ตอนที่ 197 ไร้น้ำใจที่สุดคือครอบครัวราชนิกุล   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 197 ไร้น้ำใจที่สุดคือครอบครัวราชนิกุล
ต๭นที่ 197 ไร้น้ำใจที่สุดคือครอบครัวราชนิกุล “แค๊ก...แค๊ก ๆ จื่อห้าวเจ้ามาพอดี เจิ้งยังคิด...ยังคิดส่งคนไปหาเจ้า เจิ้งมีวาจาคิดอยาก...คุยกับเจ้า” เมื่อเป่ยจื่อห้าวเห็นเขาพูดจายากลำบากเช่นนี้ รีบก้าวไปข้างหน้าอย่างกังวลทันที ลูบพระทรวงของพระองค์ให้ลมปราณโล่งสบายขึ้น “เสด็จพ่อ พระองค์ทรงประชวรหนักมากเช่นนี้ ก็ทรงโปรดอย่าฝืนตรัสพระดำรัสแล้วพ่ะย่ะค่ะ มีเรื่องอะไรรอจนพระองค์ทรงหายพระประชวรแล้วจึงทรงตรัสกับกระหม่อม ดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?” เขาแบบนี้ กลับยังเป็นลูกกตัญญูคนหนึ่งจริง ดูไปแล้วให้ผู้คนซาบซึ้ง แต่ถ้าไม่ใช่เพราะรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขาแล้ว ก็จะถูกเขาหลอกไปจริง ๆ แล้ว “ไม่...ไม่ต้อง วาจาบางอย่าง...ถ้าเจิ้งไม่กล่าวอีก ก็จะสายเกินไปแล้ว ซูเฟยเสียนเฟย พวกเจ้าถอยไปก่อน ให้เจิ้งคุยกับองค์ชายสามดี ๆ” “พ่ะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้ได้ทรงเอื้อนพระโอษฐ์แล้ว เช่นนั้นพวกนางทั้งสองก็ได้แต่ต้องถอนตัวถอยไปแล้ว เพียงแต่ว่าขณะนี้ฮ่องเต้ทรงกำลังประชวรสาหัสเช่นนี้ เวลานี้พระองค์ทรงรั้งองค์ชายสามไว้คนเดียวในเวลาแบบนี้จะทรงตรัสอะไรกับเขาน่ะ “เสด็จพ่อ ที่แท้มีเรื่องอะไร ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้ที่สำคัญยังเป็นอาการพระประชวรของพระองค์ แพทย์หลวงทูลว่าพระองค์ทรงกระเตื้องขึ้นมากแล้ว ทำไมยังสาหัสเช่นนี้ ช่างเป็นกลุ่มแพทย์เถื่อนจริง ๆ !” เป่ยจื่อห้าวทำให้ดูท่าไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้นเลย กล่าวอย่างโกรธมาก “เอาล่ะ เจ้าอย่าโทษแพทย์หลวงเหล่านั้น ร่างของเจิ้ง เจิ้งรู้ตัวดี ดังนั้นจึงไม่คิดให้พวกเขาแพร่งพรายออกไป เพราะกลัวในราชสำนักวุ่นวายสาหัส เมื่อถึงเวลาศัตรูจะฉวยโอกาสจู่โจมบุกเข้ามา ดังนั้น...ก่อนจะมีการสถาปนาองค์รัชทายาทสืบต่อราชบัลลังก์สำเร็จ เจิ้งต้องไม่ล้มลงอย่างเด็ดขาด และต้องไม่ให้ผู้ใดรู้ว่าเจิ้งล้มอย่างเด็ดขาด” ดังนั้นกล่าวว่าเป็นฮ่องเต้ทรงตั้งใจให้แพทย์หลวงเหล่านั้นปกปิดอาการพระประชวรของพระองค์ เพื่อให้ทุกคนต่างคิดว่าพระวรกายของฮ่องเต้ไม่ได้เป็นอันตรายมาก แต่วาจาเหล่านี้สามารถหลอกคนโง่เหล่านั้นได้เท่านั้น หรือว่าเป็นไปได้ที่พวกเขาจะเชื่อหรือ? เมื่อเป่ยจื่อห้าวได้ยินพระองค์ทรงตรัสถึง “ว่าที่ฮ่องเต้” โดยสมัครใจออกมาเอง เขาเกือบจะเอ่ยปากโดยตรงออกมาด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านจนใจกระดอนออกมา การแสดงก็ต้องแสดงทั้งชุดให้สมบูรณ์ เขาต้องไม่สามารถแสดงให้เห็นถึงอยากได้มากสุด ๆ ในตำแหน่งว่าที่ฮ่องเต้เพื่อหลีกเลี่ยงการกระตุ้นความสงสัยของเสด็จพ่อ เขาทำท่าเจ็บปวดเสียใจอย่างมากมองดูพระองค์ “เสด็จพ่อ พระองค์ยังทรงหนุ่มแน่นวัยฉกรรจ์ อาการทรงพระประชวรของพระองค์ต้องดีขึ้นแน่ๆ พระองค์อย่าทรงทำให้กระหม่อมตกใจน่ะ พ่ะย่ะค่ะ” สีพระพักตร์ฮ่องเต้เต็มไปด้วยความอ่อนโยนทอดพระเนตรเขา แล้วเขาก็เอื้อมมือออกไปวางบนมือเขาเบา ๆ “เจ้าช่างเป็นเด็กดีจริง ๆ ในหมู่โอรสเหล่านี้ของเจิ้ง ก็มีแต่เจ้าคนเดียวที่รู้จักถ่อมตัวมีมารยาทกตัญญูที่สุด แม้ว่าจื่อหัวก็เป็นลูกที่ข้าได้อบรมบ่มเพาะอย่างหนักออกมา มีความหวังยิ่งนักต่อเขา แต่ในจุดนี้ ที่เขาทำเทียบไม่ได้กับเจ้ามาก” วาจานี้มีความหมายสองชั้น ก็ขึ้นอยู่กับผู้ฟังจะไปทำความเข้าใจอย่างไรแล้ว ด้วยความรู้สึกที่ไวของเป่ยจื่อห้าว ก็จะสัมผัสได้เป็นธรรมดา เพราะพระมารดาของเป่ยจื่อหัวมีชาติตระกูลเป็นองค์หญิงเผ่าพันธุ์ สายเลือดสูงส่งส่วนพระมารดาของเขาเป็นเพียงหญิงสามัญชนคนหนึ่งที่ได้รับการคัดเลือกเข้าวัง เขาและเป่ยจื่อหัว แม้ว่าต่างเป็นองค์ชาย แต่ตัวตนฐานะที่แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน ดังนั้น คนที่โชคชะตากำหนดให้อยู่สูงคนหนึ่ง ไหนเลยจะรู้จักความอ่อนน้อมถ่อมตนได้เล่า? เสด็จพ่อนี่ดำริทรงตรัสว่าเขาถูกกำหนดให้ถูกเหยียบไว้ใต้เท้า มิอาจพลิกโชคชะตาได้ชั่วนิรันดร์หรือ? แน่นอน วาจานี้ยังมีความหมายอีกหนึ่งชั้น นั่นก็คือฝ่าบาทกำลังทรงยกย่องเขาจริง ๆ แม้ว่าในใจเขารู้สึกว่าเป็นชนิดแรก แต่สีหน้าที่แสดงออกกลับต้องการชนิดที่สอง “เสด็จพ่อ พระองค์ทรงทอนอายุขัยของกระหม่อมแล้ว องค์ชายสองทรงเป็นเสาหลักของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นวิธีการปกครองประเทศหรือศิลปะวิชาในเชิงดนตรีหมากรุกจิตรกรรมการทหาร วิทยายุทธ์ ล้วนมีความเชี่ยวชาญในทุกสิ่งทุกอย่าง กระหม่อมไหนเลยจะเทียบได้กับองค์ชายสองเล่า?” ยิ่งฮ่องเต้ทรงตรัสว่าเขาเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน เขาก็ต้องทำท่าอ่อนน้อมถ่อมตนออกมา มินั้นเขาไหนเลยจะรับคำวิจารณ์นี้ได้อย่างไรกัน? “เจ้าพูดถูกต้อง จื่อหัวเป็นคนที่ดีที่สุดในหมู่โอรสของข้า แต่เจ้าไม่ต้องผิดหวัง แม้ว่าเขาจะมีข้อดีมากมาย แต่มีบางอย่าง เจ้ากลับรวยกว่าเขา” นี้กลับทำให้เป่ยจื่อห้าวสับสนไปแล้ว เพราะตอนนี้เขายังไม่ค่อยเข้าใจว่าที่แท้เสด็จพ่อหมายถึงอะไร พระองค์ทรงเริ่มด้วยการเอ่ยถึงว่าที่ฮ่องเต้ ไม่ใช่คิดทรงตรัสกับเขาผู้ที่ได้รับการทรงเลือกสืบราชบัลลังก์เป็นใคร เมื่อเขามาก็ทรงตรัสคำสรรเสริญชื่นชม ว่าเขาดีกว่าองค์ชายสอง นี่ไม่ใช่หมายความว่าพระองค์ทรงดำริจะสละราชบัลลังก์ให้เขาแล้วหรือ? คิดถึงจุดนี้ เป่ยจื่อห้าวรู้สึกพลุ่งพล่านบ้างแล้วจริง ๆ “เสด็จพ่อ ท่านทรงประชวรจนเป็นแบบนี้แล้ว ก็อย่าพูดอย่างนั้นอีกเลย กระหม่อมและองค์ชายสองต่างเป็นโอรสของเสด็จพ่อ ต่างหวังว่าเสด็จพ่อจะทรงมีพระอาการดีขึ้นแล้ว ยังมีพระมารดาของกระหม่อม เมื่อพระนางทรงสดับว่าเสด็จพ่อทรงประชวรแล้ว ทรงเป็นห่วงมาก คนทั้งคนผอมซูบไปแล้ว ทั้งทรงประชวรจนลุกไม่ขึ้นด้วย ถ้าเสด็จพ่อเกิดเรื่องแล้ว กระหม่อมและพระมารดาต้องติดตามเสด็จพ่อไปแน่นอน เราก็จะไม่มีชีวิตอยู่ต่อไปได้” เขาคุกเข่าอยู่ข้างเตียง รอบดวงตาแดงก่ำ พลันน้ำตาเอ่อล้นออกมา