ตอนที่ 41 อาหารจานประณีตที่ไม่คุ้นเคย   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 41 อาหารจานประณีตที่ไม่คุ้นเคย
ต๭นที่ 41 อาหารจานประณีตที่ไม่คุ้นเคย “บ้าเอ้ย!”ธวลิตดึงผ้าปูเตียงมาคลุมร่างของดารุไว้อย่างมิดชิด ธารีก็พลันผลักประตูเข้ามา “ลิต...นายน้อย”ธารีนึกไม่ถึงว่าดึกป่านนี้แล้วธวลิตจะยังอยู่ได้ เธอชะงักอยู่ที่หน้าประตูครู่หนึ่ง“ถ้าพวกคุณยังมี ธุระกันอยู่ งั้นดิฉันขอตัวก่อน…” “ไม่ต้องแล้ว”ธวลิตที่ไม่รู้สึกสนใจใยดีอะไรแล้วนั้นก้าวออกจากห้องไป ตามมาด้วยเสียงปิดประตูอย่างขุ่นเคืองที่ดังขึ้น เป็นตัวส่งผ่านความไม่สบอารมณ์นั่นของเขามาให้ ธารีมองเห็นร่องรอยบางอย่างจากใบหน้าที่แดงก่ำของดารุ เธอจึงมีสีหน้ายิ้มแย้มขึ้นมา “แบบนี้ก็ดีแล้วล่ะค่ะ ดีแล้ว” ดารุมักจะรู้สึกอยู่เสมอว่าระหว่างน้าธารีกับธวลิตนั้นมีความสัมพันธ์บางอย่างที่ต่างออกไป เมื่อไหร่ก็ตามที่ไม่มีใครอยู่ น้าธารีก็มักจะเรียกเขาด้วยชื่อตรงๆแบบนั้นเลย ทั้งยังเป็นห่วงเขามากเป็นพิเศษอีกเสียด้วย นี่น่ะเรียกได้ว่าแทบจะเกินขอบเขตที่พอ เหมาะสำหรับคนนอกคนหนึ่งไปแล้วนะ ทว่าตัวธวลิตเองที่เอาแต่ทำท่าเย็นชาใส่หน้าธารีมาโดยตลอดนั้น กลับไม่คิดที่จะผลักไสไล่ส่งเธอไปเลยแม้แต่น้อย ระหว่างพวกเขาสองคนนี่มันยังไงกันแน่นะ ถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่ดารุก็ไม่ชอบขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวของใครอยู่ดี เธอจึงไม่ได้เอ่ยปากถามอะไรออกมา พักนี้นายธวลิตก็ทำตัวดีกับเธอมากขึ้นแล้วด้วย เธอกับเขาสองคนคงจะไม่ได้มาเป็นศัตรูคู่แค้นกันอีกได้ ง่ายๆแล้วล่ะ แถมยังมีข้อตกลงบางอย่างระหว่างกันไว้แล้วนั่นอีก ดารุค้นพบว่า ทุกๆวันที่เธอไม่ได้เจอหน้าธวลิตนั้น เธอมักจะนอนหลับสนิทได้ยาก อาจจะเป็นเพราะกลัวว่าเขาจะทำเรื่อง อะไรแปลกๆขึ้นมาอีกก็เป็นได้ล่ะมั้ง ดารุใช้เป็นข้ออ้างให้ตัวเองเชื่อมั่นไปแบบนั้น “นายน้อยนี่เป็นคนดีจริงๆเลยนะจ๊ะ”เมื่อเห็นดารุเงียบไป ธารีจึงดึงหัวข้อสนทนาขึ้นมา “ที่คนอื่นมองว่าเขาทั้งเย็นชา ไร้อารมณ์และโหดเหี้ยมน่ะ มันก็เป็นแค่โหมดป้องกันตัวของเขาเท่านั้นล่ะ ตอนเด็กๆนายน้อยพบเจอแต่กับความยากลำบากมานับไม่ถ้วน ถึงขนาดเกือบจะต้องตายอย่างน่าเวทนาด้วยน้ำมือของคนที่เขารักมากที่สุด เขาจึงต้องเปลี่ยนไปเป็นคนที่แข็งกร้าว ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้” “เพราะเกือบต้องตายด้วยน้ำมือของคนที่ตัวเองรัก