วจะทำไม?” “หน้าด้านที่สุด” เมื่อได้ยินดังนั้น เหว่ยหมิงก็ยิ้มเบาๆ ยื่นมือไปพยุงที่เอวของนาง แล้วก็พูดว่า“ไปกันเถอะ เสด็จแม่กำลังรอพวกเจ้าอยู่นะ!” หลังจากเหว่ยหมิงลงจากรถ ก็หันไปยิ้มให้คนที่ยังอยู่บนรถม้า เขายื่นมือออกไป ตั้งใจที่จะพยุงนาง แต่มือของนางกำหมัดแน่นอยู่ข้างชุด เมื่อมองไปยังคนที่อยู่ข้างๆ ก็คลายมือออกแล้ววางไปบนมือของเหว่ยหมิง นางยิ้ม แต่ที่จริงกำลังกัดฟันด้วยความโกรธอยู่“ท่านคิดว่าท่านทำแบบนี้มันสนุกงั้นหรอ?” “อืม ใช่”เหว่ยหมิงยังคงรักษาภาพลักษณ์เอาไว้ ไม่พูดอะไรเยอะ เซี่ยอีอีกระตุกมุมปากเบาๆ แล้วเดินตามเหว่ยหมิงไป“ท่านอ๋องไม่กลัวกลายเป็นข่าวเสียหายไปเข้าหูองค์ฮองเฮาหรอ?” “เสด็จแม่มีความคิดก้าวหน้า ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องพวกนี้หรอก” ความคิดก้าวหน้า? ดี นางก็อยากจะรู้ว่าคนโบราณจะความคิดก้าวหน้ายังไง ในตอนนี้ เซี่ยอีอีนอกจากจะต้องอดกลั้นกับความโกรธ เรื่องอะไรก็ทำไม่ได้อีก ด้วยสายตาหลายคู่ที่กำลังจับจ้อง นางไม่มีหนทางที่จะตอบโต้ผู้ชายคนนี้เลย จริงๆก็ไม่ได้อยากจะมีเรื่องอะไรเกี่ยวข้องกับเขาอีก เลยโยงเด็กสองคนนี้เดินไปอย่างเงียบๆ เหว่ยหมิงมองไปยังสามแม่ลูกที่เดินอยู่ข้างหน้าของเขา ในใจก็คิดว่า หลายวันมานี้ข่าวลือหนาหูมาก คิดว่านางคงต้องหาข้ออ้างมาพิสูจน์ หากเป็นเมื่อก่อน เขาเองก็จะรีบหาทางพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้ได้ แต่ในตอนนี้ เขาอยากจะให้มันอยู่แบบไม่ต้องแก้ไขไปแบบนี้ เขาไม่รู้ว่าเซี่ยอีอีจะใช้วิธีไหนในการแก้ปัญหา แต่ว่า หากจะทำให้มันวุ่นวายไปอีก วิธีที่ดีที่สุดก็คือต้องทำให้มันไม่เงียบไป เพราะต่อให้นางพูดเก่ง แต่เรื่องวุ่นวายที่ไม่สงบ นางคนเดียวก็คงรับมือไม่ไหวหรอก ณ พระตำหนักเฟิ่งหลวน เซี่ยอีอีพาเด็กสองคนมานั่งข้างๆ เหว่ยหมิงนั่งอีกข้างหนึ่ง ฮองเฮานั่งอยู่บนบัลลังก์มองไปที่สามคนแม่ลูกอยู่นาน หลังจากนั้นฮองเฮาก็ยิ้มเบาๆแล้วพูดว่า“เป็นสาวงามจริงๆด้วย เหมือนกับหนิงซินมากจริงๆด้วย งามไม่แพ้กันเลย” เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยอีอีก็ยิ้มแล้วลุกขึ้น“ฮองเฮาทรงชมเกินไปแล้วเพคะ” ก่อนหน้านี้เคยได้ยินเซี่ยหวินเทียนบอกว่าฮองเฮากับแม่แท้ๆของนางมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน แต่คิดไม่ถึงเลยว่า นางจะเป็นคนอ่อนโยนแบบนี้ ในตอนนี้ เซี่ยอีอีก็เริ่มสงสัยแล้วว่า แม่ที่อ่อนโยนแบบนี้ ทำไมถึงได้มีลูกชายที่เย็นชาแข็งทื่อแบบเหว่ยหมิงได้ “ข้าพูดความจริงทั้งนั้น ทำไมจะไม่กล้ายอมรับล่ะ? เจ้าไม่ต้องพิธีรีตรองต่อหน้าข้าหรอก นั่งลงเร็วเข้า หยูอี้ ยกน้ำชามาเร็ว” ฮองเฮามองไปแล้วเรียกไปที่นางกำนัลที่อยู่ข้างๆ นางกำนัลก็รีบยกน้ำชามาให้เซี่ยอีอี เซี่ยอีอีรับน้ำชามา ท่าทางดูเกรงใจไม่น้อย ไม่ได้ดื่มในทันที ฮองเฮายิ้มไม่หุบเลย ยังคงมองจ้องไปที่เซี่ยอีอี ส่วนเหว่ยหมิงก็ถูกนางทิ้งไว้อย่างนั้นโดยไม่ใยดี มองยังไม่มองเลย “หลายปีมานี้ ข้าอยากจะพบเจ้ามาก แต่ว่าไม่มีโอกาสเลย ตอนที่เจ้าเกิดข้าเคยได้เห็นหน้าเจ้าแค่ครั้งเดียว หากรู้ว่าเจ้าจะเป็นอย่างนี้ ข้าจะไม่ยอมปล่อยลูกสะไภ้อย่างเจ้าไปแน่ๆ” “โอ๊ะ--แค๊กๆ--” เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยอีอีเกือบสำลักน้ำชาตาย นางไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม เมื่อกี้ฮองเฮาพูดว่าอะไรนะ? ลูกสะไภ้? ใครเป็นลูกสะไภ้นาง? เซี่ยอีอีเช็ดปากที่สำลักเมื่อกี้ สีหน้าแดงเล็กน้อย บวกกับท่าทีที่ขะเขิน มันดูตลกมาก “ฮองเฮา ท่านตรัสอะไรเพคะ อีอีไม่เข้าใจ?” เมื่อเห็นนางเป็นแบบนี้ ฮองเฮายิ้มหน้าบาน“เจ้าเนี้ยนะ ไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร ทำไมจะต้องตกใจแบบนั้นด้วย?” พูดจบ ฮองเฮายิ้มเบาๆ แล้วเหลือบไปมองเหว่ยหมิง“ข้ารู้แล้ว จะต้องเป็นเพราะปกติเหว่ยหมิงชอบทำหน้าเย็นชา ดังนั้นเจ้าก็เลยกลัวใช่ไหม?” คำพูดแบบนี้มันมีกี่ความหมายกัน? เขาปฏิบัติต่อคนอื่นเย็นชาไม่ไว้หน้า แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนาง นางทำไมต้องกลัวด้วย? ฮองเฮาองค์นี้ ถึงแม้สีหน้าจะมีแต่รอยยิ้ม แต่เซี่ยอีอีกลับรู้สึกว่านางเป็นคนที่คาดเดาได้ยาก ก่อนหน้านี้เหว่ยหมิงบอกว่านางเป็นคนความคิดก้าวหน้า ตอนนี้ดูๆไปแล้ว คงไม่ใช่แค่ความคิดก้าวหน้าธรรมดา เมื่อเห็นรอยยิ้มของนาง เหมือนกำลังวางแผนอะไรอยู่ ทำให้คนรู้สึกกังวล 
已经是最新一章了
加载中