ตอนที่ 44 การแก้แค้นของมนุษย์กระดาษ   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 44 การแก้แค้นของมนุษย์กระดาษ
ตอนที่ 44 การแก้แค้นของมนุษย์กระดาษ ขณะที่เธอกำลังหันมาพูดนั้น ก็ทำให้ฉันเห็นของเธอจากด้านข้าง แต่จู่ๆก็มีภาพลางๆในหัวของฉันขึ้นมา ฉันไม่ค่อยแน่ใจนัก จึงหันไปมองซูหลิน แต่ซูหลินก็ไม่ได้มีท่าทีแปลกๆออกมา “สงสัยคงจะจำผิดไปเองละมั้ง” ฉันบอกกับตัวเองอย่างนั้น แต่ก็นะ โดนจับได้สะแล้ว อีกอย่างเธอก็ไม่ได้มีท่าทีจะเอาเรื่องอะไร ก็เลยถือโอกาสเปิดประตูเดินเข้ามาเลยแล้วกัน ผู้หญิงคนนั้นจึงวางดินสอเขียนคิ้วลง แล้วก็ค่อยๆสางผมเบาๆ คล้ายขุนนางจากในวังก็มิปาน แล้วค่อยกันมาทางพวกเราอย่างช้าๆ พร้อมทั้งเอาผ้าคลุมเข่าช้าๆ ทำให้ฉันเห็นหน้าของเธอชัดเจนขึ้น ฉันรีบหันไปมองซูหลินทันใด ซูหลินก็พยักหน้าให้ฉันเบาๆ ไม่ทันให้ผู้หญิงคนนั้นได้เอ่ยปากถามอะไรต่อ ฉันก็รีบชิงพูดก่อนว่า “เธอคือจ้าวซิ้วนี่” ฉันรู้ตัวดีว่าตัวเองกำลังพูดอะไรออกไป มันไม่ใช่ประโยคคำถามใดๆ แต่เป็นประโยคเพื่อความแน่ใจต่างหาก หลังจากที่พบศพของจางเจียเย่นแล้ว ในวิดิโอนั้นที่เห็นวิญญาณใส่ชุดกระโปรงสีแดงนั่น อีกทั้งยังมีทั้งการให้คำของไป๋เวยเวยอีก ฉันจึงได้รู้ในที่สุด วิญญาณผู้หญิงชุดแดงนั่นคือจ้าวซิ้ว แล้วอีกอย่างคือตอนที่ไปให้ปากคำกับตำรวจแล้วมีรูปของจ้าวซิ้วอีก นั้นคือครั้งแรกที่ฉันได้เห็นว่าจ้าวซิ้วก็ถือว่าเป็นคนสวยมากในระดับนึงเลยทีเดียว แต่ทว่าจ้าวซิ้วกลับไม่ได้มีท่าทีตกใจอะไรเลยจากคำพูดของฉัน แถมยังหัวเราะออกมาเบาๆอีกด้วย แถมยังทำท่าเหมือนคิดอะไรออกด้วย “ พวกเราเคยเจอกันแล้วงั้นเหรอ” ใช่ ฉันรู้ พวกเราเจอกันตอนที่ขบวนเจ้าสาวตอนนั้นไง ทำให้ฉันยิ้มออกมาเบาๆ ไม่เพียงแต่จะเบาใจไปเปราะนึง แต่ทว่าเมื่อมองดูดีๆแล้ว เจอวิญญาณที่จิตใจดีแถมยังเหมือนมนุษย์ได้มากขนาดนี้ก็น่าคบค้าสมาคมอยู่นะ “คุณเป็นเพียงแค่ส่วนนึง อันนี้คุณรู้ตัวไหม” จ้าวซิ้วดูเหมือนไม่อยากจะถือสากับคำพูดของฉันสักเท่าไหร่ ไม่เพียงแต่เธอไม่ถือโทษโกรธฉัน เธอยังลุกขึ้นมาเดินไปมาข้างหน้าพวกเราอีก แต่ทว่าดูจากแววตาเธอแล้วชั่งดูอ่อนแอเหลือเกิน ใช่สิ คงเป็นเพราะว่าสามีของเธอ .. มนุษย์กระดาษนั่นแน่ๆ “ฉันจะไม่รู้ได้อย่างไรกัน