เห็นเขาในตอนนี้ ล้วนเป็นลูกชายกตัญญูคนหนึ่งที่เป็นห่วงพ่อทั้งสิ้น ใครเล่าสามารถจินตนาการความคิดที่เป็นอันตรายเหล่านั้นในจิตใจของเขาในเวลานี้ได้? “เด็กโง่ เจตจำนงของพวกเจ้าแม่ลูก เจิ้งย่อมสัมผัสได้เป็นธรรมดา หลี่เฟยนางได้ติดตามอยู่ข้างกายเจิ้งมายี่สิบกว่าปี เมื่อแรกเจิ้งยังไม่ได้เป็นฮ่องเต้ นางก็ติดตามอยู่ข้างกายข้าแล้ว ตลอดหลายปีนี้ปรนนิบัติรับใช้อย่างสุดใจ เป็นเจิ้งปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อนางแล้ว เจิ้งไม่เพียงปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อนาง กับเสียนเฟยซูเฟยพวกนางก็ปฏิบัติไม่เป็นธรรมถึงที่สุด” ประเด็นหัวข้อนี้ ทำไมยิ่งมายิ่งไปไกลแล้ว? เขาเพียงต้องการที่จะแสดงความจริงใจของเขากับหลี่เฟย ให้พระองค์ทรงมีความประทับใจที่ดีต่อพวกเขาแม่ลูก แบบนี้ให้ตนเองมีโอกาสมากขึ้นที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นว่าที่ฮ่องเต้เท่านั้น ก็ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อทรงเอ่ยถึงหลี่เฟย พระองค์ก็ทรงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถึงเสียนเฟยและซูเฟย เวลานี้ทรงเอ่ยถึงพวกนางทำไม? “เสด็จพ่อ พระองค์ทรงตรัสเรื่องอะไร? กล่าวไปแล้วสำหรับพระมารดาและพระนางทุกพระตำหนัก สามารถอยู่ปรนนิบัติเคียงข้างเสด็จพ่อ เป็นความโชคดีของพวกนาง พวกนางทั้งหมดล้วนทรงรักเสด็จพ่ออย่างลึกซึ้ง พระองค์ไฉนทรงสามารถตรัสวาจาเช่นนี้ออกมาได้พ่ะย่ะค่ะ?” “จื่อห้าว คำพูดในใจเหล่านี้ เจิ้งไม่เคยพูดกับใครมาก่อนตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่ในวันนี้ เจิ้งกลับคิดจะพูดคุยกับเจ้าดี ๆ และเชื่อว่ามีเพียงเจ้าเท่านั้นที่สามารถเข้าใจสภาพอารมณ์จิตใจของเจิ้ง” ลักษณะของพระองค์ ดูไปแล้ว เหมือนป่วยหนักเข้าถึงไขกระดูกไปแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม ยามที่เขาทรงเอ่ยถึงหัวข้อเรื่องนี้ ในดวงพระเนตรของพระองค์จู่ ๆ ก็สว่างวาบขึ้นผืนหนึ่งอย่างคาดไม่ถึง ดูเหมือนว่า พระองค์ทรงกำลังรำลึกถึงสิ่งที่สวยงามมากสิ่งหนึ่ง “กล่าวกันโดยทั่วไป ไร้น้ำใจที่สุดราชนิกุลฮ่องเต้ แต่ในวันนั้น เจิ้งกลับได้เห็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดแล้วบนตัวเจ้า เจ้ารักจางยวี่โหร่วมากเช่นนั้นเพื่อนางไม่ต้องการศักดิ์ศรี แม้รู้ว่านางไม่ได้มีร่างบริสุทธิ์ ก็ยังต้องการจะอภิเษกสมรสกับนาง ถึงกับไม่กลัวที่จะกลายเป็นตัวตลกของทั่วโลกทั้งหมดความรู้สึกที่แข็งแกร่งและลึกซึ้งเช่นนี้ ต่อให้เป็นปุถุชนคนธรรมดาทั่วใต้หล้านี้ ก็ยากที่จะมีคนทำได้น่ะ” ฮ่องเต้ พระองค์ไม่ได้เป็นคนที่ไร้น้ำใจ พระองค์ก็ทรงเคยมีความรักลึกซึ้งมาก่อน ดังนั้น เมื่อแรกเริ่มที่พระองค์ได้ทรงทอดพระเนตรเห็นเป่ยจื่อห้าวช่วยเอาจางยวี่โหร่วกลับมาโดยไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น ในพระทัยของพระองค์ก็ทรงตกใจมากและซาบซึ้ง แต่ทำให้พระองค์อดที่จะรำลึกถึงคนหนึ่งขึ้นมาแล้ว --โปรดอดใจรอ ติดตามตอนต่อไป 03/11/2019-- 
已经是最新一章了
加载中