เลยต้องจงเกลียดจงชังคนอื่นเขาไปทั่วเป็นการตอบแทนน่ะเหรอคะ” ดารุผุดลุกขึ้นมาอย่างไม่นึกยอมรับ พลางนึกถึงแต่ละสิ่งแต่ละอย่างที่เขาทำกับเธอ “ไม่ใช่แบบนั้นนะ ดารุ ที่นายน้อยทำกับหนูน่ะมันไม่เหมือนกัน เขาไม่เคยเป็นห่วงผู้หญิงคนไหนเหมือนที่เป็นห่วงหนูมาก่อนเลย เขารักหนูนะจ๊ะ เพียงแต่ว่าตอนเด็กๆเขาใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ขาดความรักความอบอุ่น เพราะงั้น เพราะอย่างนั้นเขาถึงไม่รู้ว่าจะต้องแสดงความรักนั้นออกมาอย่างไร ยังไงล่ะจ๊ะ!” คำพูดของน้าธารียังคงก้องอยู่ในหู ดารุพลิกตัวไปมาอย่างกระสับกระส่าย ภายในใจก่อกำเนิดเป็นความรู้สึกบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิมขึ้นมา แท้จริงแล้วมันเป็นความรู้สึกอะไรกันแน่นะ ตอนนี้ตัวเธอเองก็ยังบอกได้ไม่ชัดเจนนัก เสียงเรียกเข้าพลันร้องดังขึ้น ดารุหยิบมือถือจากชั้นวางมาอย่างคุ้นเคย เป็นไฉไลนั่นเอง “ไฉไล มีอะไรเหรอ” “ดารุ คือว่าอีกไม่นานมันก็จะเปิดเทอมแล้วน่ะ เธอจะพักการเรียนไปก่อนมั้ย” โอ้ พอนับเวลาดู ช่วงปิดเทอมแปบๆก็จะหมดลงแล้วจริงๆด้วยแฮะ เธอจะไปเรียนได้มั้ยนะ ธวลิตไม่อนุญาติให้เธอออกจากคฤหาสน์คานเขตไปไหนได้ แล้วก็ไม่มีโอกาสได้ออกไปทำงานพาร์ทไทม์ ช่วงปิดเทอมด้วย เงินค่าเล่าเรียนของเธอจึงยังไม่ได้เก็บออมเอาไว้เลย “มันเป็นเทอมสุดท้ายแล้วนะ คุณธวลิตเขาก็ไม่น่าจะไม่อนุญาติเธอให้ไปแล้วล่ะ ไม่งั้นเธอไม่เสียดายแย่หรอ” นายธวลิต! ปัญหาทุกอย่างล้วนแต่เกิดขึ้นมาก็เพราะไอ้งานแต่งไร้สาระนี่ของเขากับเธอนี่ล่ะ! ถ้าหากงานแต่งงาน นี่มันจบลงเสีย ปัญหาพวกนี้ก็คงจะหมดไปได้โดยปริยายสินะ ความคิดที่จะหย่าลอยเข้ามาในหัวอีกครั้ง ดารุคุยกับไฉไลง่ายๆ ไปเพียงไม่กี่ประโยค ก่อนจะวางสายลง เธอตัดสินใจแล้ว พรุ่งนี้เธอจะต้องหาโอกาสคุยเรื่องงานแต่งงานนี่ขึ้นมาให้ได้ ทว่าธวลิตราวกับจงใจที่จะหลบดารุอยู่ก็ไม่ปาน เพราะตั้งแต่คืนนั้นเขาก็ไม่โผล่หน้ามาอีกเลย ไม่ต้องพูดถึงว่าจะหาตัวเขาเพื่อมาคุยธุระได้ ขนาดเงาของเขาเองเธอยังแทบจะไม่เห็น และภายในรุ่งเช้าของวันที่ห้า น้าณิชก็ส่งกองเสื้อผ้าใหม่ๆมาให้ เมื่อมองดูจากเนื้อผ้าแล้ว ก็พอจะรู้ได้ว่าราคาแพงอยู่เหมือนกัน “นายน้อยให้คุณเลือกเสื้อผ้าพวกนี้ด้วยตัวเอง”ใบหน้าอึมครึมของน้าณิชทอแสงขึ้นมาแวบหนึ่ง และน้ำเสียงก็มีแวว ไม่มั่นคงแฝงอยู่ มันไม่ได้เย็นชาอีกแล้ว แถมหล่อนอย่างเปลี่ยนเป็นเรียกเธอว่า “คุณ”แล้วเสียด้วย เพียงแค่เธอโบกมือครั้งหนึ่ง เหล่าสาวใช้ต่างก็รีบจัดแจงเสื้อผ้าแขวนไว้ในตู้อย่างรวดเร็ว เมื่อจัดระเบียบเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงพากันออกไป “นี่”ดารุเรียกน้าณิชที่กำลังจะออกไป “ลิต...