ตอนที่ 142 นิเวศน์น้อยผู้มีพรสวรรค์   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 142 นิเวศน์น้อยผู้มีพรสวรรค์
ต๭นที่ 142 นิเวศน์น้อยผู้มีพรสวรรค์ หกปีผ่านไป ณ กรุงนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ในบ้านพักตากอากาศสไตล์อเมริกันแห่งหนึ่ง จันวิภายืดมือออกมาจากผ้านวม บิดขี้เกียจพลางหาวยาวๆ สุดท้ายก็ลงมาจากเตียงพร้อมกับขยี้ผมยาวดำขลับเบาๆ เรียวขายาวก้าวลงจากเตียงพลางสวมรองเท้า ชุดนอนตัวกว้างเสียจนมองจากข้างหลังก็สามารถมองเห็นหุ่นเว้าโค้งที่น่าอวดชม ผมยาวถึงเอวคอดยุ่งเหยิงเล็กน้อย จันวิภาเดินไปยังกระจกหน้าตู้เสื้อผ้ามองรูปร่างตน “พระเจ้า......ทำไมเวลาผ่านไปเพียงพริบตาเดียว ฉันก็แก่เสียแล้ว” จันวิภาลูบแก้มตนพลางถอนหายใจ กาลเวลาไม่เคยคอยใครจริงๆ มาอเมริกาได้หกปีแล้ว ตอนนี้จันวิภาอายุยี่สิบหกปี มีลูกชายหัวแก้วหัวแหวนวัยห้าขวบอีกหนึ่งคน นึกถึงลูกชายแสนซนแต่ความจริงฉลาดเป็นกรด ความกลัดกลุ้มเมื่อครู่ของจันวิภาก็หายเป็นปลิดทิ้ง เปลี่ยนชุดด้วยอารมณ์แจ่มใส กระโดดโลดเต้นลงไปชั้นล่างเพื่อเตรียมรับประทานอาหารเช้า แต่เมื่อเธอเห็นโต๊ะอาหารที่ว่างเปล่า รอยยิ้มบนหน้าจันวิภาหุบลง สงสัยอย่างอดไม่ได้ ลูกฉันไปไหน...... ปกติก็ทำอาหารเสร็จก็อยู่ที่โต๊ะนี่หน่า...... นึกถึงลูกชายที่ทำอาหารเป็นตั้งแต่สามขวบ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ทำทานเองทุกมื้อ บางครั้งเธออยู่ๆก็ฉุกคิดอยากทำอาหารให้ลูกชายตนทานบ้าง แต่กลับถูกกันไว้หน้าประตูห้องครัวไม่ให้เข้าด้วยเหตุผลที่แสนง่ายดาย “คุณแม่ครับ คุณแม่ทำอาหารได้แย่มาก อย่าทำลายกระเพาะตัวเองเลยนะครับ” ดังนั้นหลังจากตื่นนอนจันวิภาจะเห็นอาหารเช้าบนโต๊ะอาหารทุกวัน พร้อมลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่นั่งด้านข้าง ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนไม่เพียงแต่ทำอาหารให้เธอทานทุกเช้าโดยที่ไม่เช้าไม่สายเกินไป เธอเพิ่งตื่นหมาดๆก็ได้ทานอาหารเช้าร้อนๆพอดิบพอดี แต่ทว่าภาพที่เห็นจนชินตาวันนี้กลับไม่มี ไม่มีเลย ไม่มีอาหารเช้า ไม่มีลูกชายนั่ที่งข้างโต๊ะอาหาร จันวิภาผู้ที่ไว้วางใจลูกชายตนมาตลอด อดไม่ได้ที่จะคิดว่าเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น ไอ้เจ้าตูดหมึกนั่นคงไม่ได้ป่วยจนลุกไม่ขึ้นหรอกมั้ง? คิดถึงตรงนี้แล้วจันวิภาก็รีบตรงไปยังห้องลูกชายหัวแก้วหัวแหวนตนอย่างรีบร้อน เปิดประตูห้อง ไม่มีใครในห้องสักคนเดียว ผ้าห่มบนเตียงพับเป็นระเบียบเรียบร้อย สิ่งของในห้องทุกอย่างล้วนวางไว้อย่างปกติ “แปลกจัง......