ตอนที่ 35 นั่นคือจ้าวซิ้ว
1/
ตอนที่ 35 นั่นคือจ้าวซิ้ว
วิวาห์ร้าย แต่งกับผี
(
)
已经是第一章了
ตอนที่ 35 นั่นคือจ้าวซิ้ว
ตอนที่ 35 นั่นคือจ้าวซิ้ว นั่นคือหนึ่งเดือนหลังจากที่ฉันฝันถึงเทียนปูหยู่ เป็นเพราะว่ามีอาการวิงเวียนศรีษะทั้งวัน แล้วฉันก็บุกเข้าไปที่ถนนหยินอย่างไม่ได้ตั้งใจ ใช่ตอนนั้นหรือเปล่านะ? ในความทรงจำของฉัน นั่นเป็นเพียงสถานที่เดียวที่ฉันกับเทียนปูหยู่เจอกันนอกเหนือจากห้องโถงสินะ จะว่าเป็นการพบเจอกันก็ไม่ใช่ซะทีเดียว แต่เป็นการที่เขารีบไปที่นั่นเพื่อช่วยฉันมากกว่า พอคิดถึงตรงนี้ ฉันก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ฉันกดความรู้สึกแปลกๆนี้เอาไว้ภายในใจ และคิดหาข้อมูลอื่นๆที่ต้องการต่อไป “ซูหลิน เหมือนว่าฉันจะเคยเจอกับจ้าวซิ้วที่เป็นคนดีมาก่อนแล้ว แต่ว่า ฉันยังไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่......” คนพูดไม่ได้คิดอะไร แต่คนฟังกลับมีความใส่ใจ ซซูหลินโยนสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยมาที่ตัวฉัน แต่ในตอนนี้ฉันได้ขลุกอยู่ในความทรงจำของตัวเองโดยสิ้นเชิง เลยไม่ทันได้เห็นการเคลื่อนไหวแบบเงียบๆเนียนๆของซูหลิน “เหรอ? ที่ไหนล่ะ?” ได้ยินคำถามของซูหลิน ฉันก็โพล่งออกมาอย่างไม่ทันได้คิด : “บนถนนหยิน ฉันเคยพลาดเท้าเข้าไปในถนนหยินมาก่อน แต่ผู้คนที่ฉันพบเจอนั้นมีมากมายเต็มไปหมด ไม่สิ ไม่ใช่คน แต่เป็นเหล่าผีรูปแบบต่างๆ......แต่ว่า แต่กับจ้าวซิ้วฉันกลับไม่รู้สึกคุ้นเลย” ฉันจ้องมองซูหลิน เขากำลังก้มหน้าต่ำ ใช้มืออีกข้างถือโทรศัพท์ยันไว้ตรงคาง ราวกับกำลังครุ่นคิดกับคำพูดของฉันอยู่ แล้วฉันก็ถึงกับสั่นเทาไปทั้งตัว นึกถึงสิ่งที่ตัวเองพึ่งหลุดปากพูดออกไป ภาวนาให้ตัวเองอย่าใจร้อนจนพลั้งปากพูดอะไรออกไปมากกว่านี้ ฉันได้แต่พึมพำในใจ อย่าโทษที่ฉันต้องปกปิดเรื่องของเทียนปูหยู่เอาไว้แบบนี้ อยู่ดีๆก็มีสามีเป็นผี ไม่ว่าจะเป็นใครก็คงจะหาวิธีมาอธิบายไม่ได้หรอก! กับนักบวชลัทธิเต๋ายิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย! “เฉินน่อ เธอหลุดปากพูดอะไรบางอย่างออกมาใช่หรือเปล่า?” ในขณะที่ฉันกำลังต่อสู้กับความคิดของตัวเองอยู่นั้น ซูหลินก็ยังจะไล่ถามฉันขึ้นมาอีกครั้ง ฉันรู้สึกผิดในใจ ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี ทำได้เพียงแค่ปล่อยให้มันเลยตามเลย เพราะไม่แน่ใจว่าเขาสังเกตเห็นอะไรจริงๆหรือเปล่า : “อะไรคือหลุดไม่หลุด ตอนนั้นฉันตกอยู่ในความเป็นความตาย จะเอเวลาจากไหนไปคิดอะไรขนาดนั้นเล่า!” จบกัน ฉันหันออกมองไปทางนอกหน้าต่าง ไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับซูหลิน แต่ถึงอย่างอย่าง ซูหลินก็ยังคงไล่ตามคำตอบจากฉันอย่างไม่ลดละ : “แล้วเธอหนีออกมาจากตรงนั้นได้ยังไง? ตามหลักแล้ว คงต้องมีคนช่วยเธอ เธอถึงออกมาจากถนนหยินได้อย่างง่ายดาย ถนนหยิน คงไม่ได้มีอะไรง่ายเหมือนความหมายของตัวอัษรที่เห็นหรอก” ซูหลินหัวเราะเยาะ กับท่าทีที่ฉันถูกต้อนให้จนมุม และดูเหมือนเขาจะภูมิใจ : “ฉันทำไมฉันรู้สึกเหมือนเธอไม่ใช่มนุษย์” ฉันกรอกตาใส่เขา แกล้งทำเป็นโกรธและไม่สนใจเขาอีกต่อไป ฉันนอนลงเตียงโดยไม่หันกลับไปเผชิญหน้ากับซูหลิน และมือที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าห่มสัมผัสไปที่หน้าท้องอย่างไม่รู้ตัว ในใจก็อดคิดไม่ได้ : แน่นอนว่าฉันไม่ใช่มนุษย์ ฉันหลับตาลงอย่างเงียบๆ ในความมืดนั้นสะท้อนเงาของเทียนปูหยู่ขึ้นมา บางที ฉันเองก็อาจจะไม่ได้มีแค่สองคนด้วยซ้ำ อาจเพราะเห็นว่าฉันเหนื่อยแล้ว ซูหลินถนหายใจ และเลิกตามถาม ก่อนหันหลังเดินออกจากห้องไป เมื่อได้ยินเสียงประตูไม้ปิดลงไปแล้ว ฉันถึงหลับตาลงอย่างวางใจ ฉันรู้สึกเหนื่อยมาก ร่างกายทั้งหมดของฉันเหมือนถูกแยกออกไป ร่างกายไร้ซึ่งเรี่ยวแรง เมื่อล้มลงบนเตียงก็ไม่อยากจะลุกขึ้นมาอีกเลย ร่างกายของฉันเหนื่อยถึงขนาดนี้ แต่ในสมองกลับกระฉับกระเฉงขึ้นมา ฉันหลับตาสนิทเพื่อต้องการจะพักผ่อนสักครู่ แต่ทำยังไงก็หลับไม่ลงสักที ในสมองคิดถึงแต่เรื่องราวต่างๆมากมาย โลดแล่นทะยานไปอย่างไร้ขอบเขต ภาพฉากที่ครั้งแรกที่ฉันไปปรากฎตัวอยู่ในถนนหยินถูกฉายขึ้นมาเบื้องหน้า เหล่าผู้คนที่สีผิวซีดเซียวดุจกระดาษขาว เจ้าบ่าวกับร้อยยิ้มที่น่าสมเพช และเจ้าสาวผู้มีท่าทีดูแปลกประหลาด ที่แม้แต่หน้าก็ไม่ยอมโผล่มาให้เห็น...... เดี๋ยวก่อน! เจ้าสาว! หรือว่า...... ฉันรู้สึกตกใจ ย้อนคิดอย่างรอบคอบ นั่นถือได้ว่าเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ฉันพบเจอบนถนนหยิน แม้จะไม่ได้เจอกันแบบเผชิญหน้า แต่ก็ถือว่าได้พบเจอแล้ว ฉันย้อนนึกไปถึงสิ่งเทียนปูหยู่เคยพูดเอาไว้ จ้าวซิ้วผู้ใจดีคนนั้น เราต่างก็เคยพบเจอมาแล้ว ที่แท้แล้ว เทียนปูหยู่หมายถึงที่นี่นั่นเอง แต่ว่า ฉันจะกลับไปที่ถนนหยินอีกครั้งได้ยังไง? แล้วอีกอย่าง ใครจะสามารถยืนยันได้ว่าหากฉันกลับไปแล้วจะได้เจอพวกเขาอีก? ครั้งก่อนอยู่ระหว่างพิธีรับเจ้าสาว ซึ่งหมายความว่า วันนั้นคือวันแต่งงานของจ้าวซิ้ว แต่ว่า หล่อนแต่งอยู่ที่ไหนแล้วล่ะ? ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่า ปรากฎว่าทุกอย่างมันถูกกำหนดไว้แล้ว ตั้งแต่เริ่มแรกที่ฉันได้พบเจอกับเทียนปูหยู่ จากนั้นก็พลาดเท้าก้าวเข้าไปในถนนหยินและได้พบเจอกับขบวนงานแต่งของจ้าวซิ้ว หลังจากผ่านหลายๆเหตุการณ์มาฉันพึ่งจะค้นพบว่าทุกๆเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นมีปมเกี่ยวข้องกันหมด ฉันรู้สึกหดหู่ในเล็กน้อย ถ้าฉันรู้มาก่อนว่าจะต้องมาเจอเรื่องราวเยอะแยะมากมายขนาดนี้ในภายหลัง ต้องมาตกระกำลำบากขนาดนี้เพราะจ้าวซิ้ว แม้ว่าจะต้องขอร้องอ้อนวอนเทียนปูหยู่เพียงไหน ฉันก็ควรจะโน้มน้าวให้เขาช่วยจ้าวซิ้วออกมาจากที่ตรงนั้นให้ได้ ฉันลากร่างกายที่เหนื่อยล้าของตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง หันไปที่ประตูแล้วตะโกนเสียงดัง : “ซูหลิน ซูหลินนายมานี่หน่อย!” เป็นอย่างที่ฉันคาดเอาไว้ สิ้นเสียงพูดของฉันเพียงสองวินาที ซูหลินก็ดันประตูพรวดเข้ามา แถมยังคีบบุหรี่ที่สูบไปแล้วครึ่งหนึ่งไว้ในมือ เมื่อสังเกตเห็นว่าฉันหน้าบึ้งอยู่ เขารีบดับบุหรี่ลงอย่างรู้ตัว หันกลับไปโยนบุหรี่ออกนอกประตูอย่างไม่แยแส ฉันถูมือตัวเองไปมา ดูเหมือนจะปวดใจกับบุหรี่ที่เขาพึ่งโยนทิ้งไป ฉันยังคงรู้สึกแค้นกับเหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้อยู่ จึงทำสีหน้าไม่ค่อยดีใส่เขา “ฉันอยากกลับไปที่ถนนหยินอีกครั้ง นายพอจะมีวิธีไหม?” ซูหลินมองออกไปข้างนอก เพื่อยืนยันว่าไม่มีใครอยู่ข้างนอก จากนั้นก็มีท่าทีจริงจังขึ้นมา : “ มี ” ฉันมองไปที่ซูหลินอย่างสงสัย เอียงคอรอสิ่งที่เขาจะพูดต่อ แต่ซูหลินกลับมองมาที่ฉันอย่างอย่างสงสัยมากกว่า แล้วหลุดหัวเราะออกมา : “มองหน้าฉันทำไมเนี่ย?” เมื่อได้ฟังคำถามของซูหลิน ฉันถึงกับไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี ดูจากนิสัยโดยปกติของซูหลินแล้ว เขาจะต้องจี้ถามจนถึงที่สุด จนกว่าจะมั่นใจว่าฉันจะไม่ได้รับอันตรายก่อนถึงจะยอมปล่อยให้ฉันไป แต่วันนี้กลับตอบตกลงอย่างง่ายดาย..... ไม่รู้ว่าเพราะอะไรฉันถึงรู้สึกว่าซูหลินคงไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้ รู้สึกเสียวสันหลังวาบ ถามไปด้วยเสียงสั่นเทา : “นายจะไม่ถามหน่อยเหรอว่าฉันไปทำอะไร?” ซูหลินเหมือนรู้อยู่แล้วว่าฉันจะถามคำถามนี้กับเขา และหัวเราะออกมาอย่างได้ใจ : “อืม ฉันคิดว่าเธอจะพูดมันออกมาเอง" มุมหนึ่งฉันรู้สึกเสียใจกับความปากมากของตัวเอง อีกมุมหนึ่งก็รู้สึกระอาใจนิสัยชอบเอาชนะแบบเด็กๆนี้ แต่ถึงฉันจะรู้ว่ามันค่อนข้างจะดูนิสัยเด็กแค่ไหน ฉันก็ยังคงไม่ยอมเสียหน้าไม่ยอมแพ้ให้เขาอยู่ดี ฉันอดที่จะถอนหายใจกับตัวเองไม่ได้ สุดท้ายฉันก็เตรียมที่จะบอกกับซูหลินให้ชัดเจน “ฉันนึกออกแล้วว่า ฉันอาจจะเคยเจอจ้าวซิ้วที่ถนนหยินมาก่อนแล้วจริงๆ ฉันจะกลับไปค้นหาอีกครั้ง แม้ความหวังจะริบหรี่ แต่ฉันก็อยากลองสักตั้ง ฉันยังวางใจไม่ลง อีกอย่าง ฉันไม่อยากมานั่งเสียใจทีหลัง” ซูหลินตั้งใจฟังสิ่งที่ฉันพูดจนจบ สีหน้าเริ่มจริงจัง ไม่ปลายตามองมาที่ฉันเลยสักนิด แถมยังคีบบุหรี่ขึ้นมาจุด หลังจากที่สูบมันเข้าไปอย่างแรง ก็เหมือนว่าจะนึกขึ้นมาได้ หันมองมาที่ฉันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม ฉันปัดมือเป็นสัญญลักษ์เชิงว่าตัวเองไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ หันไปฝืนยิ้มให้ซูหลิน : “นายสูบเถอะ” ซูหลินบี้บุหรี่ลงบนโต๊ะไม้มะฮอกกานีในทันที รอจนควันบุหรี่หายไปจนหมดแล้วจึงเริ่มเอ่ยปากพูด : “ฉันทำได้ แต่เธอต้องบอกฉันมาก่อน ว่าครั้งก่อนเธอเข้าไปได้ยังไง” นั่นไงล่ะ ฉันแอบถอนหายใจกับตัวเองเบาๆ ในโลกนี้ไม่มีอาหารกลางวันฟรี ความเสี่ยงแบบฟรีๆก็ไม่มีเช่นกัน “นายไม่คิดเหรอว่าเรื่องราวเหล่านี้มันผ่านไปนานแล้ว เรื่องราวที่ไร้ค่าเหล่านี้รับรู้ไปแล้วมันจะมีส่วนช่วยนาย หรือช่วยเรื่องราวที่เกิดนี้ได้ยังไง? ก็ไม่มีถูกไหม? เพราะฉะนั้น คำถามที่นายถามมามันไม่มีความหมายอะไรเลย ถ้าอย่างนั้นฉันก็เลือกที่จะไม่ตอบคำถามนี้ก็ได้ แล้วอีกอย่าง มันผ่านไปนานขนาดนั้นแล้ว ฉันเองก็จำอะไรไม่ค่อยได้แล้วด้วย” ไฟจากไหนไม่รู้สุมเข้ามาในใจของฉัน โดยไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ ฉันตะโกนใส่ซูหลินเสียงดัง ลักษณะท่าทางที่ก้าวร้าวแบบนี้แม้แต่ตัวฉันเองยังรู้สึกตกใจเหมือนกัน ฉันรู้ ว่าซูหลินเองก็สังเกตเห็น ที่ฉันเป็นแบบนี้ เป็นเพียงเพราะว่าฉันรู้สึกละอายใจ แต่ว่า ซูหลินไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อ อาจเป็นเพราะว่าเขาต้องการให้เกียรติซึ่งกันและกัน ท้ายที่สุดแล้วเรื่องของจ้าวซิ้วก็คงจัดการไม่จบภายในวันเดียว เรายังต้องร่วมมือกัน และแก้ไขปัญหาร่วมกันต่อไป “มีประโยชร์หรือไม่นั้น ฉันน่าจะต้องตัดสินเองมากกว่านะ” หากเทียบกับความตื่นเต้นของฉันแล้วซูหลินดูจะสงบนิ่งเป็นพิเศษ ทำให้ฉันอดที่จะชื่นชมความเป็นตำรวจในตัวเขาที่ผ่านการปลูกฝังมาอย่างดี บางที สำหรับคนที่กำลังเป็นหมออย่างฉัน ก็ควรจะดูไว้เป็นเยี่ยงอย่าง ตามคาด เผชิญหน้ากับซูหลินที่ไร สุดท้ายคนที่พ่ายแพ้ แน่นอนว่าต้องเป็นฉัน ฉันพยายามหยิบเอาส่วนที่ไม่สำคัญในความทรงจำขึ้นมาบอกกับซูหลินเกี่ยวกับการผ่านเข้าไปที่ถนนหยิน ในตอนท้าย แม้แต่ตัวฉันเองก็ยังไม่มั่นใจว่ามีข้อบกพร่องในคำพูดของฉันจุดไหนที่ยังแก้ไขไม่ชัดเจนหรือเปล่า