ตอนที่ 37 ฆ่าตัวตาย   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 37 ฆ่าตัวตาย
๕อนที่ 37 ฆ่าตัวตาย แสงแดดสาดส่อง ต้นไผ่เขียวชอุ่มล้อมรอบทำให้รู้สึกร่มรื่น ที่ด้านน้าเก้าอี้โต๊ะไม้ไผ่ หงอีนำชุดกาน้ำชามาวางไว้ด้านข้าง ครั้งก่อนได้พบกันครั้งหนึ่ง เขาก็จำได้แล้วว่านางชอบดมกลิ่นชา ทำงานในหอนางโลมทำจนชินไปแล้ว สำหรับคนที่มีความชอบพิเศษแบบนี้ ครั้งเดียวเขาก็จำได้แล้ว เซี่ยอีอีเห็นหงอีไม่เป็นอะไร นางก็ก้มหน้าแล้ววางมือไปที่ขลุ่ยไม้ไผ่ที่อยู่บนโต๊ะ แล้วถามไปเรียบๆว่า“เขาไม่ได้ทำอะไรเจ้าใช่ไหม?” หงอีสะบัดพัดออก แล้วพัดไปที่หม้อต้มชา แล้วยิ้มเบาๆ “ไม่เลย” “ขอโทษด้วยนะ ที่ทำให้เจ้าต้องเดือดร้อน” “ไม่เป็นไร” หงอีไม่ได้พูดอะไรมากมาย เซี่ยอีอีรู้ตั้งแต่ครั้งที่แล้ว นางหยิบขลุ่ยไม้ไผ่ขึ้นมาแล้วถามว่า“เจ้าเป็นคนทำหรอ? สวยดีนิ” หงอีหันไปมอง ยิ้มแล้วพูดว่า“ท่านอ๋องหยงเป็นคนทำ” เมื่อได้ยินดังนั้น นางก็วางขลุ่ยไม้ไผ่นั้นลงทันที ของที่ถือเล่นมาตั้งนาน คิดจะวางทิ้งก็ไม่ใยดีซะงั้น หงอีเห็นดังนั้นก็อดหัวเราะนางไม่ได้ “เขาชอบเจ้าหรอ?” “ถุย อย่าพูดถึงเลย!” เซี่ยอีอีเหมือนถูกฟ้าผ่าลงมากลางหัว ถึงกับตัวแข็งไปเลย หงอีลูบปากเบาๆ แล้วใช้เสียงไอมาปกปิดรอยยิ้มของตัวเอง แล้วพูดแหย่กลับไปว่า“ก็จริงเนอะ ท่านอ๋องหยงจะมาชอบเจ้าไม่ได้ ไม่งั้น กงจื่อซูจะทำยังไงจริงไหม?” เซี่ยอีอีหยิบขลุ่ยไม้ไผ่บนโต๊ะมาโยนใส่ตัวเขา “พูดอะไรเหลวไหล ข้ากับเขาเป็นเพื่อนกัน” “หรอ?” หงอีหยิบขลุ่ยไม้ไผ่ขึ้นมาวางบนโต๊ะใหม่อีกครั้ง เงยหน้าไปมองนาง ยิ้มแล้วพูดว่า“คำพูดของเจ้ามันก็แค่พูดขู่ข้าไปงั้นแหละ ในยุทธภพมีใครไม่รู้ว่ากงจื่อซูมีหญิงในดวงใจอยู่แล้วบ้างล่ะ? ถึงแม้ผู้หญิงคนนั้นจะยังไม่ได้เปิดตัว แต่ในเมื่อเขากล้าที่จะบอกเจ้าถึงฐานะที่แท้จริงของข้า ข้าก็รู้แล้ว เจ้าเป็นคนในใจของเขา” วิเคราะห์ได้ไม่เลวเลย แต่ว่ามันเกี่ยวอะไรกับนางด้วย? เซี่ยอีอีเอี้ยวตัวไป ทำเหมือนบิดขี้เกียจ แล้วถอนหายใจ “แล้วแต่เจ้าจะคิดเถอะ เขาอยากจะคิดอยากจะทำอะไรข้าไม่ยุ่ง แล้วก็ไม่อยากยุ่งด้วย เขาคนนั้นชอบพูดเล่นไปเรื่อย