ตอนที่ 101 ทูตเข้าแคว้นจิง
1/
ตอนที่ 101 ทูตเข้าแคว้นจิง
พิษรักองค์ชายโฉมงาม
(
)
已经是第一章了
ตอนที่ 101 ทูตเข้าแคว้นจิง
ตนที่ 101 ทูตเข้าแคว้นจิง วันที่ 9 เดือน9 เข้าสู่วันที่ 8 หลังจากที่ “พระศพ” ของอ๋องซื่อเจิ้งได้หายสาบสูญไป คณะทูตของแคว้นเป่ยม่อเข้าสู่เมืองหลวง ผู้มาเยือนก็คืออ๋องฉีแห่งแคว้นเป่ยม่อ เขาเป็นตัวแทนของการลงนามต่อสนธิสัญญาระหว่างแคว้นเป่ยม่อและแคว้นต้าโจ้ว ทั้งสองฝ่ายต่างลงนามสนธิสัญญาที่เกี่ยวกับการหยุดสู้รบรวมทั้งความเสมอภาคเมื่อ 15 ปีก่อน ทุก ๆระยะเวลา 3 ปี จะต้องต่อสัญญา 1 ครั้ง อ๋องซื่อเจิ้งสิ้นพระชนม์แล้ว หน้าที่ต้อนรับคณะทูตย่อมต้องตกเป็นของฮองไทเฮา ฮองไทเฮาได้ทรงรับสั่งให้หลี่ปู้ซื่อหลางและใต้เท้าชุยแห่งซางซูเสิ่งไปต้อนรับอยู่หน้าประตูเมือง อีกทั้งยังรับสั่งให้อ๋องหลี่ชินพาอ๋องอานชินไปจัดงานเลี้ยงต้อนรับอยู่ภายในวังด้วย หลายปีมานี้ อ๋องอ่านซินไม่สนพระทัยเรื่องการบริหารบ้านเมืองมาโดยตลอด แต่กับอ๋องฉีผู้นี้ดันเป็นพระสหายเก่า ดังนั้นการจัดให้เขาไปต้อนรับพร้อมกันเป็นเรื่องที่เหมาะสมที่สุดแล้ว คณะทูตเข้าสู่แคว้นจิง นั้นเป็นเพราะต้องการลงนามสนธิสัญญา ดังนั้นราษฎร์ในแคว้นจิงจึงล้วนแล้วแต่แสดงออกถึงความปิติยินดีอย่างยิ่งยวด แคว้นเป่ยม่อเป็นแคว้นที่ผลิตม้าพันธุ์ดี ดังนั้นครั้งนี้อ๋องฉีจึงได้พาม้าพันธุ์ดีกว่าร้อยพันธุ์ ที่ผ่านการปฏิรูปเพื่อม้าออกศึกโดยเฉพาะอีกด้วย แคว้นเป่ยม่อเป็นชนเผ่าด้านสงคราม แต่กลับพ่ายแพ้ให้แก่ม้าศึกที่นำโดยอ๋องอานชิน เป็นระยะเวลากว่า 15 ปี เพื่อบีบให้ฮ่องเต้ของแคว้นเป่ยม่อในปีนั้นยอมจำนน แต่ว่า ราษฎร์ในแคว้นเป่ยม่อกลับไม่เคยชิงชังอ๋องอานชินแต่อย่างใด เพราะ ฮ่องเต้ของแคว้นเป่ยม่อได้ยกทัพทำสงครามปราบปรามติดต่อกันหลายปี ส่งผลให้ราษฎร์ต่างพากันพลัดถิ่น ก่อให้เกิดการให้กำเนิดไม่ดี ในช่วงเวลานั้นบุรุษที่เติบใหญ่ทั้งหมดภายในประเทศต่างก็ต้องเกณฑ์เข้ากองกำลังทหาร ยิ่งทำให้การให้กำเนิดลดลงอย่างมากทีเดียว หลายปีหลังจากนั้น อัตราจำนวนของชายหญิงในแคว้นเป่ยม่อก็สูญเสียสมดุลไปอย่างร้ายแรง ภายใต้การทรงม้าที่แข็งแกร่งของอ๋องอานชิน จนสามารถทำการกำราบฮ่องเต้ได้ และก็ได้กำราบพระราชโอรสในแคว้นเป่ยม่อเช่นเดียวกัน พระราชโอรสในแค้วนเป่ยม่อเป็นคนที่น่าเคารพ ดังนั้นอ๋องอานชินจึงได้กลายเป็นวีรบุรุษที่ดำรงอยู่ในแคว้นเป่ยม่อ แน่นอนว่า วีรบุรุษนี้มีเพียงแค่ราษฎร์เท่านั้นที่ให้การยกย่อง ส่วนเชื้อราชนิกุลของแคว้นเป่ยม่อยังคงให้ความเกลียดชังและหวาดกลัวองค์อานชินผู้เป็นเจ้าแห่งสงครามผู้นี้มาก อ๋องฉีจึงต้องตกเป็นผู้นำและจัดการ การทำลงนามสนธิสัญญาว่าด้วยเรื่องของสันติภาพในปีนั้น ทั้งสองแสร้งทำเป็นเห็นคุณค่าซึ่งกันและกัน