ตอนที่ 34 ฉันเคยเจอจ้าวซิ้วอีกคน!
1/
ตอนที่ 34 ฉันเคยเจอจ้าวซิ้วอีกคน!
วิวาห์ร้าย แต่งกับผี
(
)
已经是第一章了
ตอนที่ 34 ฉันเคยเจอจ้าวซิ้วอีกคน!
ตอนที่ 34 ฉันเคยเจอจ้าวซิ้วอีกคน! การตื่นขึ้นมาจากฝันอันยิ่งใหญ่นี้ทำให้ฉันรู้สึกราวกับว่าตัวเองหลับใหลมายาวนานนับปี ราวกับทุกอย่างข้างนอกกลับตาลปัตรวุ่นวายไปหมด แต่ฉันกลับยังขลุกอยู่กับเมืองเล็กๆอันแสนอบอุ่นที่ตัวเองร้อยเรียงขึ้นมา ซูหลินใช้แรงกดฉันที่เตรียมลุกขึ้นให้นอนลงบนเตียงอีกครั้ง ในเวลาเดียวกัน ไป๋เวยเวยก็กำลังยกอาหารเข้ามาพอดี ไม่รู้ทำไม ฉันตื่นขึ้นมาในครั้งนี้ รู้สึกว่าไป๋เวยเวยเปลีย่นไปมาก เธอไม่ใช้นิสัยคุณหนูกรีดร้องใส่ฉันเหมือนอย่างเคย แถมยังยกอาหารมาให้ฉันเองกับมืออีกด้วย เมื่อเห็นฉันมองไปที่ไป๋เวยเวยอย่างไม่เชื่อสายตา ก็เหมือนว่าซูหลินจะเดาใจฉันออก : “วันนั้นไป๋เวยเวยหลับลึกมากจนไม่รู้เรื่องอะไรเลย ตื่นมารู้ว่าเธอสลบไปเพราะต้องการช่วยหล่อน หล่อนเลยรู้สึกละอายใจมากเลยล่ะ” อะไรนะ......ฉันต้องการช่วยเธอ...... ฉันหันไปมองไป๋เวยเวยที่กำลังส่งยิ้มมาทางฉัน แล้วแวบหันไปมองซูหลิน และในเวลาเดียวกันนั้น ซูหลินหันมาทางฉันพร้อมเลิกคิ้วให้อย่างเงียบๆ ฉันเข้าใจในทันที ว่านี่คือวิธีที่เขาใช้กดดันไป๋เวยเวยนั่นเอง หลังจากนั้นครู่หนึ่ง โทรศัพท์มือถือของฉันก็ดัง “ติ้ง ติ้ง” ขึ้นมา ฉันเปิดขึ้นมาดู มันเป็นข้อความที่ส่งมาจากซูหลิน ฉันเงยหน้ามองไปยังซูหลินที่นั่งอยู่ตรงหน้า ซูหลินแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นฉัน ก้มหน้าลงสูบบุหรี่ไปพลางเล่นมือถือไป “เจ้าคุณหนูคนนี้ไม่กดดันด้วยวิธีแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ!” อ่านข้อความนั้นจบ ฉันเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา นึกไม่ถึงว่า เจ้าหมอนี่นอกจากสูบบุหรี่ดื่มเหล้าแล้วยังจะมีความคิดสกปรกๆแบบนี้ได้อีก ผ่านไปครู่หนึ่ง ทุกคนในบ้านต่างก็ไม่มีใครรู้ว่าควรเริ่มพูดอะไรดี เหมือนอากาศจะถูกหล่อหลอมเข้าด้วยกัน บรรยากาศในห้องดูอึดอัดจนถึงขีดสุด ฉันรู้ ว่าคนเราเมื่อตกอยู่ในความเงียบก็มักจะนึกถึงเรื่องราวที่ไม่อยากเผชิญหน้า อย่างเช่น จ้าวซิ้ว ฉันคิดว่า หากต้องอธิบายเรื่องราวทั้งหมดก็คงไม่มีเวลาไหนเหมาะสมไปกว่านี้อีกแล้ว “ซูหลิน ฉันอยากกลับไปที่หอ ฉันมีของสำคัญที่ต้องไปเอา ถ้านายอยากให้ฉันพักอยู่ที่นี่ล่ะก็ อย่างน้อยก็ขอให้ฉันได้ไปเอาของมาที่นี่ก่อน ฉันถึงจะพักอยู่ที่นี่ได้อย่างวางใจ” ซูหลินมองมาที่ฉันอย่างงุ่มง่าม