ใครเชื่อเขาก็บ้าแล้ว” เมื่อได้ยินดังนั้น หงอีก็ส่ายหน้า “จริงสิ หลายวันก่อนเขาส่งจดหมายมาบอกว่าช่วงนี้เรื่องภายในตำหนักยุ่งมาก จริงๆอยากจะมาเยี่ยมเจ้า แต่ตอนนี้อาจจะต้องรอไปก่อนอีกหลายเดือน” เซี่ยอีอีมองไปบนฟ้าด้วยท่าทางเบื่อหน่าย “เขาไม่มาจะดีกว่า มาแล้วก็อาจจะมาก่อเรื่องอะไรให้ข้าอีก เพียงแต่ว่า เด็กแสบสองคนนั้นอาจจะคิดถึงเขาแล้วก็ได้” เห็นนางทำท่าทางเหมือนไม่สนใจ หงอีก็รู้สึกสนุก เขาหันมา แล้วมองไปที่นางแล้วถามอย่างจริงจังว่า“แค่เด็กสองคนที่คิดถึงจริงๆหรอ เจ้าไม่คิดถึงเขาเลยสักนิดหรอ?” เซี่ยอีอียังคงมองไปที่ฟ้า “ทำไมต้องคิดด้วย ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วในชาตินี้ ต่อให้ชาตินี้จะไม่ได้เจอกันอีกแล้วจริงๆ คิดถึงแล้วมันจะมีประโยชน์อะไร?” คำพูดที่ออกมาจากปากนาง บางครั้งก็ทำให้คนที่ฟังรู้สึกทรมาน มองไม่เห็นความหวัง มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์นิ อีกอย่างในฐานะที่เป็นผู้หญิง ความรู้สึกมันควรจะละเอียดอ่อนกว่านี้ เห็นสีหน้าท่าทางของนางเรียบเฉย หงอีอ่านนางไม่ขาดเลย เขาถามขึ้นมาอีกว่า“หากว่าให้เจ้าเลือกระหว่างหงจื่อซูกับท่านอ๋องหยง เจ้าจะเลือกใคร?” เซี่ยอีอีเก็บสายตากลับมา แล้วเงยหน้าไปมองหงอี “ทำไมต้องเลือกด้วย? ในชีวิตของข้าไม่เคยต้องเอาตัวเองไปเลือกอะไร ข้าชอบใช้ชีวิตสงบ ต่อให้เอาข้าปล่อยไว้ที่กลางถนนถังจวง หรือจะเป็นหน้าผาที่สูงชัน ข้าก็จะปิดตา แค่ใช้ความรู้สึกแล้วเดินไปตามทางนั้น” เมื่อได้ยินดังนั้น หงอีก็ยิ้มเบาๆ รอยยิ้มนั้นมันบอกไม่ถูกว่ามันเป็นความชื่นชมหรือว่าเลื่อมใส ในโลกที่วุ่นวายแบบนี้จะมีสักกี่คนที่จะอิสระมากขนาดนี้? ต่อให้เป็นห่าน ก็ยังมีเรื่องที่ต้องเครียด คำว่า ‘ใช้ชีวิตตามหลักความสงบ’ ถึงแม้จะไม่ละคำถามของเขาไป แต่เขาก็เชื่อ นางเป็นคนแบบนี้จริงๆ ทลายกฎเกณฑ์ทุดอย่าง ทำอะไรไม่มีแผน นี่แหละเสน่ห์ของนาง ไม่แปลกใจเลยที่จ้าวตำหนักจะเชื่อใจนาง และก็ไม่แปลกใจเลยที่ได้ใจกงจื่อซูมานานหลายปี ............ เมื่อออกจากจวนอ๋องหยงมาแล้ว เซี่ยอีอีเดินเล่นคนเดียวอยู่บนถนน ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้น หลังจากนั้นก็เห็นคนกลุ่นหนึ่งวิ่งออกมา จริงๆตอนแรกก็ไม่คิดจะยุ่ง แต่เมื่อเดินไปไม่กี่ก้าว ก็เห็นมีคนกลุ่มหนึ่งยื่นล้อมอยู่บนสะพานเป็นจำนวนมาก ส่วนตรงสะพานก็มีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ เหมือนกำลังจะจบชีวิตลง นางเป็นคนไม่ชอบยุ่งเรื่องของใครอยู่แล้ว แต่ว่าเห็นผู้หญิงคนนั้นอายุไม่เยอะ หากตายไปแบบนี้ก็น่าเสียดาย? การตายมันง่าย มีชีวิตอยู่มันยาก ใครจะรับประกันได้ว่านางตายไปแล้วจะดีจริงๆ อาจจะไปเกิดใหม่ในร่างใครก็ไม่รู้ เมื่อคิดแบบนี้ นางก็เลยเดินขึ้นไป แต่สุดท้ายก็ช้าไปก้าวหนึ่ง เห็นคนๆนั้นกระโดดลงไป เซี่ยอีอีทนไม่ไหวก็เลยด่าออกไป “โอ้โห อะไรจะเร็วปานนั้น” สำหรับคนว่ายน้ำไม่เป็นอย่างนางแล้ว คนที่กระโดดน้ำฆ่าตัวตายนางจนปัญหาช่วยจริงๆ นางเห็นคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เลยพูดออกไปว่า“ดูอะไรอยู่นั่นล่ะ รีบไปช่วยคนสิ!” ทุกคนต่างยื่นตะลึง แต่เมื่อพวกเขาได้สติกลับมา เซี่ยอีอีก็หงุดหงิดซะแล้ว นางดึงคนๆหนึ่งโยนลงไปใต้สะพาน ในปากก็ยังบ่นอยู่“พี่ชายทั้งหลาย ทำไมบนหน้าถึงหมองคล้ำแบบนี้ล่ะ” “อ๊า ------” ตู้ม ------ “เจ้านี่มันยังไงกัน? เจ้าอยากจะช่วยคนก็ลงไปเองสิ ผู้ชายบ้านข้าว่ายน้ำไม่เป็น” เสียงคนข้างๆร้องตะโกนขึ้นมา เซี่ยอีอียื่นหน้าไปมองใต้สะพาน เห็นชายที่นางโยนลงไปเมื่อกี้ กำลังกระเสือกกระสนอยู่ในน้ำ เหมือนกำลังจะจมน้ำยังไงอย่างนั้น “เร็วๆเข้า ใครว่ายน้ำเป็นบ้าง รีบลงไปช่วยคนเร็วเข้า” เมื่อสิ้นเสียง หลังจากนั้นก็มีผู้ชายสองคนกระโดดลงไป ริมฝั่ง ผู้ชายที่ถูกเซี่ยอีอีผลักลงไปกำลังสำลักน้ำ ไม่เป็นอะไรมาก แต่ผู้หญิงที่คิดสั้นคนนั้น กลับหมดลมหายใจไปแล้ว “รีบไปตามหมอมาเร็วเข้า แม่นางคนนี้ใกล้จะไม่ไหวแล้ว” ได้ยินดังนั้น เซี่ยอีอีก็เดินมา แล้วใช้เข็มของนางฝังไปที่จุดชีพจร หลังจากนั้นก็หยิบขวดยาออกมา เทเอาเม็ดยาสีดำเม็ดหนึ่งออกมา แล้วยัดเข้าไปในปากของนาง หลังจากยาเม็ดได้เข้าไปในปากแล้ว ก็ดึงเข็มที่ฝังเอาไว้ออกมา ผู้หญิงที่หมดลมไปแล้วก็มีลมหายใจขึ้นมาอีกครั้ง