นายน้อยน่ะค่ะ เขาอยู่ที่ไหนคะ” “อยู่บริษัท”น้าณิชตอบกลับมาอย่างเรียบง่าย ไม่นานนักหล่อนก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้จึงเอ่ยต่อว่า “นายน้อย ท่านสั่งมาว่าให้คุณผู้หญิงแต่งตัวเสีย เพราะกลางวันนี้ท่านกับคุณจะต้องไปรับประทานอาหารกลางวันกันข้างนอกค่ะ” “อ้อ”ดารุฉายแววตกตะลึงวูบหนึ่งเล็กน้อย พลางใช้ความเงียบสงบปกปิดมันเอาไว้ ภายในตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ ณ ตอนนี้ ได้ถูกบรรจุไว้อย่างอัดแน่น เมื่อลองพลิกป้ายยี่ห้อบนชุดดู ก็ล้วนแต่จะเป็นแบรนด์ Chanel Dior Versace และ Yves Saint Laurent ทั้งนั้น ตัวดารุเองก็เรียนเกี่ยวกับแฟชั่นดีไซน์มา เธอย่อมที่จะรู้จักมันอยู่แล้ว แบรนด์หรูทั้งหมดภายในตู้นี้ ล้วนติดอันดับท็อปสิบของโลกทั้งสิ้น ใช้เงินเก่งจังแฮะ! เงินที่ใช้ซื้อเสื้อผ้าทั้งหมดนี้น่ะ เพียงพอที่จะทำให้ครอบครัวธรรมดาๆย่านใจกลางเมืองสามารถซื้อห้องพักได้ตั้งหลายห้อง แถมยังเขยิบฐานะไปเป็นผู้มีอันจะกินได้อีกด้วย ดารุกวาดสายตามองครู่หนึ่ง ก่อนจะเลือกชุดเซ็ท ที่ดูเรียบง่ายที่สุดในตู้ตัวหนึ่งออกมา ขณะที่ก้มศีรษะอยู่นั้น เธอก็มองเห็นกล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆด้านล่างที่มีชุดชั้นในตัวสวยวางไว้อยู่ด้านใน ขนาดของพวกนี้ยัง ซื้อมาให้แล้วด้วยหรือนี่ ดารุนึกไม่ถึงว่าธวลิตจะใส่ใจเธอได้ถึงขนาดนี้ เธอหยิบชุดชั้นในไซส์ 32C ตัวหนึ่งขึ้นมา ซึ่งมีขนาดพอดีกันกับตัวเธอเลย ใบหน้าเล็กอดไม่ได้ที่จะขึ้นสีแดงระเรื่อ เขารู้ได้ยังไงกันว่าเธอใส่ไซส์ไหนน่ะ ณ ภัตตาคารฮาร์เวสต์เรสเตอรอง ที่ซึ่งมีตัวอักษรยักษ์สีทองอร่ามประทับตั้งอยู่บนขอบป้ายสีแดง มองดูแล้วช่างโอ่อ่าและเต็มเปี่ยมไปด้วยความทันสมัย ด้านล่างนั้นมีคำแปลภาษาอังกฤษของชื่อร้านอยู่ด้วย ในส่วนของผู้คนที่เข้าออกไปมาอยู่นั้น นอกจากจะเป็นดาราหรือหญิงสาวที่แต่งกายหรูหราและมีชื่อเสียงนั่นแล้ว ก็ยังจะมีชาวยุโรปแต่ละเชื้อชาติที่มีสีผิวหลากหลายต่างกันออกไป ซึ่งนั่นทำให้เห็นได้เลยว่า ต้องเป็นคนที่มีฐานะเท่านั้นถึงจะเข้ามายังที่แห่งนี้ได้ ทันทีที่ดารุเพิ่งจะก้าวเข้ามาในห้องโถงนั้น ก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากผู้จัดการร้าน “คุณดารุครับ ท่านประธาน