ถ้าไม่อย่างนั้นฉันจะแต่งตัวอย่างนี้ทำไมกันละ” จ้าวซิ้วไม่แม้แต่จะมีแสดงออกว่ารู้สึกแปลกกับพวกเราเลย แม้จะเจอกันครั้งแรกก็ตาม ท่าทียังคงคล้ายว่าเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งนานแล้ว เธอนั่งลงตรงหน้าพวกฉันแถมยังเทน้ำให้พวกฉันอีกด้วย ฉันก้มมองดูแก้วน้ำชาสีแดงเลือดนั่น แล้วยิ้มเจื่อนๆออกมา ไม่แม้แต่จะยิ้มมันขึ้นมาด้วยซ้ำ จ้าวซิ้วจู่ๆก็มีน้ำตาคลอเบ้าจึงทำให้ต้องรีบยกขึ้นมาดื่ม แต่ทว่ากลับมีท่าทีคล้ายคนที่เคียดแค้นพร้อมทั้งขมวดคิ้วขึ้นมาแล้วพูดว่า “พวกเธอมาพาตัวฉันไปใช่ไหม ก็ดีนะ ฉันไม่ได้เป็นภรรยาเขาแล้ว ไม่รู้จะอยู่ที่นี่ทำไมเหมือนกัน” พวกเราไม่ได้พูดอะไรออกไปหลังจากนั้น ได้แต่ฟังที่หล่อนพูดตั้งแต่วันที่เธอตายจนกระทั่งเธอมาอยู่ที่นี่ จ้าวซิ้วไม่ได้มีท่าทีต่อต้านอะไร ในทางกลับกัน ตั้งแต่ที่เธอเริ่มพูดเรื่องของเธอนั้นทำให้เรารู้ว่าเธอมีจุดอ่อนอะไรบ้าง จ้าวซิ้วยังคงเล่าต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งด้านนอกห้องมีเสียงเคาะประตูพร้อมทั้งถามว่า “คุณหญิงคะ ในห้องของท่านมีกลิ่นของมนุษย์มีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นหรือเปล่าคะ“ ฉันมองจ้าวซิ้วอย่างตกใจ จ้าวซิ้วก็ตื่นตระหนกตกใจไม่แพ้กันแต่ทว่ากลับแสร้งทำเสียงปกติว่า “ไม่มีอะไรนี่ เข้าใจผิดหรือเปล่าหน่ะ ในห้องฉันจะมีกลิ่นมนุษย์ได้อย่างไรกัน“ เวลานั้นเองฉันจึงพบว่า แผลของซูหลินมีเลือดไหลซึมออกมา !ถึงเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกวิญญาณได้กลิ่นนี้เข้านะสิ ฉันเห็นว่าเหมือนเรามาสร้างเรื่องให้เธอจึงได้หันไปขอโทษเธอ เมื่อพวกเราเห็นว่าท่าไม่ดีแล้ว ซูหลินรีบดึงตัวฉันเพื่อที่จะกระโดดลงไปที่หน้าต่าง แต่ทว่าไม่ทันคาดคิด จ้าวซิ้วก็ออกแรงดึงฉันจากแขนอีกข้างนคงเหมือนกัน ถึงแม้ว่าจ้าวซิ้วจะดูอ่อนแอแต่ทว่ากลับมีพละกำลังยิ่งนัก เธอและซูหลินดึงฉันกันคนละข้าง ทำให้ตัวฉันหยุดอยู่กับที่ ทว่าซูหลินก็มองไปที่จ้าวซิ้วด้วยเจตนาร้าย จึงทำให้จ้าวซิ้วบอกถึงจุดประสงค์ที่ทำเช่นนี้คือ “พาฉันไปด้วยสิ นะ ฉันจะช่วยพวกเธอกำจัดตัวฉันอีกคนเอง ฉันอยากจะไปเกิดใหม่ !