เหมือนรอให้ฉันอธิบายเหตุผลบางอย่าง ฉันเอียงคอพร้อมกับเหน็บผมที่ระบนใบหน้าเก็บเข้าหลังหู : “นายหยุดมองฉันเหมือนนักโทษแบบนั้นได้แล้ว ฉันบอกทุกเรื่องของฉันไปหมดแล้วยังไม่พออีกหรือไง!” พูดมาถึงตรงนี้ ฉันก็อดที่จะแขวะเขาในใจไม่ได้ สมกับที่เป็นตำรวจจริงๆ แม้ว่าภายนอกจะดูเลอะเทอะไม่สมกับเป็นตำรวจเท่าไหร่ แต่สัญชาตญาณการสังเกตและการจับผิดก็ยังคงเหนือกว่าคนทั่วไป----เห็นได้ชัด ซูหลินรู้แล้วว่าในระหว่างที่ฉันสลบไป ฉันได้ผ่านเรื่องราวมากมายหลายอย่างที่เขาไม่รู้มา “ไม่ได้นะ เธอ” ซูหลินชี้นิ้วมาที่ฉันด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกเหมือนเป็นผู้รายที่ถูกเขาควบคุมอยู่ “สารภาพมาก่อนแล้วค่อยไป ไม่สิ ไม่ใช่ เธอต้องสารภาพออกมาก่อน แล้วฉันจะตัดสินใจว่าจะปล่อยให้เธอไปได้หรือเปล่า” ฉันเอนกายแล้วล้มตัวนอนอย่างไม่เต็มใจ สุดท้ายแล้วฉันก็ต้องจำนนให้กับตำรวจของประชาชน “ฉันเข้าไปอยู่ในภาพลวงตาที่จ้าวซิ้วสร้างขึ้นมา แม้ว่ามันจะอันตรายมาก แต่ฉันก็ได้ใช้ไหวพริบและความกล้าหาญจนรอดกลับมาได้ แล้วฉันก็ได้ค้นพบอะไรบางอย่าง” พูดเสร็จ ฉันก็แอบปรายตามองไปที่ซูหลิน และนั่นเอง ฉันได้สะกิดความอยากรู้อยากเห็นของขึ้นมาจนได้ และแน่นอน ฉันไม่สามารถพูดอะไรเกี่ยวกับเทียนปูหยู่ได้ เพราะไม่อย่างนั้น ฉันกลัวว่าเรื่องที่ตัวเองที่อยู่ในฐานะภรรยาของเทียนปูหยู่ คงถูกนักบวชลัทธิเต๋าในคราบตำรวจของประชาชนคนนี้กำจัดซะก่อน “ฉันคิดว่า บุคลิกภาพของจ้าวซิ้วได้ถูกแบ่งแยกแล้ว ตามหลักเหตุผลแล้ว ผีทุกตัว ก็เหมือนกับคนทุกคน ที่ต้องมีทั้งด้านดีและด้านที่ชั่วร้าย เพราะแม้จะอยู่ในโลกอมนุษย์ ก็จะมีกฎโลกอมนุษย์อยู่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นก็คงไม่ปล่อยให้ภูตผีเหล่านี้ออกมาไล่ฆ่าผู้บริสุทธิ์แบบนี้ได้ แต่จ้าวซิ้วกลับดูแปลกมากๆ” พอพูดมาถึงตรงนี้ ฉันถึงรู้ตัวว่าตัวเองหลุดปากพูดมันออกไปแล้วจนได้ ฉันหันมองซูหลินอย่างระมัดระวัง พบว่าซูหลินมองมาที่ฉันอย่างจดจ่อ และนั่งฟังฉันอย่างตั้งอกตั้งใจ ฉันได้แต่แอบภาวนา หวังว่าซูหลินจะไม่ได้ยินถึงช่องโหว่ในคำพูดที่หลุดออกไปของฉัน จากนั้น ฉันก็พูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อไปด้วยท่าทีอึกอัก “พวกเราสมมุติเอาว่าอาจะเป็นเพราะจ้าวซิ้วได้ขอพรแห่งความตายจึงส่งผลให้เธอเกิดไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด แต่พรนั้นอนุญาตให้หล่อนฆ่าได้แค่เพียงผู้หญิงสามคนนั้น