บทที่ 41 เอ็นดูผมหรือ   1/    
已经是第一章了
บทที่ 41 เอ็นดูผมหรือ
บ๗ที่ 41 เอ็นดูผมหรือ ซึ่งคนในครอบครัวก็ชอบเอาผลการเรียนต่างๆนาๆของเฉียวเมิ่งเยว่มาเปรียบเทียบกับเธออยู่เรื่อยส่วนเฉียวเมิ่งเยว่ก็เป็นเด็กเนิร์ดตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว ซึ่งช่วงที่เรียนอยู่ก็เป็นนักเรียนดีเด่นที่ติดท็อปของระดับชั้นเรียนมาแต่เนิ่น 20 ปีแรกของ เฉียวเมิ่งเยว่ นั้นก็ดูเหมือนจะเป็นแบบสำหรับนางเอกในบทละครอยู่แล้ว จนกระทั่งเธอยอมทิ้งทุนเรียนต่อต่างประเทศเพื่อโจวจื่อหยาง ภาพลักษณ์นางเอกของเธอถึงได้พังทลายลงจบสิ้นเสีย พ่อแม่ของเธอมักจะแอบพูดนินทาลับหลังว่าเฉียวเมิ่งเยว่เรียนหนังสือเยอะจนเซ่อ และทำให้ใจแตก แต่อย่างไรก็ตามเฉียวไห่ซิงกับลั่วหมิงเม่ยกลับไม่เคยบ่นหรือพูดอะไรเลยกับเรื่องนี้ พอญาติๆถามถึงก็ตอบแบบไม่อะไร ไม่มีท่าทีจะโทษเฉียวเมิ่งเยว่เลยแม้แต่น้อย ส่วนตอนนี้เฉียวเมิ่งเยว่ก็แต่งเข้าตระกูลเห้อแล้ว เห้ออี้ลั่วก็ดีกับตระกูลเฉียว ตระกูลลั่วจนไม่น่าเชื่อ ใครๆก็อิจฉาที่เฉียวเมิ่งเยว่ได้มีโชคลาภเช่นนี้ ไม่เข้าใจ ทำไมชิวิตเฉียวเมิ่งเยว่จึงได้มีทุกสิ่งอย่างที่ดีขนาดนี้ล่ะ? ถ้าพูดถึงรูปร่างหน้าตา ตัวเองก็ไม่แพ้มันแม้แต่น้อย อาจดีกว่ามันด้วยซ้ำ แต่แล้วทำไมเขาถึงแต่งงานกับผู้หญิงอย่างเฉียวเมิ่งเยว่ล่ะ? ลั่วหย่าเอ่อมองไปที่ใบหน้าของเห้ออี้ลั่ว ในใจนึกคิด หากเห้ออี้ลั่วรู้เรื่องเฉียวเมิ่งเยว่กับโจวจื่อหยาง จะเป็นยังไงต่อ? ยังจะเอาเฉียวเมิ่งเยว่เป็นภารรยาอยู่อีกไหม? ในขณะที่ความคิดพุ่งทะลุผ่านจิตใจของเธอ ทำให้ลั่วหย่าเอ่ออึ้งไปชั่วขณะ เธอไม่ได้คาดหวังเลยว่าตนจะมีความคิดชั่วร้ายเช่นนั้น เฉียวเมิ่งเยว่เห็นลั่วหย่าเอ่อไม่พูดไม่จา เลยแตะเจ้าตัวเบาๆ“ทำไมถึงทำหน้าใจลอยแบบนี้ล่ะ?เหนื่อยแล้วหรอกหรือ?” "เหนื่อยนิดหน่อย" “งั้นแกก็ไปพักที่ห้องรับแขกก่อนสิ เดี๋ยวถึงเวลากินข้าวจะไปเรียก” "งั้นพวกเธอคุยกันไปก่อนเลยนะ" พอพูดจบ ลั่วหย่าเอ่อก็ยืนขึ้นและเดินไปยังห้องพัก ห้องพักอยู่ด้านในสุดของทางเดิน แต่พอลั่วหย่าเอ่อเดินผ่านห้องของเฉียวเมิ่งเยว่แล้ว ก็หยุดเดิน และยืนนื่งตรงหน้าห้อง เธอยืนลังเลใจอยู่หน้าประตูไปพักนึง และแล้วจึงลอบเดินเข้าไปอย่างไร้สุ่มไร้เสียง