แล้วสำลักไอออกมา เมื่อเห็นดังนั้น ทุกคนถึงกลับตะลึง โดยเฉพาะชายสองคนที่ช่วยผู้หญิงคนนั้นขึ้นมา เขาเพิ่งจะลองเอานิ้วไปทดสอบที่จมูก ก็เห็นว่าหมดลมไปแล้วจริงๆ แต่นางฝังเข็มแค่เข็มเดียว กลับทำให้คนที่หมดลมไปแล้วหายใจขึ้นมาอีกครั้ง? “แค๊ก แค๊กแค๊ก แค๊กแค๊ก ......” น้ำสำลักออกมา ผู้หญิงคนนั้นฟื้นแล้วจริงๆ แต่นางยังคงหลับตาอยู่ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำพริบตาเดียวก็อาบไปด้วยน้ำตาอีก “ทำไมต้องช่วยข้า? ทำไม?” “หากเจ้าอยากจะตายจริงๆ ใครจะห้ามเจ้าได้? เจ้าตีฆ้องร้องป่าวว่าอยากจะตายแบบนี้ แสดงว่าอยากจะให้คนช่วย ในเมื่อเจ้าไม่จริงใจ ก็ตายไม่ได้อยู่แล้ว” พูดจบเซี่ยอีอีก็หันไปหาคนที่ล้อมอยู่แล้วพูดว่า“แยกย้ายกันเถอะ ไม่มีอะไรแล้ว คนจะทำอะไรก็ไปทำซะ!” คำพูดของเซี่ยอีอีทำให้ผู้หญิงคนนั้นน้ำตานองหน้า นางลืมตาขึ้นมามองหน้าเซี่ยอีอี “เจ้าเองหรอ?” เมื่อมองดีๆ เซี่ยอีอีก็รู้สึกว่านางคุ้นหน้ามาก แต่ก็คิดไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน เห็นนางก้มหน้าลงไปอีกครั้ง เซี่ยอีอีก็ถามคำถามแปลกๆ“เราเคยเจอกันหรอ?” ผู้หญิงคนนั้นไม่ตอบ เซี่ยอีอีขมวดคิ้วมองนางอีกครั้ง ครู่หนึ่ง นางพูดอย่างตกใจ “อ๋อ ข้านึกออกแล้ว เจ้าคือหญิงที่มีความสามารถอันดับหนึ่งในเมืองหลวงนิ” เมื่อได้ยินดังนั้น หยางเฉียนหลิงก็หัวเราะแห้งๆ น้ำตาก็ไหลออกมาเป็นสายน้ำอีกครั้ง “หญิงที่มีความสามารถอันดับหนึ่งในเมืองหลวงอะไรกัน แม่นางอย่าหัวเราะเยาะข้าเลย หากเลือกได้ ข้าคงไม่อยากได้ฉายาหญิงอันดับหนึ่งนี้มาครองหรอก” ความหมายของประโยคที่นางพูดมันชัดเจนมาก คิดว่าคำว่า ‘หญิงที่มีความสามารถ’ คงสร้างปัญหาให้กับนางแน่ๆ ดังนั้นนางถึงอยากจะฆ่าตัวตายแบบนี้ “เรื่องบนโลกใบนี้มีแต่การมีชีวิตอยู่เท่านั้นถึงจะแก้ไขปัญหาได้ ตายไปก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไร ฉายาหญิงที่มีความสามารถเจ้าหนีมันไม่พ้นแล้ว ในเมื่อเจ้าเลือกทางนี้แล้ว เจ้าก็ต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับมัน เจ้าจะต้องเข้าใจว่าการมีชีวิตของคนเราทุกก้าวคือการเลือก