ซูหลินหยิบบุหรี่ครึ่งมวนที่ยังคงติดอยู่บนโต๊ะไม้มะฮอกกานีขึ้น จ้องไปยังส่วนหัวที่ใช้แรงบี้หนักเกินไปจนบิดเบี้ยวด้วยสายตาที่เจ็บปวด ไม่พูดไม่จา แม้ตาฉันเองก็ยังไม่ชายตามอง ก็เดินออกประตูไปอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียงใดๆ ฉันมองตามแผ่นหลังที่ไร้เยื่อใยของซูหลิน ฉันมักจะรู้สึกว่าหน้าเขาตอนนี้กำลังคิ้วขมวด และเม้มปากอยู่ แม้จะเห็นแค่หลังแต่ฉันก็รู้สึกได้ว่าเขากำลังพูดกับฉันว่า : “เธอมีอะไรปิดบังฉันอยู่แน่นอน” แต่ว่า แล้วจะให้ฉันทำยังไงล่ะ ฉันเอนตัวไปที่หัวเตียง พลันยกแขนขึ้นมาก่ายปิดตาตัวเองเอาไว้ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่สิ่งที่ฉันเลือก กลายมาเป็นสามีภรรยากับเทียนปูหยู่อย่างสับสนมึนงงก็ไม่ใช่ อยู่ๆก็ท้องลูกของเทียนปูหยู่ก็ไม่ใช่ บังเอิญไปเจอศพของจางเจียเย่นในสภาพเละยิ่งไม่ใช่เลย ต่อมาเรื่องเกี่ยวกับการตายของจ้าวเซียวฉันได้แต่ภาวนาให้มันเป็นเพียงแค่ความฝัน ฝันร้ายที่น่ากลัว เมื่อตื่นจากฝัน จ้าวเซียวยังคงเป็นเพียงเพื่อนร่วมชั้นที่ฉันไม่ค่อยสนิทด้วยเท่าไหร่ ไป๋เวยเวยก็ยังคงเป็นเจ้าหญิงผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจคนนั้นที่ฉันไม่รู้จัก และฉันเองก็คงจะเป็นเพียงนักศึกษาแพทย์ธรรมดาทั่วไป ต่อสู้เพื่อเอาชนะศพและอวัยวะส่วนต่างๆในทุกวันๆ ไม่กี่ปีต่อมาก็เรียนจบ จากนั้นก็หางานธรรมดาๆทำ เลือกคู่ชีวิตอยู่ไปด้วยกันจนแก่เฒ่า แต่ในความเป็นจริงนั้นช่างน่าขำ เรื่องราวผิดปกติมากมาย ก็มาเกิดขึ้นกับตัวฉันซึ่งเป็นเพียงแค่ผู้ที่ต้องการเสาะหาชีวิตธรรมดาเรียบง่าย แต่พวกคนที่วันๆคิดแต่อยากได้ได้พบเจอเรื่องราวแปลกประหลาดในชีวิต กลับกำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับชีวิตอันสุดแสนจะธรรมดาของพวกเขา ในขณะที่ฉันยังคงครุ่นคิดอยู่นั้น ซูหลินก็เดินพรวดพราดเข้ามาอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียง เมื่อเห็นว่าดวงตาของฉันเริ่มแดงก่ำ เขาก็เกิดอาการประหม่าขึ้นมาเหมือนเด็กหนุ่ม เขายกมือข้างนึงขึ้นมาเกาหัวอย่างทำตัวไม่ถูก ปากก็พูดขึ้นมาอย่างเก้เก้กังกัง : “เธอ......เธออย่าร้องให้สิ ฉันไม่เค้นถามเธอแล้วยังไม่พอใจอีกหรือไง” ฉันรู้สึกเหมือนว่าตัวเองชนะกลับมาได้แต้มหนึ่ง และฉันก็รู้สบายใจขึ้นมาเล็กน้อย “นายเข้ามาทำไม” “ก็เธออยากกลับไปที่ถนนหยินไม่ใช่เหรอ”
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่ 35 นั่นคือจ้าวซิ้ว
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A