พอเข้าไป ก็เห็นเสี่ยวเป่าซึ่งกำลังนอนอยู่บนเตียงพอดี เพียงแค่ได้ยินเสียงที่เล็กน้อยนั้น ก็ทำให้เจ้าตัวเล็กลืมตาขึ้นอย่างตื่นตัว และทำสีหน้าที่ดูซีเรียสจริงจังมาก ลั่วหย่าเอ่อไม่คิดเลยว่าจะได้เจอกับฉากนี้ เธอเข้าใจว่าเสี่ยวเป่านอนหลับสนิทไปเรียบร้อยแล้ว ดวงตาสีดำของเสี่ยวเป่าจ้องมองเธออย่างรุนแรง ซึ่งไม่เข้ากับแววตาของเด็ก5ขวบควรจะมี แผนการของลั่วหย่าเอ่อพังหมดในทันที เสี่ยวเป่ามองเห็นสีหน้าตื่นตระหนกที่ปรากฏบนใบหน้าของลั่วหย่าเอ่อ แล้วก็เผยให้เธอเห็นรอยยิ้มเยาะเย้ยที่ไม่เหมาะกับอายุตนอีกที ซึ่งมันก็ทำให้ลั่วหย่าเอ่อตกใจ เสียงเธอสั่นเครือ แล้วพูดว่า“ฉัน...ฉันเข้าผิดไปเอง” พอพูดจบ เธอก็วิ่งออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว เสี่ยวเป่ากระโดดลงเตียง แล้วก็ปิดประตูลง ฝีมือแค่นี้ยังกล้าเสนอหน้ามาให้เห็นอีก โง่เกินทนซะจริง ไม่คิดเลยว่าเฉียวเมิ่งเยว่จะเป็นญาติกับหญิงโฉดแบบนี้ มันเป็นปาฏิหาริย์ซะจริงที่เฉียวเมิ่งเยว่ไม่ได้ติดเชื้อเซ่อไปด้วย ทั้งที่อยู่ด้วยกันมานาน ** เนื่องจากญาติๆของตระกูลเฉียว 、เห้อทั้งสองตระกูลรวมกันทั้งหมดก็เกือบจะ40คนได้แล้ว เลยไม่ได้ทานข้าวในบ้านเพราะว่าพื้นที่ไม่เพียงพอ เฉียวไห่ซิงกับลั่วหมิงเม่ยนำพาทุกคนไปทานอาหารเที่ยงที่โรงแรม5ดาวใกล้ๆ ซึ่งในช่วงระหว่างทานอาหารนั่น เห้ออี้ลั่วยังคงถูกผู้คนจับจ้องเป็นตัวเด่นเช่นเดิม ส่วนเสี่ยวเป่าก็ใช้ตะเกียบคีบกลับมาให้เฉียวเมิ่งเยว่ทานตลอดเวลางาน แกอยู่ติดเธออย่างกับเป็นปลิงไม่ยอมห่างไปไหน ท่าทีน่าเอ็นดูเอาใจใส่นั้น ทว่าให้คนไม่รู้เรื่องมาเห็น อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าทั้งคู่เป็นแม่ลูกกันแท้ๆได้เลยด้วยซ้ำ เฉียวเมิ่งเยว่ ทานไปไม่กี่คำก็หยุดทานเพราะรู้สึกเอ็นดูเจ้าตัวเล็ก เจ้าตัวเล็กยังเด็กยังเล็ก ขนาดตะเกียบยังจับได้ไม่ค่อยคล่องเท่าไหร่นักเลย เธอรู้ซึ้งถึงความใส่ใจของเจ้าตัวเล็ก ก็เพียงพอแล้วสำหรับทุกอย่าง เฉียวไห่ซิงกับลั่วหมิงเม่ย ดีใจมากที่ได้เห็นกิริยาของทั้งสองแม่ลูก พวกเขาทั้งสอง สงสารและเสียใจมากกับประสบการณ์ของเสี่ยวเป่า ตั้งแต่รู้ข่าว หนำซ้ำตอนนี้ยังเห็นว่าเสี่ยวเป่าน่ารักน่าเอ็นดูขนาดนี้ ยิ่งทำให้ทั้งสองชอบใจใหญ่ หากไม่รู้ว่าเสี่ยวเป่าไม่ยอมเข้าใกล้คนอื่นนอกเหนือจากเห้ออี้ลั่วกับเฉียวเมิ่งเยว่นั้น ลั่วหมิงเม่ยก็คงจะอดใจไม่ไหว และจะวิ่งไปหอมแก้มเสียให้สมใจอยากเลยทีเดียว เด็กน่ารักน่าชังขนาดนี้ ใครเขาจะเกลียดได้ลงคอ ใครเขาจะไม่ชอบกันล่ะ มื้อกลางวันกินจนถึงช่วงบ่ายสามถึงได้เป็นอันสิ้นสุด พวกผู้ชายต่างก็ดื่มไปไม่น้อย เห้ออี้ลั่วอยู่ในจุดศูนย์กลางผู้คน อีกอย่าง สำหรับเขาแล้ว นี่ก็ถือเป็นครั้งแรกที่ได้พบญาติผู้ใหญ่ของตระกูลเฉียว 、เห้อทั้งสองตระกูล ด้วยเหตุทั้งหมด ก็ต้องแน่นอนอยู่แล้วที่จะถูกทุกคนมอมเหล้า แต่ดูจากสีหน้าของเขานั้น ก็ไร้ความเมาแต่อย่างใด จนกระทั่งส่งทุกคนออกจากห้องจนเสร็จ เห้ออี้ลั่วถึงได้พิงไหล่เฉียวเมิ่งเยว่ ด้วยท่าทีมึนเมาเล็กน้อย เฉียวเมิ่งเยว่ได้กลิ่นเหล้าบนตัวเค้า เลยถามไปว่า “เปิดห้องแล้วพักที่โรงแรมนี้ไปเลยมั้ย?” “ให้ผมเอนพิงสักครู่ก็พอ ผมว่ากลับไปนอนที่บ้านดีกว่า” “คุณเศรษฐีคะ เวลาพวกคุณคุยงานธุรกิจก็ต้องดื่มกันแบบนี้หรือ?” “เอ็นดูผมหรือ?” “มันก็มีนิดๆ”พอเฉียวเมิ่งเยว่พูดจบก็รู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย เลยพูดต่อเพื่อแก้เขินอีกว่า “คุณเศรษฐีเอ๋ย คุณต้องดูแลตัวเองดีๆนะ ฉันจะได้มีเงินทองใช้ไปวันวันไงล่ะคะ” พอเห้ออี้ลั่วฟังคำแก้ตัวจนจบ ก็หัวเราะเบาๆ และพูดไปว่า “ ระดับอย่างผมน่ะนะ เวลาคุยงานไม่ค่อยโดนมอมหรอก ปกติก็เลือกได้ว่าจะเลี่ยงหรือไม่ เพราะผมมันคนหน้าใหญ่ไงล่ะ” “งั้นคุณคงเหนื่อยแย่เลยสิคะ” “จะเหนื่อยได้ยังไง กับแค่เรื่องดื่มเหล้ากับญาติพี่น้องของคุณ นี่เราก็แต่งงานกันแล้วนะ ไม่เป็นไรหรอก ” พอเฉียวเมิ่งเยว่ได้ยินคำอธิบายของเห้ออี้ลั่วแล้ว ก็ยิ้มหัวเราะคิกคิก และรู้สึกเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับเหตุผลของเค้า ดูสีท่าเธอเองก็ควรต้องเรียนรู้ศึกษาเรื่องมารยาทระหว่างธุรกิจ และวัฒนธรรมบนโต๊ะอาหารหน่อยเสียละวันหลังตัวเองต้องห้ามยืนทื่อราวค้อนต่อหน้าญาติพี่น้องของเห้ออี้ลั่วโดยเด็ดขาดเลย สามพ่อแม่ลูกนั่งพักได้ไม่นานนัก เฉียวไห่ซิงกับลั่วหมิงเม่ยก็ส่งแขกกลุ่มสุดท้ายจนเสร็จสิ้นเสียที เห้ออี้ลั่วนั่งตัวตรงแล้วยิ้มถาม “แขกกลับกันหมดแล้วเหรอครับ?” “กลับกันหมดแล้วจ้ะ อี้ลั่ว ลูกไหวรึเปล่า? ให้แม่บอกโรงแรมเตรียมของกินที่แก้เมามาให้ลูกกินดีไหม?”