เขาไปไหนเนี่ย?” จันวิภาพึมพำกับตัวเองพลางเดินเข้าไปในห้องลูกชาย ตอนเดินไปถึงข้างโต๊ะหนังสือ จันวิภาเห็นสมุดบันทึกเล่มหนึ่งที่กำลังเปิดอยู่ มีปากกาด้ามหนึ่งทับไว้ ดูเหมือนด้านบนจะเขียนอะไรบางอย่างไว้ จันวิภาหยิบขึ้นมาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น เมื่อดูเสร็จ ร่างทั้งร่างก็หวาดกลัวจนจิตหลุด ตัวอักษรบนสมุดบันทึกเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า “คุณแม่ครับ ผมกลับประเทศไปตามหาพ่อแหละครับ ไม่ต้องเป็นห่วงผม ลูกชายคุณแม่ไม่ได้ถูกลักพาตัวไป เมื่อแม่เห็นสมุดบันทึกเล่มนี้ ผมคงถึงเมือง A ประเทศจีนแล้ว คิดถึงก็มาหาผมสิ จากนิเวศน์ ลูกชายที่รักคุณแม่” มือจันวิภาที่ถือสมุดบันทึกอยู่สั่นเล็กน้อยอย่างคุมไม่อยู่ เจ้าเด็กดื้อนี่ แม้ตัวเธอเองจะรู้มาตลอดว่าเขามักจะเล่นซ่อนแอบไร้สาระและชอบเล่นอะไรแผลงๆเสมอ แต่จันวิภารู้ดีว่าไอคิวลูกตนนั่นสูงกว่าเด็กทั่วไป ได้ปริญญาควบมาตั้งแต่ยังเล็ก เขาฉลาดปราดเปรียว สมองเล็กสงบนิ่งและคุมอารมณ์ตัวเองได้ บางครั้งมีหลายเรื่องที่จันวิภาเองไม่รู้ ลูกชายกลับรู้และเป็นคนจัดการด้วยตัวเอง จันวิภาเลยเชื่อใจและไว้วางใจลูกชายตนเป็นอย่างมากมาตลอด ตอนที่ลูกชายตนมีความคิดซนๆอย่างเด็กเล็กควรจะมีเธอกลับทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น แต่ก็ไม่คิดว่า...... “นิเวศน์! ไอ้เจ้าตูดหมึก!” จันวิภาวางสมุดบันทึกลงก่อนตะโกนใส่ท้องฟ้า ไหล่สั่นเทิ้มด้วยความโกรธ นึกไม่ถึงว่าเขาจะกลับไปหาสุมิตร! สุมิตรคือใครน่ะหรือ เขาก็คือไอ้เลวระยำคนหนึ่ง ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตนไปติดต่อกับไอคนเทือกนี้ได้อย่างไรกัน!? ไม่ง่ายเลยที่จันวิภาจะหนีมาต่างประเทศ ก็เพราะไม่อยากจะติดต่อกับสุมิตรบ่อยๆยังไงล่ะ! ไม่คิดเลยว่าไอ้เจ้าตูดหมึกจะกลับประเทศด้วยตัวเองโดยไม่แม้แต่จะปรึกษาตนสักนิด ถ้าหากว่า......ถ้าหากว่าสุมิตรรู้ว่านิเวศน์คือลูกชายตัวเองล่ะก็ ไม่อยากจะคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น! คิดถึงตรงนี้แล้วร่างจันวิภาก็สั่นระริกด้วยความกลัว ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาอารมณ์เสีย สิ่งแรกที่ควรทำคือจองตั๋วกลับประเทศให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไปหยุดไอ้ตูดหมึกนั่นก่อนจะสายไป! จันวิภาเร่งรีบกลับห้องจัดเสื้อผ้าง่ายๆมาสองสามชุด