เจ้าอาจจะเลือกถูก หรือเลือกผิดก็ได้ แต่ในเมื่อเจ้าเลือกมันแล้วก็จะต้องไม่มานั่งเสียใจทีหลัง ต้องปลงให้ได้ สุภาษิตของคนโบราณพูดเอาไว้ได้ดี เรือมาถึงใต้สะพานมันก็เดินหน้าตรงได้ รถเมื่อมาถึงภูเขาก็แสดงว่ามันมีทาง มันหมายถึงว่าปัญหาทุกอย่างมีทางออก” ถึงแม้มันจะมีเหตุผล แต่หยางเฉียนหลิงก็ยังคงส่ายหน้าเบาๆ “คำพูดของแม่นางมันมีเหตุผลก็จริง แต่มันใช้ไม่ได้กับข้าหรอก ข้าเลือกได้แค่ว่าจะตายหรือยอมรับชะตากรรมเท่านั้น” เซี่ยอีอีถอนหายใจอย่างจนปัญหา “เอาเถอะ ถึงแม้ข้าไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้เรื่องที่สำคัญกว่านั้นคือเจ้าต้องรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เจ้าจะนั่อยู่ตรงนี้ในสภาพแบบนี้ มันจะทำให้ชื่อเสียงของเจ้าเสียหายเอานะ” “ไม่ได้” เซี่ยอีอีกำลังจะลุกขึ้น หยางเฉียนหลิงก็ร้องไห้ลากมือนาง “ข้ากลับบ้านไม่ได้ ท่านพ่อท่านแม่เห็นข้าเป็นแบบนี้ท่านจะเสียใจ” “ในเมื่อรู้ว่าพ่อแม่ของเจ้าจะเสียใจยังจะทำเรื่องแบบนี้อีก ไม่รู้ว่ากตัญญูหรือไม่กตัญญูกันแน่เนี้ย” เซี่ยอีอีดึงตัวของหยางเฉียนหลิงขึ้นมา “ไป ไปบ้านข้า ช่วงนี้ข้ากำลังเบื่อเลย มาฟังปัญหาของเจ้าแก้เบื่อก็ดี มาลองดูกันว่าจะมีทางช่วยหรือเปล่า” ใต้ต้นไม้ บนเก้าอี้ยาว หญิงสองคนนั่งอยู่อย่างสง่างาม อีกคนเอนตัวอย่างสบายตัว หยางเฉียนหลิงเล่าเรื่องที่ทำให้ตัวเองต้องฆ่าตัวตายให้เซี่ยอีอีฟัง เซี่ยอีอีเงียบไปนานพอควร แต่กระพริบตาเบาๆ เหมือนกำลังจะหลับ เห็นเซี่ยอีอีไม่ค่อยสนใจ หยางเฉียนหลิงก็ถอนหายใจอย่างจนปัญญา ลุกขึ้นแล้วก็เดินไป ทันใดนั้นเองเซี่ยอีอีก็เอ่ยปากพูด “ขุนนางตรวจสอบเหลียงอวี้สื่อ เหลียงเหวินถิงใช่ไหม?” ได้ยินดังนั้น หยางเฉียนหลิงก็หยุดเดิน แล้วมองไปที่คนที่กำลังหลับตาอยู่ “แม่นางเซี่ยพูดว่าอะไรนะ?” เซี่ยอีอีค่อยๆลืมตาขึ้นมา สายตาชัดเจนมากว่าไม่ได้นอนอยู่ “เมื่อกี้เจ้าบอกว่าเหลียงอวี้สื่ออายุเกือบจะร้อยปีแล้ว ในจวนก็มีอนุมากมายนับไม่ถ้วน แต่กลับยัดสินสอดไปที่จวนของเข้า แล้วประกาศว่าจะแต่งเจ้าเข้าจวนใช่ไหม? แต่ว่า พ่อของเจ้าก็ถือเป็นขุนนางราชสำนักคนหนึ่ง