ลั่วหมิงเม่ยถามด้วยความเป็นห่วง “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมว่าเดินสักป่ะเดี๋ยวนึง เดี๋ยวก็หายเมาได้แหละครับ” “งั้นเราก็ค่อยๆเดินกลับกัน ขอโทษนะจ๊ะลูก ญาติพี่น้องพวกเรานี่ก็นะ ชวนดื่มอยู่เรื่อยเลย ถ้าลูกไม่อยากดื่มก็บอกแม่ เดี๋ยวแม่จัดการให้นะ” “พวกเขาไม่ได้มีเจตนาอะไรหรอกครับ คงดีใจที่พวกเราแต่งงานกัน ไม่ต้องซีเรียสขนาดนั้นหรอกครับ” จากนั้นพวกเขาก็เดินจากโรงแรมกลับยังบ้านอย่างช้าๆ พอกลับถึงบ้าน เห้ออี้ลั่วก็ขึ้นไปล้างหน้าแปรงฟันที่ห้องของเฉียวเมิ่งเยว่ ส่วน ลั่วหมิงเม่ย ก็ไปต้มยาแก้เมาในห้องครัวให้พวกเขาสองชุด หนึ่งชุดสำหรับเฉียวไห่ซิง ส่วนอีกชุดให้เฉียวเมิ่งเยว่เอาขึ้นไปให้สำหรับเห้ออี้ลั่ว ขณะที่เฉียวเมิ่งเยว่เปิดประตูเข้าไปในห้องนั้น เห้ออี้ลั่วเองก็เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ และออกจากห้องน้ำด้วยสภาพนุ่งผ้าเช็ดตัวแค่ผืนเดียวพอดี ใบหน้าของเฉียวเมิ่งเยว่แดงด้วยความเผ็ดร้อนและหายใจไม่ออกทันใด และแล้วเธอก็ไอแก้เขินไปเบาๆ“คุณเศรษฐี นี่คุณกำลังยั่วดิฉันอยู่งั้นรึ?” “ก็นั่นน่ะสิครับ” “หากเรารู้จักกันมากกว่านี้ ฉันจะจับคุณขึ้นเตียงแน่หากคุณทำเช่นนี้อีก”เฉียวเมิ่งเยว่ยิ้มพูดและวางยาแก้เมาบนหัวเตียง “คุณแม่เป็นคนทำมาให้ กินเสร็จก็นอนได้แล้ว เดี๋ยวฉันจะมาปลุกคุณอีกทีตอนกินข้าวเย็น” “แล้วเสี่ยวเป่าล่ะ อยู่ไหนละ?”เห้ออี้ลั่วหยิบชามซุปแล้วก็ดื่มอย่างช้าๆ “เจ้าตัวเล็กกำลังเล่นอยู่ที่ห้องรับแขกชั้นสองอยู่เลย” “อ่อ ดูเหมือนแกจะปรับตัวได้ดีกว่าที่ผมคาดไว้ซะอีก” “มันก็ต้องแน่นอนอยู่แล้ว เพราะว่าฉันมีความเป็นมิตรขนาดนี้”เฉียวเมิ่งเยว่ชมตนเองด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ “เอาเป็นว่า ถ้าคุณมั่นใจซะขนาดนั้น ผมก็คงไม่กล้าที่จะเถียงคุณหรอกครับ”พอพูดจบ เห้ออี้ลั่วก็ซดยาจนหมด จากนั้น เฉียวเมิ่งเยว่ก็ช่วยเก็บถ้วยที่เห้ออี้ลั่วดื่มไปนั้น แล้วพูดต่อไปว่า “พักผ่อนได้แล้วคุณ” พอจบประโยค เธอก็ถือถ้วยเปล่านั้น แล้วเดินออกไป ส่วนเห้ออี้ลั่วที่ใส่เสื้อเรียบร้อยแล้วนั้น ก็ห่มผ้าและนอนลงในทันที 
已经是最新一章了
加载中