กำลังรอคุณอยู่ด้านใน” ผู้จัดการร่างท้วมใจดีดึงเอวเธอเข้ามาใกล้อย่างประจบประแจง ดารุได้ถูกพามายังห้องอาหารส่วนตัวห้องหนึ่งที่ประดับประดา ตกแต่งไว้อย่างวิจิตรงดงาม โดยมีธวลิตที่นั่งอยู่เบื้องหน้าอย่างเกียจคร้าน พลางจ้องมองเธอที่เดินเข้ามา “ชอบชุดรึเปล่า”ธวลิตมองมาที่ดารุซึ่งสวมชุดแบรนด์หรูอยู่นั้นด้วยแววตาชื่นชม รวมไปถึงผ้าพันคอผืนหนึ่งบนคอเธอ นั่นด้วยที่เขาแสดงออกให้เห็นว่ารู้สึกชื่นชมมัน ชอบหรอ มันดูหรูเกินไปเสียมากกว่า ถึงเธอจะได้ชื่อว่าเป็นลูกสาวคนที่สองของบ้านฯ ทว่าก็ไม่เคยที่จะรู้สึกยินดีปรีดากับความ หรูหราพวกนี้มาก่อนเลย เธอรู้สึกไม่คุ้นเคยกับมันมากๆ กระนั้นดารุก็ยังคงพยักหน้าสู้เข้าไว้ จนทำให้ธวลิตปรายยิ้มดีใจนั่นออกมา ปฏิเสธไม่ได้เลยแฮะ ว่ายามที่เขายกยิ้มขึ้นมานั้นมันช่างน่ามองเหลือเกิน เมื่อเทียบกับยิ้มเย็นชาตามปกติแล้ว วันนี้ภายใต้รอยยิ้มนั่นของเขามีแสงพระอาทิตย์อบอุ่นเพิ่มเข้ามาอยู่นิดหนึ่งด้วย ทว่าก็ยังมีเสน่ห์ดึงดูดคนได้อย่างล้นเหลืออยู่ดี ผู้ชายคนนี้พอยิ้มแล้วกลับดูดีกว่าผู้หญิงเสียอีกแน่ะ! “กินข้าวกันเถอะ”เขาเรียกเธออย่างอ่อนโยน ทว่าดารุกลับหันรีหันขวาง ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี ก็เธอไม่เคยเข้ามาในภัตตาคารยุโรปแบบนี้มาก่อนเลยนี่ ธวลิตเข้าใจว่าเธออาจจะเป็นแค่หญิงสาวที่ดูจะจริงจังกว่าผู้หญิงทั่วไปก็เท่านั้น เขาจึงถือโอกาสหยิบมีดกับส้อมขึ้นมาก่อน พลางหั่นลงไปที่เนื้อสเต็กบนจาน ท่วงท่าของเขานั้นทั้งสง่าสงามและดูเป็นธรรมชาติ จนทำให้ดารุถูกเขาดึงดูดอย่างไม่อาจห้ามได้ “กินสิ”ธวลิตมองดารุที่ไม่ขยับเขยื้อนมือ พลางเร่งเร้า “อ้อ” ใบหน้าเธอขึ้นสีแดงระเรื่อ ดารุก้มหน้าลง พลางเรียนรู้จากท่าทางนั้นของเขาและหั่นมันออกมาจนได้ ท่าทีของเธอในทีแรกนั้นยังคงมีความเก้ๆกังๆอยู่บ้าง ทว่าคนที่เฉลียวฉลาดอย่างเธอก็สามารถเรียนรู้เทคนิคได้อย่างรวดเร็ว ดารุจัดการหั่นเนื้อสเต็กออกเป็นชิ้นเล็กๆทรงสี่เหลี่ยมอย่างแม่นยำ เธอเป็นถึงนักเรียนแถวหน้าของโรงเรียน และมักจะเรียนรู้อะไรๆได้เร็วกว่าคนปกติทั่วไป ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ไฉไลเอาแต่ชื่นชมเธอนั่นล่ะนะ “อา-ไม่อร่อย ไม่สุกด้วย” ทันทีที่เนื้อสเต็กเข้าปากหนึ่งคำ กลิ่นเลือดคละคลุ้งก็แผ่ซ่านออกมาอย่างรวดเร็ว ดารุขมวดคิ้วมุ่น พลันคายชิ้นเนื้อนั้นออกมา เธอรู้สึกมวนท้องไม่หยุดจนต้องไอสำลักอย่างทรมานอยู่อย่างนั้นนานพอสมควร จนกระทั่งไม่หลงเหลือ รสชาติใดๆในปากอีกเลย 
已经是最新一章了
加载中