เกือบจะเหมือนกับพี่น้องต่างนามกกุลที่ไม่เคยคบค้าสมาคมกันมาก่อน ในตอนที่จัดงานเลี้ยงภายในวัง ก็ได้เชื้อเชิญคณะขุนนาง คนที่คุกเข่าอยู่ด้านนอกพระตำหนักฮองไทเฮาเหล่านั้น ต่างก็ทยอยกันเข้าร่วมการประชุมโดยที่ไม่ออกสิทธิ์์ออกเสียงแต่อย่างใด อ๋องหนานหวยไม่ได้เข้าร่วม ฮองไทเฮาได้ให้คนไปเชิญเขาแล้ว แต่ไม่มีการตอบรับกลับมาแต่อย่างใด ไม่เห็นแม้แต่เงาคน ฮองไทเฮาคิดว่าเขาต้องการอยู่เป็นเพื่อนกับลี่งกุ้ยไท่เฟย จึงไม่อยากสร้างความลำบากใจให้แก่เขา ถึงอย่างไรก็มีพระญาติสนิทของฮ่องเต้และเหล่าขุนนางอยู่เป็นเพื่อน ก็มากพอแล้ว องค์รัชทายาททรงฉลองพระองค์รัชทายาทสีเหลืองอร่าม ปักลวดลายมังกรสี่เท้าตรงทรวงอกและแผ่นหลัง ช่างเลอค่าจนมิอาจจะพรรณนาออกมาได้ คืนนี้เขามีใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุขอันล้นพ้น ก่อนที่อ๋องฉีแห่งแคว้นเป่ยม่อจะเข้าวังมา เขาได้มาถึงก่อนแล้ว อีกทั้งยังมาต้อนรับในฐานะผู้นำพประเทศอีกด้วย อ๋องฉีและองค์รัชทายาทเคยพบเจอกันมาก่อนแล้ว แต่ว่า ครั้งนั้นองค์รัชทายาทเอาแต่หลบซ่อนตัวอยู่ด้านหลังของฮ่องเต้ ไม่กล้าสู้หน้า แต่หลังจากที่ได้พูดคุยกับเขาครั้งหนึ่ง ก็ได้ค้นพบว่าเขานั้นมีความรู้ที่ตื้นเขินมาก รู้แค่เพียงผิวเผินเท่านั้น จึงอดที่จะรู้สึกผิดหวังไม่ได้ รู้สึกว่าไม่น่าคบค้าสมาคมแต่อย่างใด แต่ว่า มันขัดต่อขนบธรรมเนียมประเพณี เขาจึงไม่ได้แสดงความรู้สึกใด ๆออกมา อ๋องฉีเพิ่งจะถึงแคว้นต้าโจวได้ไม่นาน ดังนั้นยังไม่รู้ข่าวการ “สิ้นพระชนม์” ของอ๋องซื่อเจิ้ง ดังนั้นหลังจากที่ได้พบกับองค์รัชทายาทแล้ว จึงได้มองหาเงาของอ๋องซื่อเจิ้งด้วยจิตใต้สำนึกทันที เมื่ออ๋องอานชินเดินขึ้นหน้า เขาจึงเอ๋ยถามอ๋องอานชินว่า: “ทำไมไม่เห็นอ๋องซื่อเจิ้งเลยละ?” หน้าของอ๋องอานชินเคร่งขรึมขึ้นทันใด ก่อนพูดว่า: “อ๋องซื่อเจิ้งสิ้นพระชนม์แล้วพะยะคะ!” อ๋องฉีตื่นตระหนกตกใจทันใด “ทำไมถึงได้เป็นเช่นนี้ละ? น่าเสียดาย อิจฉาสติปัญญาของเขาจริง ๆ” อ๋องฉีเสียใจอย่างสุดซึ้ง และก็รู้สึกไม่สบายพระทัยมากด้วยเช่นเดียวกัน เขาจะเสด็จมาแคว้นจิงปีละครั้ง เพื่อมาพูดคุยกับอ๋องอานชินและอ๋องซื่อเจิ้งอยู่บ่อยครั้ง ความสัมพันธ์ทั้งสองจึงไม่เบาบางแต่อย่างใด เขาทอดถอนหายใจ “ทำไมถึงได้เป็นเช่นนี้ละ? ประชวรฉับพลันหรือ? ก่อนหน้านั้นข้ายังพูดคุยกับเขาอยู่เลย เขามีความรู้หลายแขนงอย่างลึกซึ้ง เข้าใจวิถีในการบริหารปกครองประเทศ เป็นกษัตริย์ที่ปกครองประเทศบ้านเมืองด้วยความสงบสุขอย่างแท้จริง” เมื่อเหลียงไถ้ฝู้ที่ประทับอยู่ด้านข้างได้ยินคำพูดนี้ จึงได้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า :“อ๋องฉี ฮ่องเต้ของแคว้นต้าโจวยังทรงประทับอยู่ ซือถูเย้นอ๋องซื่อเจิ้งจึงได้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ดูแลประเทศแทนพระองค์ชั่วคราว เจ้าเรียกเขาว่ามหากษัตริย์ เกรงว่าจะไม่เหมาะสมเท่าไหร่นัก” อ๋องฉีจึงรีบกล่าวขอโทษทันใด “ใช่ๆ ข้าพลั้งปากไป ต้องขอประทานอภัย ประทานอภัยจริงๆ!” เหลียงไถ้ฝู้จึงพูดขึ้นว่า: “นโยบายของแคว้นเป่ยม่อและแคว้นต้าโจวนั้นแตกต่างกัน ท่านอ๋องทรงไม่ทราบยังพอยกโทษให้ได้พะยะคะ องค์รัชทายาทของเราเป็นคนที่ใจกว้างอยู่แล้ว ไม่มาคิดเล็กคิดน้อยต่อท่านอ๋องหรอกพะยะคะ” อ๋องฉีเงยหน้าขึ้นไปทางองค์รัชทายาทด้วยความประหลาดใจ ในใจเกิดความสงสัย คำพูดนี้ของเหลียงไถ้ฝู้หมายถึงองค์รัชทายาทผู้ดำรงตำแหน่งบริหารประเทศอย่างนั้นหรือ? แต่องค์รัชทายาท........ แคว้นต้าโจวไม่น่าจะตัดสินใจเช่นนี้ ถึงแม้จะบอกว่าองค์รัชทายาทจะต้องขึ้นครองบัลลังก์อยู่ไม่ช้าไม่เร็วก็ตาม แต่จนถึงบัดนี้องค์รัชทายาทก็ยังไม่โตเท่าที่ควร ไม่มีคุณสมบัติของการเป็นกษัตริย์ ยังต้องขัดเกลาอย่างน้อย 8 ปี หรือไม่ก็10 ปี เมื่อคำพูดนี้เข้าหูของฮองไทเฮา ฮองไทเฮาจึงไม่พอพระทัยเป็นอย่างมาก ฮองเฮามองไปยังสีหน้าของฮองไทเฮามาโดยตลอด เมื่อเห็นนางแสดงสีหน้าปกติ ก็รู้ได้ในทันทีว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ จึงได้กระตุกยิ้มอย่างเย็นชาออกมาเล็กน้อย จริง ๆแล้วนางไม่เคยคิดที่จะให้องค์รัชทายาทเป็นผู้บริหารประเทศ ดูเหมือนว่าการที่เสด็จพ่อตีสนิทคนไว้เป็นจำนวนมาก เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ เมื่ออ๋องอานชินได้ยินคำพูดของเหลียงไถ้ฝู้ ก็ได้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า: “ไถ้ฝู้ทรงรีบร้อนอะไรหรือพะยะคะ? องค์รัชทายาทไม่คิดเล็กคิดน้อยกับท่านอ๋องอย่างแน่นอน พวกเราเองก็เช่นเดียวกัน ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด จะว่าไป ท่านอ๋องก็ไม่มีเจตนาร้ายแต่อย่างใดด้วย” ฮองไทเฮาจึงได้ส่งเสียงออกไปว่า: “เอาละ อย่ามัวแต่ยืนอยู่เลย เชิญท่านอ๋องเสด็จเข้าวังเถอะ!” เมื่ออ๋องฉีมองเห็นฮองไทเฮา ก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ทำความเคารพแต่อย่างใด เขาจึงได้รีบรุดขึ้นหน้าทันที “กนะหม่อมคณะทูตจากแคว้นเป่ยม่อขอถวายบังคมทูลฮองไทเฮาพะยะคะ ขอให้ฮองไทเฮาจงมีแต่ความสุขความเจริญ อายุมั่นขวัญยืน สุขภาพแข็งแรงพะยะคะ” ฮองไทเฮายิ้มพร้อมพูดขึ้นว่า : “ท่านอ๋องรีบลุกขึ้นเถิด เจ้า ก็เหมือนกับคนของตัวเอง ไม่ต้องเกรงใจ รีบเข้าไปนั่งเถิด” เมื่ออ๋องฉีนั่งลงแล้ว เขาก็มองไปทางศีรษะที่ดำทมิฬเหล่านั้น สถานการณ์ในค่ำคืนนี้ ยิ่งใหญ่กว่าการต้อนรับฮ่องเต้ในวันนั้นเสียอีก เขารู้สึกเลือนรางในจิตใจ งานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ มีบรรยากาศอึมครึมไม่ค่อยสบายใจยิ่งนัก ณ ชานเมืองด้านนอก ตั้งแต่ช่วงเที่ยงของวันนี้เป็นต้นไป หลี่โม่มักจะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจอยู่ตลอดเวลา ก่อนหน้านั้นองครักษ์ที่ประจำการอยู่นอกวังไม่เคยเข้ามาในวังแต่อย่างใด แต่วันนี้กลับเดินไปเดินมา ล้วนแล้วแต่เข้าๆออกๆไม่รู้ต่อกี่คน อีกทั้ง ทุกครั้งที่องครักษ์เข้ามา นางก็ไม่สามารถอยู่ได้ เซียวโธ่และซูชิงที่ไม่เคยแสดงสีหน้าสบายใจมาก่อน ก็แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้น ในตอนที่ถวายพระกระยาหารค่ำ ซูชิงก็ไม่ได้เข้ามาช่วย แต่กลับปรึกษาหารือกับซือถูเย้นและเซียวโธ่อยู่ภายในห้อง ในตอนที่นางเข้าไป ก็ได้ยินเสียงของม้าทหารที่กำลังเคลื่อนย้ายอยู่ดังขึ้นมาอย่างเลือนราง ครั้นจะเข้าไปยับยั้ง ซือถูเย้นก็ได้ลงนามรับสั่งไปแล้ว หลี่โม่รู้สึกวิตกกังวลอยู่ภายในใจ พวกเขาต้องกลับไปได้แล้วไหม? แต่ถึงจะไม่มีเรื่องอันใดก็ไม่เคยพูดกับนางมาก่อน อาการประชวรของซือถูเย้นก็ยังทรงไม่หายดี หากยังสู้รบอาจจะส่งผลให้บาดแผลปริแตกอีกครั้ง นั้นไม่ใช่เรื่องน่าสนุกแต่อย่างใด หลังจากที่ทำอาหารเสร็จแล้ว นางก็เข้าไปเคาะประตู “ถึงเวลาเสวยอาหารแล้วเพคะ พวกท่านพูดคุยกันเสร็จยังเพคะ?” ซูชิงออกมาเปิดประตู พร้อมกับบิดตัวด้วยความเกียจคร้าน “มีของอร่อยหรือไม่? คืนนี้มีปลาดิบหรือไม่?” หลี่โม่ส่ายหน้า “ไม่มีเพคะ” นางมองไปทางซือถูเย้น ซึ่งซือถูกเย้นในเวลานี้กำลังประทับอยู่บนเก้าอี้ หลับตาทั้งสองข้าง พักผ่อนจิตใจ โดยไม่มีความตึงเครียดและความเคร่งขรึมก่อนวันออกศึกสงครามเลยสักนิด หลี่โม่รู้สึกว่าตัวเองนั้นอาจจะเดาผิด พวกเขากำลังเตรียมการป้องกันเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างนั้นหรือ? ในฐานะที่เป็นหมอ นางไม่แนะนำให้ซือถูเย้นเสด็จออกจากที่นี่ในตอนนี้ ดูเหมือนซือถูเย้นจะสัมผัสได้ถึงสายตาของหลี่โม่ เขาจึงได้ลืมตาขึ้น ลูกตาสีดำขริบมองไปทางหลี่โม่ ก่อนจะยื่นมือออกไป “มานี่!” หลี่โม่ก้าวเท้าเดินไป “ท่านอ๋อง มีเรื่องอะไรตรัสสั่งหรือเพคะ?” ซือถูเย้นมองไปทางนาง “เดี๋ยวพอทานอาหารเสร็จ เจ้าช่วยพันผลที่แน่นลึกมากยิ่งขึ้นให้ข้าหน่อย พันให้ดีอีกสักหน่อย” ลมหายใจของหลี่โม่ชะงักงัน “ท่านอ๋อง อาการประชวรของท่านยังไม่หายเป็นปกติเลยนะเพคะ ไม่........” “เจ้าเปลี่ยนเป็นนิสัยเป็นจู้จี้จุกจิกเช่นนี้ตอนไหนกัน?” ซือถูเย้นมองไปทางนางด้วยความใคร่สงสัย “ทำตามคำสั่งของข้าไปก็พอ ไม่ได้จะไปสู้รบ แต่พันให้ดีขึ้นหน่อย ให้เปิ่นหวังสามารถแสดงออกถึงความน่าเกรงขามต่อทุกคนได้สักหน่อยก็พอ”
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่ 101 ทูตเข้าแคว้นจิง
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A