เขาไม่รู้จักปฏิเสธเลยหรือไง? อีกอย่างนะ พ่อของเจ้าเต็มใจให้เจ้าแต่งกับเฒ่าลามกนั่น เพื่อหวังเลื่อนขั้นงั้นหรอ?” “แม่นางอย่าเข้าใจท่านพ่อผิด เขาไม่ได้อยากประจบเหลียงอวี้สื่อเลย แต่ว่าพ่อของข้าเป็นแค่ขุนนางขั้นห้าเล็กๆคนหนึ่ง ไม่มีน้ำหนักจะพูดอะไร แทบจะพูดอะไรต่อหน้าขุนนางตรวจสอบอย่างเหลียงอวี้สื่อไม่ได้เลย ครั้งที่แล้วที่ได้เข้าวังไปก็เพราะตัวข้าได้ชื่อของหญิงที่มีความสามารถอันดับหนึ่งเท่านั้น ท่านพ่อส่งข้าไปถึงวังหลวงเท่านั้นแล้วก็ได้แต่รอข้าอยู่ด้านนอก ตอนที่ออกมา เหลียงอวี้สื่อก็มาขวางรถม้าของเราเอาไว้ ท่านพ่อมีปากเสียงกับคนพวกนั้นอยู่นาน เขากลับเหยียดหยามท่านพ่ออย่างยับเยิน ผ่านไปสองสามวันเขาก็ส่งผ้าแพรมาหลายหีบ พร้อมกับหนังสือสู่ขอ บอกว่าหากแต่งแบบมีชีวิตไม่ได้ก็ขอแต่งกับศพก็แล้วกัน” เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ หยางเฉียนหลิงก็เริ่มตาแดงอีกครั้ง เซี่ยอีอียิ้มมุมปาก สีหน้าท่าทางดูเจ้าเล่ห์ “แต่งแบบมีชีวิตไม่ได้ก็ขอแต่งกับศพงั้นหรอ ข้าไม่คิดเลยว่าบนโลกใบนี้จะมีคนไร้เหตุผลยิ่งกว่าข้าซะอีก” เซี่ยอีอีลุกขึ้นมานั่ง แล้วยิ้มอย่างร้ายๆ “เขากำหนดวันแต่งไว้วันไหน?” หยางเฉียนหลิงขมวดคิ้วแล้วคิด “นับดูแล้วก็เหลือไม่ถึงสิบวัน แม่นางถามเรื่องนี้ทำไมกัน?” เซี่ยอีอียิ้มแบบมีเลศนัย ลุกขึ้นแล้วโอบไหล่ของนางแล้วพูดว่า“ถามทำไมน่ะหรอ ก็ช่วยเจ้าไง ไม่งั้น เจ้าจะยอมแต่งงั้นหรอ?” หยางเฉียนหลิงมองมือที่โอบมาที่ไหล่ แล้วส่ายหัวเบาๆ “ต้องไม่อยากอยู่แล้ว แต่ว่า ......” เซี่ยอีอีตบบ่าของนาง แล้วเก็บมือกลับไป มองนางแล้วยิ้มแบบร้ายๆ “เอาล่ะ ไม่ต้องพูดว่าแต่แล้ว ในเมื่อเจ้าไม่อยากแต่ง งั้นข้าจะช่วยเจ้า รับมือคนลามกมากตัณหาแบบนี้ ข้าถนัดนัก” “แม่นางคิดจะทำอะไร?” เซี่ยอีอีหันมา สายตาเป็นประกายราวกับมีแผนเป็นร้อยอย่าง “เมื่อถึงวันที่เจ้าแต่งงาน เจ้าก็จะรู้เอง” ------ ณ จวนอ๋องหยง “ข้าว่าเจ้านี่ก็แปลก ชอบคุณหนูตระกูลเซี่ยคนนั้น เจ้าก็ต้องไปวอแวบ่อยๆหน่อยสิ ไปหาเรื่องคนรอบๆตัวนางทำไมกัน? แถมเจ้ายังไปไถ่ตัวนายโคมเขียวคนนั้นออกมาจากหอฮว๋าอิ่งโหลวอีก