จากนั้นก็รีบวิ่งออกจากประตูบ้าน ก่อนจะออกจากประตู จันวิภาก็นึกถึงสุพจน์ที่คอยเลี้ยงดูพวกเขาสองแม่ลูกมาตลอดหกปี จึงเขียนจดหมายทิ้งไว้ให้สุพจน์ทันทีก่อนออกไป …… ณ เมือง A ประเทศจีน ร่างเล็กจิ๋วของนิเวศน์กระโดดลงจากรถแท็กซี่ เขาสวมแว่นกันแดดอันใหญ่ แก้มเล็กๆถูกบดบังไปครึ่งหนึ่งโดยแว่นกันแดด ดูตลกขบขัน นิเวศน์ยื่นมือออกไปบังแดดเหนือหัว ยู่ปากถอนหายใจเงียบๆให้กับแสงอาทิตย์อันใหญ่โตของเมืองจีน ต่อมา แววตาคมมองไปที่ตึกใหญ่โตเบื้องหน้าอย่างดุดัน สายตาดุดันละไว้เพียงชั่วครู่ ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าเด็กน้อยยิ้มแย้มอย่างรวดเร็วพลางเดินวางมาดเข้าไปที่บริษัทตะวันกรุ๊ปจำกัด ถ้าหากว่าเมื่อครู่นี้จันวิภาอยู่ที่นี่ ต้องรู้สึกประหลาดใจกับแววตาลูกชายตนที่เหมือนกับสุมิตรเลย เหมือนอย่างกับแกะ! ถ้าเธอรู้จะต้องโดนว่าสักชุด อายุยังน้อยเรียนอะไรก็ไม่ได้เรื่อง ดื้ออยากมาเรียนรู้กับสุมิตรคนที่ทั้งเลือดเย็นทั้งไม่มีความเป็นมนุษย์! นิเวศน์เดินเตาะแตะเข้าไปในบริษัทตะวันกรุ๊ปจำกัด ร่างเล็กที่สวมชุดที่ถูกกาลเทศะ ใบหน้าบดบังด้วยแว่นตาไปครึ่งหนึ่งทำให้ดูท่าทางน่าสงสัย ปากเล็กๆกับใบหน้าที่เผยออกมาดูออกได้เลยว่าโครงหน้าหล่อเหลาอยู่ภายใต้แว่นตากันแดด ดังนั้นตอนที่นิเวศน์เดินเข้าไปในบริษัทตะวันกรุ๊ปจำกัด ก็ดึงดูดสายตาคนส่วนมากในตอนแรก ที่สำคัญที่สุดก็คือเขาเดินเข้าไปอย่างมั่นอกมั่นใจ “หนุ่มน้อย ทำไมมาที่นี่คนเดียวจ๊ะ? คุณพ่อคุณแม่ล่ะ?” ตอนที่นิเวศน์เดินเข้าส่วนแผนกต้อนรับ ก็ได้รับการทักทายจากพนักงานสาวแผนกต้อนรับ “สวัสดีครับพี่สาว” ร่างเล็กๆของนิเวศน์ยืนหน้าเคาเตอร์มองไปที่พนักงานสาวแผนกต้อนรับ ส่งรอยยิ้มหวานให้ ยิ้มนี้ทำให้หัวใจพนักงานสาวแผนกต้อนรับสดชื่นขึ้นมา เธอรีบเดินออกมาจากเคาเตอร์แล้วดึงนิเวศน์วัยห้าขวบเข้าไป ย่อตัวลงมายังระดับสายตาพลางยื่นมือไปบีบแก้มนิเวศน์อย่างลืมตัว “หนุ่มน้อย ชื่ออะไรจ๊ะ?” พนักงานสาวแผนกต้อนรับพลางบีบแก้มนิเวศน์เต็มแรงพลางชื่นชมในใจอย่างอดไม่อยู่ ลูกบ้านไหนเนี่ย เติบโตมีน้ำมีนวล หล่อตั้งแต่เด็กเชียว โตขึ้นต้องมีหญิงมาหลงหลายคนแน่ๆ แก้มเล็กๆนี้ ผิวแบบนี้ จุ๊ๆ...... นิเวศน์แอบกรอกตาในใจอย่างอดไม่ได้ ผู้หญิงสมัยนี้จู้จี้เหมือนแม่เลย ไม่ว่าใครเห็นเขาทีไรก็ต้องมาบีบแก้มทุกที บีบจนแก้มบูดๆเบี้ยวๆ 
已经是最新一章了
加载中