แต่ดูสิ่งที่เราเห็นนี่สิ จ้าวซิ้วไม่เพียงฆ่าผู้บริสุทธิ์อย่างไม่เกรงกลัว แถมยังไม่รู้สึกลังเลเลยสักนิด แม้เธอจะรู้แล้วว่าพรของเธอนั้นเป็นโมฆะไปแล้ว แต่เธอก็ยังคงดึงดันที่จะทำ” ฉันรับรู้ได้ถึงสายตาที่ซูหลินมองมา ดูเหมือนว่าซูหลินจะเริ่มเข้าใจในสิ่งที่ฉันพูดแล้ว “ถ้าอย่างนั้นความหมายของเธอก็คือ จ้าวซิ้วตอนนี้เหลือเพียงแค่ด้านชั่วร้ายเท่านั้น และเธอก็เก็บซ่อนด้านที่ดีเอาไว้แล้ว? เหมือนกลุ่มคนโรคจิตในโลกแห่งความเป็นจริงอย่างนั้นเหรอ?” “อีกอย่าง เท่าที่ฉันรู้ พรแห่งความตายของจ้าวซิ้วยังไม่ถูกกำจัดออกอย่างสมบูรณ์” พูดมาถึงตรงนี้ ในสมองฉันก็มีตัวหนังสือที่เคยปรากฎขึ้นบนหนังสือหยินอย่างไม่รู้ด้วย ---- พรแห่งความตายยังไม่ได้รับการกำจัดอย่างสมบูรณ์ หากเป็นเช่นนั้น แล้วฉันจะทำให้มันสมบูรณ์ได้อย่างไร? ในตอนนี้ ฉันนึกขึ้นมาได้ ที่ฉันไม่สามารถควบคุมให้หนังสือหยินให้เปิดขึ้นมาต่อหน้าฉันได้ มันเป็นเพราะหนังสือหยินเล่มจริงไม่ได้อยู่ในมือฉัน? คิดมาถึงตรงนี้ ฉันรอเวลากลับไปที่หอพักแทบจะไม่ไหว ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอะไร ตอนนี้ฉันรู้สึกไม่สบายใจอย่างรุงแรง มันเหมือนกับว่าหากฉันกลับไปช้าเพียงเสี้ยววินาที หนังสือหยินอาจหายลับไปก็ได้ เหมือนว่าฉันจะเคยผ่านความรู้สึกนี้มาก่อน ความรู้สึกสูญเสียที่ไม่สามารถย้อนกลับคืนมาได้ ความรู้สึกสับที่มองเห็นคำตอบค่อยๆเลือนหายไปต่อหน้าต่อตา ฉันไม่ต้องการสัมผัสคสามรู้สึกแบบนั้นอีกครั้ง “ถ้าหากพรแห่งความตายของจ้าวซิ้วยังไม่ถูกกำจัดอย่างสมบูรณ์ งั้นพวกเราช่วยทำให้มันสมบูรณ์ซะก็จบ” ในขณะที่ฉันใช้สมาธิครุ่นคิด แต่ซูหลินกลับพูดคำนั้นของมาโดยไม่ทันตั้งตัว ฉันได้แต่กรอกตาใส่เขา ในใจก็แอบด่า ไม่เจอกับตัวเองไม่มีทางรู้หรอก นายรู้หรือเปล่าว่าฉันต้องใช้ความพยายามแค่ไหนกว่าจะหนีรอดจากความตายมาได้! “นาย......นายรู้เหรอว่าจะทำให้สมบูรณ์ยังไง? ไม่ใช่ว่าต้องฆ่าไป๋เวยเวยทิ้งหรอกนะ?” พอพูดถึงตรงนี้ ฉันมองไปที่ไป๋เวยเวยอย่างเจ้าเล่ห์ เห็นเพียงแค่ว่าหล่อนเหมือนเจ้ากระต่ายที่กำลังตกใจกลัว ได้แต่ทำตัวหดถอยไปข้างหลังเรื่อยๆ ราวกับว่าจะถูกพวกเราฆ่าจริงๆ พวกเราพร้อมที่จะช่วยให้พรแห่งการตายของจ้าวซิ้วสมบูรณ์ และแน่นอนว่าอยากจะให้จ้าวซิ้วสงบลงมา และไม่ต้องกังวลกับอะไรอีก เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเอาชีวิตของไป๋เวยเวยมาล้อเล่นแบบนี้ ที่เราต่อสู้กับจ้าวซิ้วมาตั้งแต่แรกก็เพื่อปกป้องชีวิตของหล่อนกับจ้าวเซียวไม่ใช่หรือยังไง