เจ้าไม่กลัวคนข้างนอกหาว่าอ๋องหยงมีสิทธิพิเศษหรือไงกัน?” เมื่อฟังจางฮวายบ่นจบ เหว่ยหมิงก็เหลือบไปมองเขา “ใครกล้า?” จางฮวายพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร “ใช่ ไม่มีใครกล้า แต่ว่าเจ้าทำแบบนี้มันได้ประโยชน์อะไร?” เมื่อได้ยินดังนั้น เหว่ยหมิงก็เก็บสายตากลับมาไม่พูดอะไร หลายวันมานี้ ตั้งแต่เซี่ยอีอีมาหาเขาครั้งนั้นก็ไม่ได้มาอีกเลย เขาคิดว่าถ้าหงอีอยู่ที่นี่ นางก็จะสองสามวันมาหาสักที ใครจะคิดว่านางจะเป็นคนตายด้านขนาดนี้ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เหว่ยหมิงก็ขมวดคิ้ว ในใจก็เริ่มหงุดหงิด “ที่เจ้ามาวันนี้เพื่อมาบอกข้าแค่นี้หรอ?” จางฮวายเบะปาก “ไม่ใช่แค่นี้แน่ หากข้าไม่มีเรื่องสำคัญ จะกล้ามารบกวนเจ้าได้ยังไงล่ะ!” เมื่อได้ยินเขาพูดจาแปลกๆ เหว่ยหมิงก็มองเข้าด้วยความไม่พอใจ “เจ้าคิดจะไปจากเมืองหลวงเมื่อไหร่?” “เฮ้ ทำไมเจ้าถึงชอบไล่ข้านักนะ? ข้ากลับมาเมืองหลวงยังไม่ถึงสองเดือนเจ้าก็ไม่อยากเจอข้าแล้วหรอ หากข้าบอกเจ้าว่า ต่อไปข้าจะไม่ไปไหนอีกแล้ว เจ้าไม่บ้าตายเลยหรอ? อืม? ฮ่าฮ่าฮ่า!” จางฮวายพูดพรางหัวเราะเหมือนคนบ้า เหว่ยหมิงขมวดคิ้ว จ้องเขาด้วยความหงุดหงิด จริงๆเขาก็รู้อยู่แล้วว่าจางฮวายกลับมาครั้งนี้คงไม่ไปไหนอีกแล้ว การที่เขาพูดแบบนี้ ก็เพราะเห็นว่าเขาน่ารำคาญเท่านั้น แต่ว่าก็จนปัญญา ทั่วทั้งไต้หล้ามีแต่คนกลัวเหว่ยหมิง มีแต่จางฮวายเท่านั้นที่ไม่กลัว ไม่ว่าเขาจะแกล้งแหย่ยังไงก็ตาม หรือแม้แต่เขาจะทำให้เหว่ยหมิงโกรธขึ้นมาจริงๆ เขาก็ไม่เคยจะทำอะไรเขาเลย “ถ้าไม่มีเรื่องสำคัญอะไรก็รีบกลับไปซะ อย่ามาขวางหูขวางตาข้า” เหว่ยหมิงขมวดคิ้ว จ้องเขาด้วยความรำคาญ “เจ้าบอกให้ข้าไปเองนะ เจ้าอย่ามาเสียใจทีหลังล่ะ เพราะเรื่องนี้เกี่ยวกับคุณหนูตระกูลเซี่ย” “กลับมา” เห็นจางฮวายทำท่าทำทางเหมือนจะไป เหว่ยหมิงก็เรียกเขากลับมาอย่างไม่มีทางเลือก เมื่อจับจุดอ่อนอันนี้ของเขาได้ คิดว่าต่อไปเขาคงไม่มีวันสงบสุขแน่ๆ จางฮวายกลับมานั่งใหม่อีกครั้ง เหว่ยหมิงมองไปที่เขาแล้วพูดว่า“อย่าพูดมาก เข้าเรื่องเลย” 
已经是最新一章了
加载中