“ ในขณะที่พวกเรากำลังเจรจาอยู่นั้น สาวใช้ที่อยู่ด้านนอกก็ตะโกนเข้ามาหาจ้าวซิ้วอยู่หลายครั้ง เพราะด้านในไม่ยอมตอบกลับจึงคิดที่จะเข้ามาในห้องแล้ว จ้าวซิ้วจึงรีบตะโกนตอบกลับไปว่า “ห้ามใครเข้ามาทั้งนั้น คนๆนี้มีเครื่องรางนะ ฉันอาจจะตายได้นะ“ ไม่นานนักสาวใช้ก็เปิดประตูเข้ามา จ้าวซิ้วรีบส่งสัญญาณให้ซูหลิน ซูหลินจึงรีบเอาเครื่องรางออกมาแล้วดึงจ้าวซิ้วมาไว้ข้างตัวในฐานะ “ตัวประกัน” น่าสนใจจริงๆ อยู่ดีๆคนก็เอาวิญญาณมาเป็นตัวประกัน ฉันได้แต่คิดอยู่ในใจ จ้าวซิ้วโบกมือเป็นสัญญาณให้พวกข้ารับใช้ถอยหลังไป เพื่อที่พวกเราจะได้เดินออกไปข้างนอกได้อย่างสะดวก แต่ทว่าสามีของเธอดันเข้ามาพอดี ทว่ามนุษย์กระดาษนั่น เห็นฉันเข้าไม่ได้มีท่าทีสงสัยอะไรนอกจากมีแต่ความแค้น จึงทำให้ฉันใจฝ่ออย่างอดไม่ได้เพราะครั้งนั้นเขาได้รับความอัปยศอดสู่อย่างมากจากการกระทำของเทียนปูหยู่ เมื่อเห็นเขาออกคำสั่งให้พวกคนรับใช้ พร้อมทั้งเสียงของข้ารับใช้ว่า “ไม่ต้องกลัวไปนะครับท่านหญิง สองคนนี้วันนี้มันต้องตายที่นี่แน่นอน !“ ฉันเห็นสถานการณ์เริ่มไม่ดีแล้ว อีกทั้งยังกลัวว่ามนุษย์กระดาษคนนั้นจะพูดอะไรเกี่ยวกับฉันขึ้นมา จึงรีบหันไปบอกซูหลินว่า “หนีเร็ว !“ ซูหลินไม่ได้สนใจที่จะแปะเครื่องรางไว้ที่จ้าวซิ้วเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังมีเครื่องรางลอยออกมาจากกระเป๋าซูหลินออกมาในขณะที่เขาดึงทั้งฉันและจ้าวซิ้วเอาไว้ด้านหลังเพื่อปกป้อง ไม่นานนัก เครื่องรางบางส่วนก็ปะทะเข้ากับกลุ่มของวิญญาณนั่นจนทำให้เกิดแสงสีทองขึ้นอีกทั้งยังมีเสียงกรีดร้องอย่างทุรนทุรายรวมไปถึงวิญญาณที่สลายหายไปอีกด้วย มนุษย์กระดาษเล็งเห็นแล้วว่าคนรับใช้ไม่สามารถที่จะหยุดพวกเราได้ จึงรีบเข้ามาประจันหน้ากับฉันจนทำให้ฉันตะลึงว่าเขานั่นก็มีฝีมืออยู่พอตัวเหมือนกันถึงแม้ว่าจะดูอ่อนแอและบอบบางแค่ไหนก็ตาม เพียงแค่เห็นเขากำลังจะอ้าแขนแต่ทว่ากลับคว้ามาที่คอฉันได้ในเวลาอันรวดเร็ว แล้วรีบดึงฉันออกห่างจากซูหลินไปข้างกายเขา ฉันยังคงมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่จนกระทั่งมีสติขึ้นมาจึงเห็นว่าตาของซูหลินสีแดงขึ้นเต็มไปด้วยความโกรธ อีกทั้งความรู้สึกที่คอนั้นก็เจ็บคล้ายกับมีมีดแทงอยู่ ฉันรีบตะโกนบอกซูหลินว่า “ซูหลิน ไม่ต้องห่วงฉัน พาจ้าวซิ้วหนีไปสะ ฉันออกไปจากที่นี่เองได้ !