หลังถกเถียงกันเรื่องของไป๋เวยเวยจนพอ ทันใดนั้นฉันก็พบว่าซูหลินดูเหมือนจะไม่รับมุขของฉัน แต่ถามฉันกลับด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนมองทุกอย่างออก : “เฉินน่อ เธอบอกความจริงกับฉันมา ว่าเธอผ่านอะไรมาบ้าง? หรือว่า เธอไปรู้เรื่องอะไรมา? อีกอย่าง เธอไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของจ้าวซิ้วได้หรอก เธอหนีออกมาจากเงื้อมือของหล่อนมาได้ยังไง?” ซูหลิน เจ้าหมอนี่หลอกยากจริงๆ! “นี่ฉันหลับไปตั้งสามวันสามคืนเชียวนะ เรื่องยาวขนาดนั้น นายจะให้ฉันค่อยๆเล่าออกมาทีละจุดทีละจุดเหรอ! นายจะนั่งฟังสามวันสามคืนเลยหรือไงกัน!” เมื่อเห็นว่าหมอนี่หลอกยาก ฉันจึงทำได้แค่บ่ายเบี่ยง ซูหลินเหมือนจะดูออกว่าฉันไม่ต้องการอธิบายรายละเอียดมากมาย แล้วก็เลือกที่จะไม่ถามอะไรต่อ ปล่อยให้ฉันพูดเท่าที่ฉันอยากจะพูด แต่ว่า ในส่วนที่ว่าฉันเกือบจะโดนจ้าวซิ้วฆ่านั้น มันไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย งั้นก็แสดงว่า เหลือเพียงข้อมูลที่เทียนปูหยู่บอกกับฉันเท่านั้นแล้วล่ะ แต่ว่า ชื่อของเทียนปูหยู่ ถึงเขาจะไม่บอกฉันก็รู้ ว่าฉันจะไม่พูดชื่อเขาออกมาต่อหน้าคนพวกนี้เด็ดขาด “ฉันรู้แค่นี้แหละ อีกอย่าง ฉันเองก็ไม่ได้รู้ทั้งหมดหรอก เพียงแค่เดาเอาเองจากภาพลวงตาเท่านั้น แล้วอีกอย่าง เรื่องที่จ้าวซิ้วมีโรคจิตเภทเนี่ย ฉันมั่นใจมาก!” “ได้ยินเธอพูดแบบนี้ ฉันก็นึกอะไรขึ้นมาได้......” ฉันพึ่งจะพูดจบ จู่ๆซูหลินก็ดีดนิ้วขึ้นมา ดึงดูดความสนใจของฉันไปในทันใด “พ่อฉันเคยพูดไว้ การที่คนๆหนึ่งมีความอาฆาตแค้นอย่างมากก่อนตาย มีโอกาสมากที่ทำให้เกิดการแบ่งแยกของวิญญาณ พูดได้ว่าสามจิตเจ็ดวิญญาณถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนอย่างไม่สม่ำเสมอ สุดท้ายก็พัฒนาขึ้นไปในทิศทางที่ต่างกัน โดยธรรมชาติแล้วก็ต้องสัมผัสชีวิตในแบบที่แตกต่างกัน แล้วจิตเภทที่เธอพูดถึง เธอหมายความว่าบนโลกนี้ยังมีจ้าวซิ้วที่เป็นคนดีอีกคนอยู่อย่างนั่นเหรอ?” คำพูดของซูหลินมีข้อมูลซับซ้อนมากเกินไป ในตอนนั้นฉันรู้สึกรับมันไม่ค่อยไหว : “นายหมายถึง ที่เราเผชิญอยู่คือจ้าวซิ้วในมุมชั่วร้าย แล้วในส่วนหนึ่งของวิญญาณที่ดี ได้ถูกหล่อนแบ่งแยกออกไปแล้ว?” ฉันยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาปิดตาเอาไว้ บดบังแสงสะท้อนผ่านจากหน้าต่างที่ผ่านเข้ามา ไป๋เวยเวยที่นั่งอยู่ข้างๆฟังเราพูดกันอย่างเงียบๆ ไม่เอ่ยปากสักคำ แถมยังอุตส่าห์วิ่งไปดึงม่านข้างเตียงลง เพื่อไม่ให้แสงแดดแยงเข้าตาฉัน “นายพอก่อน ฉันรู้สึกปวดหัวนิดหน่อย ปล่อยให้ฉันจัดระเบียบความคิดก่อน” ฉันหลับตาลง ในสมองตอนนี้เหมือนโจ๊กเละเทะหม้อหนึ่ง จิตวิญญาณของจ้าวซิ้วถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ในเมื่อเราต่อกรกับจ้าวซิ้วที่กำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นเราก็ทำได้เพียงลงมือกับจ้าวซิ้วอีกคนเท่านั้น จ้าวซิ้วผู้ใจดี แค่ฟังจากชื่อ ก็รู้สึกได้เลยว่าการเอาชนะเธอนั้นเป็นเรื่องง่าย! แต่ว่า ในหนังสือหยินบอกว่า พรแห่งความตายของจ้าวซิ้วยังไม่สมบูรณ์ อีกอย่าง ไม่ว่าพรแห่งความตายนั้นจะเกิดขึ้นแล้วหรือยัง แค่เพียงพรแห่งความตายนั้นสำเร็จ จ้าวซิ้วถึงจะถูกสะกดไว้อีกครั้ง ถึงจะรักษาชีวิตของไป๋เวยเวยเอาไว้ได้ แล้วยังจะสามารถรักษาความสงบสุขให้กับโลกอมนุษย์ได้อีกด้วย ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง มาจนถึงวันนี้ฉันยังไม่รู้เลยว่าจะเปิดปากบอกซูหลินยังไงดี หนังสือหยินยังได้กล่าวถึงสถานที่ที่จ้าวซิ้วตายเอาไว้ แต่ฉันจะบอกซูหลินได้ยังไง? เพราะแม้แต่ฉันเองยังไม่รู้ความหมายแอบแฝงของคำพูดนั้นเลย ถ้าฉันบอกซูหลิน แล้วซูหลินจะสังเกตเห็นถึงอะไรอย่างอื่นหรือเปล่า? สุดท้ายแล้วฉันก็รู้สึกว่า ยังไม่บอกเรื่องนี้กับซูหลินน่าจะดีกว่า แต่ควรจะพิจารณาเรื่องที่อยู่ตรงหน้าก่อน นั่นก็คือ ค้นหาจ้าวซิ้วผู้ใจดีให้เจอเสียก่อน แล้วหาวิธีการควบคุมจ้าวซิ้วคนนี้ให้ได้ คิดถึงตรงนี้ ฉันก็อดนึกถึงคำพูดที่เทียนปูหยู่เคยพูดเอาไว้ : จ้าวซิ้วที่ใจดีคนนั้น พวกเราต่างก็เคยพอเจอมาก่อน แน่นอน พวกเราที่ว่านี้หมายถึงฉันกับเทียนปูหยู่ และก็หมายความว่า จ้าวซิ้วคนนี้เคยปรากฎอยู่ในสถานที่ที่ฉันกับเทียนปูหยู่เคยอยู่ด้วยกัน ฉันกับเทียนปูหยู่มักจะเจอกันเฉพาะในห้องโถงใหญ่เท่านั้นนี่นา แล้วจ้าวซิ้วจะมาปรากฎอยู่ที่นั่นได้ยังไง...... ฉันคิดไปก็ไร้คำตอบ ในใจคิดว่า หรือคำพูดของเทียนปูหยู่นั้นมีความหมายแอบแฝง? แต่สิ่งทีเขาบอกฉัน ฉันเองกลับไม่สามารถเอาไปบอกใครๆให้ช่วยได้ และลำพังตัวฉันเองก็ไม่สามารถวิเคราะห์มันเองได้ เดี๋ยวนะ! ฉันกับเทียนปูหยู่ นอกจากจะเจอกันที่ห้องโถงแล้ว แล้วเรายังเจอกันในสถานที่อื่นอีกหรือเปล่านะ? อยู่ๆก็มีฉากสถานที่แห่งหนึ่งโล่เข้ามาในสมอง......
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่ 34 ฉันเคยเจอจ้าวซิ้วอีกคน!
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A