“ ซูหลินมองมาที่ฉันด้วยสายตาที่ออกจะเหยียดหยามนิดหน่อย ชัดเจนเลย ว่าเขาไม่เชื่อที่ฉันพูด “สาวน้อย สามีของเธอหน่ะไม่เอาเธอแล้วงั้นหรือ” มนุษย์กระดาษถามฉันเบาๆที่ข้างหู ลมหายใจเย็นๆนั่นคล้ายว่าทิ่มแทงเข้ามาในหัวใจจนทำให้ฉันสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ แต่ฉันยังรู้สึกขอบคุณเขาอยู่นะที่เขาไม่ได้ตะโกนเสียงดังจนซูหลินได้ยินเข้า เวลานั้นจ้าวซิ้วที่อยู่ด้านหลังซูหลินก็ตะโกนมาว่า “คุณปล่อยพวกเขาไปเถอะ มันชัดเจนอยู่แล้วว่าคุณไม่สามารถจะต่อกรกับพวกเขาได้นะ !“ ได้ยินดังนั้น ฉันคิดว่ามนุษย์กระดาษนี่จะหวาดกลัวแต่ทว่าเขากลับหัวเราะออกมา คล้ายว่าไม่ได้สนใจในสิ่งที่จ้าวซิ้วพูดเลยแม้แต่น้อย “ฮ่าฮ่า งั้นเหรอ มีอะไรที่ฉันสู้ไม่ได้งั้นเหรอ ก็แค่คนสองคนที่ไร้อาวุธก็แค่นั้นเอง ! “ เขาเข้าใจความหมายที่จ้าวซิ้วพูด เพราะฉันคือภรรยาของเทียนปูหยู่ ดังนั้นเขาจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะทำอะไรฉันได้ต่างหาก แต่ทว่าเขากลับมีท่าทีผ่อนคลายและหัวเราะออกมาเสียงดัง ซูหลินและจ้าวซิ้วที่ดูเหมือนว่าตกลงกันเรียบร้อยแล้วก็เห็นแขนเสื้อของจ้าวซิ้วยาวขึ้นอย่างกะทันหันพร้อมทั้งลอยมาทางที่มนุษย์กระดาษอยู่ ในขณะเดียวกันซูหลินก็คว้าง เครื่องรางมาทางนี้ พร้อมทั้งร่ายคาถาอย่างดัง เพราะมนุษย์กระดาษนั่นมัวแต่สนใจแขนเสื้อของจ้าวซิ้วจึงไม่ทันได้สังเกตว่ามีอะไรกำลังจู่โจมมาทางเขา เครื่องรางลอยไปติดกับศีรษะของเขาพร้อมทั้งลุกไหม้ขึ้น มนุษย์กระดาษร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด เลยเผลอปล่อยมือออกจากคอของฉัน จ้าวซิ้วจึงรีบใช้แขนเสื้อของเธอโอบเอวฉันไว้ แล้วดึงฉันไป ฉันคิดว่าเขาจะโดนเผาตายไปแล้วแต่ทว่าเขากลับทำสิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือดึงส่วนที่ติดกับเครื่องรางนั้นทิ้งพร้อมทั้งเสียงร้องแห่งความเจ็บปวด ฉันตกใจมาก มนุษย์กระดาษที่มีแค่ครึ่งหน้านั่น กำลังย่างสามขุมเข้ามาหาซูหลิน เพราะว่าซูหลินเหมือนจะใช้พลังเยอะเกินไป จึงทำให้แผลที่ไม่หายดีกลับปริแตกขึ้นมากกว่าเดิมจึงทำให้เลือดไหลออกมามากกว่าเดิม ฉันจึงตัดสินใจจะยืนบังซูหลินเอาไว้ อ้าแขนเตรียมพร้อมและเตรียมตัวรับกับแรงปะทะที่กำลังจะเกิดขึ้น ฉันค่อยๆหลับตาลง ในหัวคิดเพียงแค่ว่า เขาจะต้องเข้ามาทำร้ายพวกเราแน่ๆ แต่ทว่าในความเป็นจริงแล้วฉันได้ยินเสียงมาจากด้านหน้าฉัน ร่างกายของฉันเบาไร้ความสมดุล ฉันจึงรีบลืมตาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันกลับพบว่ากำลังลอยขึ้นจากพื้น ฉันรีบหันไปมองด้านล่าง ฉันกลับพบว่ามนุษย์กระดาษนั้นสลบอยู่ตรงกำแพง แต่เจ้าตัวเล็กก็ยังอยู่กับฉันในกระเป๋านี่ ตั้งแต่แรกก็ไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมาเลย แต่คนที่ทำให้ฉันและซูหลินลอยขึ้นก็คือจ้าวซิ้ว หลังจากนั้นพวกเราถูกพาออกมาที่ต้นไม้ใหญ่แล้วกลับไปที่โรงรับจำนำเหมือนเดิม ตอนนี้ซูหลินเหมือนกำลังจะเป็นลมแล้ว แล้วตาแก่เจ้าของร้านโรงรับจำนำเห็นพวกเรากลับมาก็มีสีหน้ายิ้มแย้ม “เอายามาให้ฉันเร็วเข้า ฉันต้องรีบรักษาซูหลิน เดี๋ยวมนุษย์กระดาษนั่นจะฟื้นแล้วตามมาได้” ฉันบอกด้วยท่าทีรีบร้อน แต่ทว่าเจ้าของร้านกลับตอบฉันด้วยความไม่รีบไม่ร้อนอีกทั้งยังดื่มน้ำแบบสบายๆอีก “หนูก็รู้นี่ เขาไม่สามารถจะไล่ตามมาได้หรอกนา ไม่สิ ต้องบอกว่า เขาไม่มีโอกาสจะไล่ตามมาได้ หนูประเมินเขาสูงไปนะ” ฉันเข้าใจในสิ่งที่เจ้าของร้านกำลังบอก เพราะเทียนปูหยู่เคยบอกว่า คดีที่พวกเราตามสืบเกี่ยวกับจ้าวซิ้วหน่ะเขาไม่สามารถจะเข้ามาแทรกแซงได้ แต่ทว่าหากฉันกำลังตกอยู่ในอันตรายละก็ นั่นไม่ใช่ปัญหาของคนเป็นและไม่ใช่ของโลกคนตายแต่ทว่านั้นเป็นปัญหาของเทียนปูหยู่แล้วละ เมื่อฉันคิดถึงตรงนี้ เจ้าของร้านก็พูดขึ้นมาว่า “ถ้าอยากได้ยาหน่ะ ร้านฉันก็มีนะ แต่ทว่า .. “ เขามองเจ้าตัวเล็กในมือฉัน พร้อมทั้งหัวเราะออกมาเบาๆพร้อมทั้งยิงฟันสกปรกออกมาทำให้ฉันรู้สึกไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ในขณะที่ฉันกำลังตัดสินใจยากอยู่นั้น เจ้าตัวเล็กก็บอกกับฉันว่า ““พี่สาว เอาผมไว้ที่นี่เถอะ ผมมีพลังไม่พอหรอกที่จะไปโลกของคนเป็นหรอกนะ ในเมื่อเจ้าตัวเล็กพูดเช่นนี้แล้ว ฉันก็ไม่อยากจะทำให้เรื่องมันยุ่งยากจึงทำได้แค่ส่งเจ้าตัวเล็กให้เจ้าของโรงรับจำนำไป เจ้าตัวเล็กมองมาที่ฉันแล้วยิ้มให้อย่างปลอบประโลม “ฉันยังไม่ได้ถามเธอเลย ว่าแต่เธอชื่ออะไรเหรอ” ยังไม่ทันที่เจ้าตัวเล็กจะเอ่ยปาก เจ้าของโรงรับจำนำก็พูดว่า “ในโลกของคนตายหน่ะ นอกจากราชวงศ์แล้วก็ไม่มีใครมีชื่อหรอกนะ“ พูดจบเขาก็แบมือออก แล้วตู้ข้างหลังก็เปิดออกพร้อมทั้งยาจากข้างในลอยออกมา ฉันรีบรับแล้วเอาไปให้ซูหลินทาน
已经是最新一章了
加载中